มุมวิชาการ
"เปรี๊ยะ!"
เสียงประตูกระจกตู้หนังสือแตก ตามด้วยเสียงแหวของแม่ที่ดังตาม
"เอื้อทำกระจกแตกอีกแล้ว"
"เอื้อไม่ได้ทำ"
"เอื้อไม่ได้ทำ แล้วใครทำ"
"เอื้อแค่ดูเครื่องบิน"
(เป็นเหตุการณ์จำลอง ที่ดูเหมือนจริงมั่ก ๆ เพราะเอื้อเพิ่งทำประตูกระจกตู้หนังสือบานที่ 2 แตกไป)
ใครผิดใครถูกไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่เอื้อกำลังใช้ข้ออ้างและเหตุผลร้อยแปดเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนั้น
สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องรีบทำ ไม่ใช่หาตัวคนผิดมาลงโทษ แต่ต้องสร้างสำนึกเรื่องความรับผิดชอบ ให้เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะมันเป็นจริยธรรมพื้นฐานที่เด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้ก่อนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล จิตแพทย์เด็ก ประจำกรมสุขภาพจิต บอกไว้ว่ามี 2 เรื่องหลักๆ ที่พ่อแม่ต้องสร้างความเข้าใจกับลูกตั้งแต่วัยนี้
1. การพูดความจริงไม่เป็นโทษกับตัวเอง
2. ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำ
ถ้าเรียนรู้คุณธรรม 2 ข้อนี้แล้ว ต่อไปเขาจะรู้จักยับยั้งชั่งใจ และควบคุมอารมณ์ที่จะกระตุ้นให้ทำผิดได้มากขึ้น
ถ้า 2 ข้อนี้ไม่ผ่าน เขาอาจจะโตขึ้นเป็นนักเลงอันธพาล หัวขโมย หรือแม้แต่นักการเมืองที่ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงก็ได้
คงไม่มีใครอยากเห็นลูกเป็นแบบนั้น...
เริ่มที่ข้อแรกก่อนค่ะ การจะทำให้ลูกกล้าพูดความจริงได้นั้น เราต้องทำให้เขามั่นใจก่อนว่า พ่อแม่รักเขา และพร้อมจะให้อภัยเขาเสมอ อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะรักก็ต่อเมื่อเขาเป็นเด็กดีเท่านั้น
เพราะสิ่งที่เด็กวัยนี้กลัวที่สุด คือการไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่(หรือคนที่เขารัก) ที่เขาต้องหาเรื่องโทษนั่นโทษนี่ หรือแม้แต่พูดไม่จริง ก็เพราะกลัวว่าจะสูญเสียความรักจากพ่อแม่ไป
เวลาที่จะดุด่าว่ากล่าวจึงควรจะตำหนิที่ การกระทำ มากกว่า ตัวของเขา
เขาทำสิ่งไม่ดี ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี
ดังนั้น แทนที่จะพูดว่า "ทำไมถึงซนอย่างนี้นะ" ก็ให้พูดว่า "ลูกเห็นแล้วใช่ไหมว่าถ้าเล่นไม่ระวัง มันทำให้ข้าวของเสียหาย แล้วลูกก็จะเจ็บตัวได้ ถ้ากระจกบาด"
แล้วมันก็จะนำไปสู่คุณธรรมข้อ 2 ค่ะ เพราะถ้าลูกรู้ว่าพ่อแม่ไม่ชอบการกระทำของเขา ไม่ใช่ตัวเขาแล้ว เด็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวมาบ่ายเบี่ยงความผิด
คุณโสภณ สุภาพงษ์ วุฒิสมาชิกที่พ่วงตำแหน่งคุณพ่อลูกสองเคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาเรื่องคืนความเข้มแข็งสู่ครอบครัวไทย ว่า
