มีข้อควรระลึกไว้อย่างหนึ่งคือ ถ้าใช้ภาษาญี่ปุ่นพื้นๆ พูดคุยกับคนญี่ปุ่นไปตลอด ความรู้จักมักคุ้นก็จะอยู่แค่ระดับพื้นๆ เช่นกัน คุยกันด้วยภาษาเดียวกันสองสามคำอาจทลายกำแพงความเกร็งลงได้ในเบื้องต้น แต่ยังไม่สามารถทะลุเข้าไปถึงแก่นได้ เพราะเมื่อคนญี่ปุ่นได้ยินคนต่างชาติพูดภาษาญี่ปุ่นแบบง่ายๆ เป็นคำๆ กระท่อนกระแท่น คนญี่ปุ่นจะเริ่มระวังคำพูดของตัวเอง เลือกใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่าย และเลี่ยงประโยคยาวๆ ปรับให้เป็นคำพูดที่ตัวเองก็อาจไม่ชินปากเพื่อคุยกับคนต่างชาติ และจะเกิดความไม่เป็นธรรมชาติขึ้นในบทสนทนา พอเป็นเช่นนั้น ก็ยากที่จะสื่อความได้ถึงใจ ฉะนั้น เมื่อผ่านขั้นต้นแล้ว ต่อไปจึงต้องฝึกฝนทักษะภาษาให้เก่ง ยิ่งพูดคุยถึงเรื่องที่ซับซ้อนได้เท่าไร ยิ่งจะทำให้สนิทกันมากขึ้นเท่านั้น เรื่องลึกซึ้งที่เพื่อนญี่ปุ่นชอบถามผมอยู่บ่อยๆ คือเรื่องเกี่ยวกับสังคมไทย เช่น ทำไมคนไทยจึงเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ไปที่ไหนก็เห็นรูปพระมหากษัตริย์? (คนญี่ปุ่นที่เคยมาเมืองไทย เห็นพระบรมฉายาลักษณ์แล้วไม่เข้าใจนัยของสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทย), ทำไมที่หน้าบ้านของคนไทยมีศาลเจ้าเล็กๆ ด้วยล่ะ? (คนญี่ปุ่นหมายถึงศาลพระภูมิของไทย), ทำไมที่เมืองไทยมีสุนัขจรจัดเยอะแยะเลย? (ที่ญี่ปุ่นไม่มี), คนไทยทุกคนต้องบวชเป็นพระเหรอ แล้วนายบวชรึยัง? (คนญี่ปุ่นไม่เข้าใจศาสนาพุทธในบริบทสังคมไทย) เป็นต้น เรื่องประมาณนี้ บางทีการอธิบายเป็นภาษาไทยก็ยังทำได้ยาก แต่ถ้าอยากทำให้บทสนทนาเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพ ก็จำเป็นต้องเตรียมคำตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นกันหน่อย อย่างไรก็ตาม ถ้าว่ากันเรื่องภาษาญี่ปุ่น คนไทยมีข้อเสียเปรียบด้านภาษาในบางแง่มุม ซึ่งกลายเป็นข้อเสียไปในที่สุด คือ คนไทยเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้ช้าเพราะธรรมชาติของภาษาต่างกันมาก เช่น ภาษาไทยไม่ผันคำ แต่ภาษาญี่ปุ่นผันเยอะมาก และแม้ภาษาญี่ปุ่นมีเสียงน้อย แต่ในจำนวนน้อยเหล่านั้น ก็มีหลายเสียงที่คนไทยพูดไม่ถนัด เช่น เสียง shi, tsu, za, zu (ราชบัณฑิตยสถานถ่ายเสียงเป็นตัวอักษรไทยในข่ายที่คนไทยออกเสียงได้ว่า ชิ, สึ, ซะ, ซุ ซึ่งถือว่าใกล้เคียง แต่ก็ไม่ใช่เสียงจริงตามที่คนญี่ปุ่นพูด) ระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นซับซ้อนกว่าภาษาไทยมากโดยเฉพาะตัวอักษรคันจิที่รับมาจากจีน ไวยกรณ์ก็มีรายละเอียดมาก เรียนๆ ไปจะรู้สึกว่าไม่ค่อยคืบหน้า ส่งผลให้กลายเป็นข้อเสีย คือ ท้อและล้มเลิกไปจนกลายเป็นอุปสรรคในการสื่อสารเรื่องยากๆ พอยอมแพ้ก็เป็นอันว่าต่อยอดความสัมพันธ์ได้ลำบาก เพราะคุยเรื่องยากและลึกไม่ได้ สรุปว่า ต้องค่อยๆ เรียนภาษาญี่ปุ่นให้เก่งและไม่ล้มเลิกกลางคัน เพราะภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างมิตร เมื่อพูดได้ดี เทคนิคที่จะใช้สร้างความสนิทต่อไปคือ ขอคำปรึกษา ธรรมชาติของคนคือต้องการให้คนอื่นเห็นคุณค่า ถ้าเราขอคำปรึกษาใคร คนผู้นั้นมักจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เราอาจเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนก็ได้ เช่น ถามว่าจะไปปีนภูเขาฟูจิไปเดือนไหนดี, อยากไปดิสนีย์แลนด์ ไปช่วงไหนดี คนถึงจะไม่แน่น, หรือจะซื้อตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์ยังไงให้ได้ราคาถูก, มีร้านซูชิที่ไหนที่ถูกๆ บ้างไหม ต่อไปก็อาจจะถามความสนใจของฝ่ายนั้น ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องส่วนตัวที่พอจะเปิดเผยได้ให้เขาฟังเพื่อเป็นการเปิดใจ ท้ายสุดคือการชวนไปกินข้าว ไปเที่ยว และคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พยายามตีความ ข้อที่สองคือ พยายามตีความ หมายถึงการพิจารณาความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่คนญี่ปุ่นพูดหรือปฏิบัติ ใครไม่เข้าใจเรื่องนี้ บางทีพลอยทำให้รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นขี้โกหก แล้วพานไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย แรกๆ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกทำนองนั้นเหมือนกัน แต่ทำความเข้าใจได้ในภายหลัง มีคนญี่ปุ่นชวนผมอยู่บ่อยๆ ว่า ว่างๆ มาเที่ยวที่บ้านบ้างนะ ความเป็นไทยสอนให้รู้จักเกรงใจไว้ก่อน อย่าผลีผลามตะครุบโอกาสเร็วเกินไป ให้สงวนท่าทีอย่างมีสง่าแล้วค่อยคว้าไว้ทีหลัง จะได้ไม่เป็นการแสดงความอยากจนออกนอกหน้า ตอนนั้นผมทราบมานิดหน่อยว่าคนญี่ปุ่นก็มีแนวคิดเช่นนี้เหมือนกัน ครั้งแรกจึงได้แต่ตอบขอบคุณและปฏิเสธไปก่อน พลางคิดว่าคราวหน้าถ้าเขาชวนอีกก็จะไปเพื่อไม่ให้คนชวนเสียน้ำใจ คำชวนแบบนั้นมีมาอีกหลายที จากคนคนเดียวกันและจากคนอื่นๆ แต่ไม่เคยมีสักทีที่ผู้ชวนจะถามเจาะลึกลงไปว่าผมจะไปเที่ยวบ้านเขาได้เมื่อไร หรือกินอะไรไม่ได้ จะได้เตรียมของที่กินได้เอาไว้ให้ หรืออะไรที่จะส่อถึงความจริงใจในการชวน จนในที่สุดผมคิดว่า คงพูดไปงั้นแหละ...น่าจะเป็นข้อสรุปของคำชวนเหล่านั้น และทำให้คนญี่ปุ่นเสียคะแนนในทรรศนะของผมไป เมื่ออยู่นานขึ้น ผมเข้าใจว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีเรื่อง ฮนเนะ (本音;honne) กับ ทะเตะมะเอะ (建前;tatemae) ซึ่งหมายถึง ใจจริง กับ สิ่งที่แสดงออกเบื้องหน้า อันที่จริงสังคมไทยก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน จำได้ว่าเมื่อสมัยเป็นนักเรียน หลายครั้งหลังจากสอบเสร็จ พอถามเพื่อนว่าทำข้อสอบได้ไหม เพื่อนตอบว่าทำไม่ค่อยได้ แต่ผลสอบออกมาว่าเพื่อนคนนั้นท็อป ทำไม่ค่อยได้ คือสิ่งที่พูดเพื่อบังหน้าไปอย่างนั้นเอง ตอนนั้นซึ่งยังเด็กว่าตอนนี้มาก ผมรู้สึกเคืองเพื่อนและยังคิดอยู่เลยว่าทำได้ก็บอกว่าทำได้สิ (ฟะ) ไม่เห็นจะต้องบิดเบือนความรู้สึก ถ้ามองแบบตรงไปตรงมา ทะเตะมะเอะ คือคำโกหกชนิดหนึ่ง แต่คนญี่ปุ่นมองว่าเป็นความสวยงามที่ใช้ปูเส้นทางให้การสื่อสารและการคบกันไม่สะดุด บางโอกาสใช้เพื่อถนอมน้ำใจ การบอกความรู้สึกที่แท้จริงอาจทำร้ายความรู้สึกคนฟัง หรือคนพูดอาจถูกมองว่าเห็นแก่ตัว หวังสูง และท้ายสุดถ้าหากทำไม่ได้ก็จะเกิดความอับอาย เป็นต้น ในสังคมใดก็ตาม คนที่เป็นผู้ใหญ่เข้าใจดีว่า สิ่งที่พูดออกมาอาจไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงเสมอไป และในขณะเดียวกัน ก็อาจรู้สึกไม่ดีกับคนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน แต่ในสังคมญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมองต่างออกไปว่า เรื่องปากกับใจไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน และเมื่อมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครคิดว่าถูกโกหกหรือถือสาจริงจัง พอผมอยู่ในญี่ปุ่นและเจอเรื่องแบบนี้ จึงนึกถึงเพื่อนเมื่อสมัยเด็กขึ้นมา ได้มุมมองใหม่ว่าเพื่อนอาจไม่อยากทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า ถึงได้ใช้คำพูดแบบนั้น และตอนนี้ หลังจากที่ตัวเองได้รับอิทธิพลจากสังคมญี่ปุ่นเรื่อง ฮนเนะ กับ ทะเตะมะเอะ มานาน จึงรู้จักปล่อยวางและใจกว้างขึ้นกว่าก่อนมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคนต่างชาติที่ไม่เข้าใจมักมองว่าคนญี่ปุ่นชอบโกหก ดังนั้น ถ้าอยากจะคบคนญี่ปุ่นอย่างราบรื่น จำเป็นต้องตีความให้ออกว่าคำพูดของคนญี่ปุ่นสื่อความหมายว่าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปร้านเหล้า นั่งแช่เป็นชั่วโมง เหล้าหมดแล้ว มัวแต่นั่งคุยกับเพื่อนจนพนักงานมาถาม จะรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มไหมคะ? ใจจริงเขาอยากจะบอกว่า ถ้าไม่สั่งเพิ่มก็เชิญออกได้แล้วค่ะ แขกอื่นจะได้เข้าร้าน หรือจากตัวอย่างที่ผมเองก็เจอมาบ่อยๆ คือ ถ้าคนญี่ปุ่นพูดว่า ว่างๆ มาเที่ยวที่บ้านบ้างนะ ใจจริงเขาหมายความประมาณว่า ทางเราเห็นว่าคุณเป็นคนน่าคบนะ หรือในกรณีที่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งว่า ทางเราจะคิดดูก่อน แล้วจะแจ้งผลให้ทราบภายหลัง ใจจริงเขาอยากจะบอกว่า แหม...