แม่เริ่มปรับเวลากินข้าวเย็น และเวลาเข้านอนของเอื้อให้เร็วขึ้น จากที่กินข้าวเย็นประมาณหกโมงเย็น เลื่อนเป็น 5 โมงเย็น และเคยเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม ปรับเป็น 3 ทุ่ม ซึ่งเอื้อก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตอนนี้พอใกล้ ๆ สามทุ่มเอื้อก็เริ่มตาปรือ ๆ พอสามทุ่มก็เหมือนกดสวิทช์...หลับปุ๋ย Zzzzz...
15 พฤษภาคม 2551และแล้วก็ถึงเวลาที่เอื้อต้องไปโรงเรียนแล้ว ในช่วง 2 วันแรก เอื้อก็ยังยอมไปโรงเรียนแต่โดยดี มีวันที่สองที่เริ่มงอแงตอนที่คุณครูรับเอื้อไปจากแม่
พอเข้าวันที่สาม จนถึงวันนี้ความยากก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เริ่มจากไม่ยอมใส่ถุงเท้า รองเท้านักเรียน จนไปถึงไม่ยอมใส่ชุดนักเรียน
วันนี้ 22 พ.ค. 51 แม่ต้องเกลี้ยกล่อมเอื้อให้ใส่ชุดนักเรียน โดยใช้มุขว่า
แม่ - เดี๋ยวเรามาถ่ายรูปกันนะครับ เอื้อใส่ชุดนักเรียนก่อนนะ แม่จะถ่ายรูปเอื้อใส่ชุดนักเรียนไปลงบล็อก
เอื้อ - ถ่ายรูปเสร็จแล้วถอดออกนะ
แม่ - ได้ครับ
เอื้อ - ไม่ใส่กางเกง(นักเรียน)
แม่ - ใส่ด้วยซิครับจะได้ครบชุดกัน ถ่ายรูปจะได้สวย ๆ นะครับ
เอื้อ - (สะอึก สะอื้น) เอื้อไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปโรงเรียน
แม่ - ........
ถุงเท้า,รองเท้า เอื้อไม่ยอมใส่ ก็เลยได้ไปโรงเรียนแบบเท้าเปล่า ๆ นั่นล่ะ
เลยต้องเอาถุงเท้า รองเท้า ไปฝากคุณครูใส่ให้เอื้อด้วย
ไม่รู้ว่าต่อไป ต้องเอาชุดนักเรียนไปฝากคุณครู ให้ช่วยใส่ให้ด้วยรึเปล่า..?!?!!!?
ที่นี่ลองมาวิเคราะห์กันดูว่าทำไมเด็กเล็ก ๆ ไปโรงเรียนถึงต้องร้องไห้
จากการที่แม่ได้คุยกับคุณครูได้ความว่าเด็กเล็ก ๆ ที่ไปโรงเรียนแล้วร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ถ้าไม่ร้องไห้นี่ซิ เด็กอาจจะมีปัญหาก็ได้ คือเด็กอาจจะอยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข จึงอยากไปโรงเรียน ดังนั้นการที่เด็กร้องไห้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่น่ากังวลอะไร
บทวิเคราะห์จากนักจิตวิทยาเด็กเด็กเล็กๆ ที่ร้องไห้งอแงไม่ยอมไปโรงเรียนมักเกิดจากเด็กเกิดความรู้สึกว่าถูกพลัดพราก เช่นพลัดพรากจากคนที่รัก(พ่อ แม่) จากสถานที่เคยชิน จากของเล่น ฯลฯ
สิ่งที่ไม่ควรทำคืออย่าใช้วิธีให้อามิสสินจ้างเพื่อให้ลูกไปโรงเรียน เช่นไปโรงเรียนนะ แล้วจะซื้อรถคันใหญ่ ๆให้ (อืม... เพิ่งใช้ไปสด ๆ ร้อน ๆ เลยเรา) ควรจะค่อยๆ ปรับทัศนคติของลูกให้เข้าใจว่าการไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่สิ่งน่ากังวลอะไร ซึ่งก็ต้องให้เวลากับลูกในการปรับตัวด้วย
รู้แบบนี้แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ต้องใจแข็งอย่างเดียว!!!
เอาฟร่ะ!!.. พรุ่งนี้ว่ากันใหม่