Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
D = Movies
D = Series
Kamen Riders
D = T a l k
D = T e l l
D = T r i p
D = T r a c k
D = B o O k
D = T h i n k
D = D o g s' D i a r y
D = M o m & D a d
D = TO .. my dear Son
<<
สิงหาคม 2554
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
18 สิงหาคม 2554
:: แม่..ผู้หญิงที่ขี้บ่น ฯลฯ
All Blogs
:: 1st Photobook
web Montessori
:: Montessori
:: ของเล่นสำหรับเด็กวัยแรกเกิด - 6 ขวบ
:: โดนผู้ชายที่ไม่ใช่สามี 'จูบปาก'
:: ก เอ๋ย ก ไก่
:: แม่..ผู้หญิงที่ขี้บ่น ฯลฯ
:: งง ๆ กับหมอพัฒนาการเด็ก
:: ก็เก็บไว้ปั๊มคนต่อไป.. ;D
:: กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการทางด้านภาษา
:: เสริมความฉลาดของลูกผ่านการเล่น
:: ลูกติดการดูดนิ้ว
:: ผื่น..ปัญหาใหญ่ของลูกน้อย
:: ตรวจสุขภาพลูก จาก ' อึ '
:: 15-12-53 ฮูโต๋มาแล้วคร้าบ
:: 14-12-53 เจ็บเตือนแล้วจ้า
:: 13-12-53 ได้ชื่อจริงแล้วล่ะ
:: 12-12-53 อะไรกันเนี่ย!!
:: 08-12-53 เจ็บเตือน
:: 06-12-53 ไหว้เจ้าขอพร
:: 28-11-53 สรุปว่าต้องผ่าคลอด
:: ของแม่ ๆ ลูก ๆ จากเปิดท้ายชานเรือน
:: 17-11-53 ว่าที่คุณแม่ควรรู้ เกี่ยวกับการให้นมลูก
:: 14-11-53 น้ำหนัก 68.05 แล้วจ้า
:: 11-11-53 ทำอย่างไรจึงปั๊มนมและเก็บนมได้เพียงพอ
:: 30-10-53 น้ำหนักลูกตกเกณฑ์
:: 23-10-53 Tips เล็กๆน้อยๆ
:: 20-10-53 สะอึกแล้วครับ
:: 16-10-53 ตะคริวอีกครั้ง
:: 01-10-53 ตะคริวมาแล้ว
:: 25-09-53 น้ำหนักขึ้น 2.5 กก.
:: 28-08-53 น้ำหนักขึ้น 2.5 กก.
:: 09-08-53 ดิ้นแล้วคร้าบ
:: 31-07-53 ไอ้จู๋น้อย
:: 08-07-53 เส้นเอวหายไปแล้ว
:: 29-06-53 แม่ท้อง กับ ความฝัน
:: 26-06-53 แม่ท้อง กับ คอปูด
:: 23-06-53 สามเดือนแล้วจ้า
:: 30-05-53 หัวใจเต้นตุ๊บๆ
:: 27-05-53 นอนทั้งวัน
:: 24-05-53 อยากกินมาม่า
:: 18-05-53
:: 16-05-53 Yes!!
:: 11-03-52 ถอดใจ
:: 17-02-52 TVS-3
:: 10-02-52 TVS-2
:: 05-02-52 TVS
:: 01-02-52 เก็บน้ำเชื้อ
:: 01-02-52 ฉีดสี
:: 23-01-52 แป่ว.ว..วว
:: 22-01-52 ครบ 6 สัปดาห์
:: 21-01-52 คำแนะนำจากคุณแม่ลูกสอง
:: 20-01-52 ตรวจสุขภาพประจำปี
:: 19-01-52 พบคุณหมอครั้งแรก
:: มาแล้วจริงๆเหรอ??