คุณน่าจะมีอะไรดีกว่าที่ทางเราคาดไว้นะ หรือถ้ามีใครชวนว่า คราวหน้า เราไปดื่มด้วยกันนะ คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไร แค่อยากจะบอกว่า คราวหน้าจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าบังเอิญมีโอกาสก็ไปดื่มด้วยกัน แต่วันไหนโอกาสจะมาถึงนะเหรอ ทางเรายังไม่ได้ตัดสินใจอะไรตายตัว ถ้าเข้าใจแล้วก็ควรมองข้ามเรื่องความจริงใจหรือไม่จริงใจไปเสียจะดีกว่า ถือเสียว่าคำพูดเหล่านี้คือคำทักทายแบบหนึ่งในภาษาญี่ปุ่น จะได้ไม่ต้องหัวเสีย ครั้นคบกันไปนานพอสมควรและกลายเป็นคนในแล้ว ทะเตะมะเอะจะค่อยๆ ลดลงไปเองจนเหลือน้อย (แต่อาจไม่ทั้งหมด) เมื่อถึงจุดนั้นจะเรียกความสัมพันธ์ขั้นนี้ว่าสนิทกัน ถ้าถามว่า ในช่วงแรกมีหลักอะไรที่จะช่วยให้รู้ได้ว่าคำไหนเป็นความรู้สึกแท้จริงหรือเป็นสิ่งที่พูดบังหน้า คงต้องตอบว่าระยะเวลาการคบหาและบรรยากาศ ณ ตอนนั้นจะช่วยให้ตีความได้เอง สำหรับคนไทยซึ่งมีอุปนิสัยเอาใจใส่คนรอบข้างคล้ายกับคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว ไม่นานนักก็จะเข้าใจได้ แต่ในช่วงที่ยังไม่คุ้นกับคนญี่ปุ่น อย่าได้คาดหวังอะไรมากเกินไปจากคำชวนที่ฟังดูดี จนกว่าคนพูดจะย้ำอ้อมๆ ว่า ที่พูดมาน่ะ ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ทำตัวน่าคบ ข้อสามคือ ทำตัวน่าคบ ข้อนี้ดูเหมือนกว้างมาก แต่ถ้าเป็นคนไทยที่น่าคบสำหรับคนไทยด้วยกันอยู่แล้ว ก็น่าจะเป็นคนไทยที่น่าคบสำหรับคนญี่ปุ่นได้โดยไม่ยาก เพียงแต่ต้องปรับหรือเติมอะไรอีกนิดหน่อย เช่น การรักษามารยาท ความถ่อมตัว และการตรงต่อเวลา การรักษามารยาททางสังคมเป็นเรื่องทั่วไปที่ใครๆ ก็ปฏิบัติตามได้ไม่ยากเย็น เช่น การทักทายแบบญี่ปุ่นด้วยการโค้ง การวางตัวสงบเสงี่ยม การไม่เดินไปกินไป มารยาทเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะทำให้เราดูดีและน่าคบในสายตาคนญี่ปุ่น มารยาทอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าคนไทยควรจะฝึกไว้ให้ชินคือการพูด ขอโทษ คนญี่ปุ่นพูดขอโทษบ่อยมากเมื่อเทียบกับคนไทย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ทั้งกับคนที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ถ้ารู้สึกว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน คนญี่ปุ่นจะพูดขอโทษไว้ก่อน เนื่องจากคนไทยไม่ได้ฝึกให้เป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก จึงเขินที่จะพูด ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็จะไม่ขอโทษ หรือบางทีจับได้ก็ยังแก้ตัว เมื่อมาสายก็ไม่ขอโทษ เมื่อทำของตกเกิดเสียงดังแล้วทำให้คนอื่นตกใจก็ไม่ขอโทษ แต่พูดว่า แมว! และถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกันมากๆ คนไทยมักละเลยที่จะขอโทษ แต่คนญี่ปุ่นพูดขอโทษในทุกกรณีที่ว่ามานี้ ไม่มีการโทษหมาโทษแมว หรือแม้แต่เมื่อมีใครทำอะไรให้ ก็ยังขอบคุณพร้อมกับสื่อความรู้สึกขอโทษที่ทำให้ผู้เอื้อเฟื้อคนนั้นลำบากด้วย โดยพูดสำนวน ซุมิมะเซ็ง (すみません;Sumimasen; เป็นสำนวนที่หมายถึง ขอโทษและใช้เป็นคำขอบคุณด้วย)
|