"เวลาคนเราทำอะไรผิด เขาต้องการใครสักคนที่เขาสามารถบอกได้ว่า ..เรารู้ว่าเราผิด เราอยากจะแก้ตัวใหม่... และคนๆ นั้นต้องอยู่ที่บ้าน... ถ้าลูกทำผิด ผมจะกอดเขา เพราะผมต้องการให้ลูกรู้ว่าไม่ว่าผิดหรือถูก ทำดีหรือเลว ผมก็จะอยู่ข้างเขา ผมอยากให้เขามั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือลูกจะพลาดพลั้งมาอย่างไร พ่อแม่จะให้โอกาสเสมอ"
ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่คอยแต่จะจับผิด และคาดคั้นให้สารภาพ พอสารภาพแล้วก็ยังทำโทษหรือดุด่าว่ากล่าวรุนแรงซ้ำอีก ลูกก็จะเรียนรู้ที่จะหนีปัญหามากกว่ายอมรับความจริง เพราะความจริงทำให้เขาเจ็บปวด ตราบใดที่ยังไม่ถูกจับได้ เขาก็ไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดนั้น เท่ากับเรากำลังฝึกให้ลูกหลบเลี่ยงความรับผิดชอบโดยไม่รู้ตัว
น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์เด็กและนักเขียนประจำใน life&family เคยเขียนไว้ในคอลัมน์วัยรุ่นต้องวุ่นวาย ฉบับเดือนมิถุนายน 2544 ว่า
"...ถ้าเราลดความโมโหและผิดหวังในตัวลูกลงได้ การพูดจาหรือลงโทษที่ทำร้ายเด็กมากเกินไปก็จะลดลง แต่มิได้หมายความว่าห้ามดุว่าสั่งสอน แต่การดุด่าหรือทำโทษทางร่างกายที่รุนแรงนั้นมักนำมาซึ่งการวางเงื่อนไขทางลบ
"หากลูกรู้สึกว่าผิดจริง พ่อแม่ให้ความอบอุ่นมาสม่ำเสมอ การดุด่าทำโทษมักได้ผล แต่ถ้าแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงดูใกล้ชิด มาถึงก็เอะอะลงไม้ลงมือ นี่คือการวางเงื่อนไขทางลบ ทำให้เกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก..."
ครั้งต่อไปที่ลูกทำผิด ให้พ่อแม่ควบคุมอารมณ์ของตนเองก่อน แล้วบอกสิ่งที่เราต้องการให้สั้นและกระชับที่สุด อย่าเสียเวลาเทศนายืดยาว (เพราะเด็ก ๆ มีสมาธิฟังอยู่ได้ไม่นานหรอกค่ะ) เช่น
"แม่รู้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจ นี่ไงแม่ถึงไม่อยากให้ลูกเล่นใกล้ ๆ กระจก"
และแม้มันจะเป็นอุบัติเหตุ เขาก็ควรจะช่วยแก้ไขในความผิดพลาดนั้นๆ
"เอ้า! ไปเอาไม้กวาดมา แม่จะช่วยเก็บเศษแก้วตรงนี้เอง"
แล้วถ้าลูกทำท่าจะเถียงต่อ ก็ให้นิ่งไว้หรือเดินหนีไปเลยก็ได้ เพราะถ้ายิ่งต่อปากต่อคำ ก็เท่ากับเราเปิดช่องให้เขาหาข้อแก้ตัวมาอ้างมากขึ้น แต่อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ยอมรับเหตุผลของลูกนะคะ เพียงแต่รอให้เหตุการณ์มันสงบลงก่อน
ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมเถียงด้วย เขาจะได้มีเวลาคิดทบทวนถึงสิ่งที่ทำลงไปมากขึ้น คิดดูใหม่ว่าทำอะไรไม่ถูกต้อง คิดออกแล้วมาสารภาพได้ แต่ถึงจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ อย่างน้อยเขาก็ได้บทเรียนไปแล้ว
อย่าลืมว่า การยอมรับความผิดพลาดของตัวเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็เถอะ เรื่องแบบนี้จึงไม่อาจจะสอนกันได้ด้วยเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว หากต้องอาศัยเวลาและความอดทนอย่างมหาศาลของพ่อแม่
...โดยมีความรักเป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุด
คำพูด การกระทำของพ่อแม่ ส่งผลต่อนิสัยของลูกได้เหมือนกัน........