:: มื้อเช้าเพื่อลูกชาย
:: เตรียมตัวเพื่อวัน d-day
:: อยากมีไอ้ตัวเล็กมั๊ย
:: แม่..ผู้หญิงที่ขี้บ่น ฯลฯ
บทความนี้เขียนโดย ครูเจน เจ้าของ login : JanE & IK
เจ้าของ Blog ได้ขออนุญาตเจ้าของบทความแล้วค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
~ แม่..ผู้หญิงที่ขี้บ่นกลุ้มมันได้ทุกเรื่องและไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง ~
เจนเขียนเรื่องนี้ขึ้นหลังจากเด็กที่ดูแลมาบ่นให้ฟัง "แม่หนูเป็นอะไรไม่รู้นะครู ขี้บ่น หาเรื่องกลุ้มมันได้ทุกเรื่อง แถมไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง เมื่อไหร่จะปล่อยวางได้สักที"
เจนเลยอธิบายให้เธอฟังประมาณว่าคนเป็นแม่รู้สึกยังไง รักและห่วงลูก(และสับสนในตัวเอง)มากขนาดไหน แบบเดียวกันกับที่เจนเขียน
.
.
.
จุดเริ่มต้นของความเป็นแม่นั้นเริ่มเมื่อรู้ว่าเราตั้งครรภ์
พอสองขีดขึ้นมาเราก็ดีใจมีความสุขที่จะได้มีเจ้าตัวน้อยมาคอยเคียงข้าง แต่พอสักพักไม่นานเราก็เริ่มกลุ้มใจเพราะคิดได้ว่าก่อนหน้านั้นเราเผลอกินทั้งกาแฟ ทั้งวิสกี้ อีกทั้งยาสารพัดเข้าไป คิดแต่ลูกในท้องฉันจะแข็งแรงจะปลอดภัยจะครบสามสิบสองหรือเป็นอะไรบ้างไหมนะ
หลังจากนั้นเราก็ไปฝากท้อง พอหมอบอกเท่าที่ดูลูกคุณปลอดภัย เราก็ดีใจ พอกลับมาเราก็มาลุ้นใหม่ว่าฉันจะได้ลูกชายหรือลูกสาว
วันต่อมาเราไปคุยกับเพื่อนข้างบ้านแล้วกลับมานอนกลุ้มใจ ลูกชายโตมามันจะติดยาไหม ลูกสาวจะท้องก่อนวัย แบบที่พี่เขาบอกไว้หรือเปล่า
ผ่านคืนนั้นเราคิดได้แล้วก็สบายใจ ลูกสาวหรือลูกชายมันจะไปสำคัญตรงไหนเพราะต่อให้เลือกได้ พอโตไปลูกก็คงจะเลือกเพศใหม่อยู่ดีละ
คราวนี้เราสบายใจแล้วเราก็กินๆๆบำรุงเข้าไป พอน้ำหนักไม่ขึ้นเราก็กลุ้มใจ ลูกฉันจะได้สารอาหารครบไหม แต่พอลูกคลอดออกมาแล้วน้ำหนักยังไม่จากไปเราก็กลุ้มใหม่ ยิ่งเวลาที่เจอใครๆแล้วเขาถามว่าอุ้มท้องมาเป็นปีแล้วทำไมยังไม่คลอด
ตอนลูกยังเล็กลูกติดมือวางเมื่อไหร่เป็นร้องไห้ เราไม่พอใจบอกจะไม่ให้แม่ทำอย่างอื่นเลยใช่ไหม พอสักพักลูกไปติดพี่เลี้ยงแทนเราก็กลุ้มอีก บอกทำไมๆลูกไม่รักแม่แล้วหรือ
โตขึ้นอีกหน่อยลูกเริ่มตั้งไข่ พอนานเข้ายังทำไม่ได้ เราก็กลัวเข้าไป กลัวลูกจะเดินไม่ได้ พอเดินได้ ลูกก็วิ่งมันทั้งวัน เราก็บอกแม่ไม่ไหวแล้วจะซนไปถึงไหนอยู่เฉยๆบ้างได้ไหมแม่เวียนหัว
เมื่อลูกถึงวัยที่ต้องพูดแล้วยังพูดไม่ได้เราก็กลุ้ม(รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้)กลัวลูกพูดไม่ได้ พอลูกเริ่มพูดได้หลังจากนั้นเธอก็พูดไม่ยอมหยุดเราก็รำคาญใจบอกเมื่อไหร่ลูกจะเงียบได้สักทีนะ
ตอนเล็กๆลูกไม่กินข้าวเราเครียด กลุ้มมากมาย ลูกฉันจะโตไหม พอโตเป็นสาวลูกกินมากจนเสื้อผ้าไม่มีไซส์เราก็กลุ้มใหม่หุ่นแบบนี้แล้วใครจะมามองลูกแม่ละเนี่ย
ลูกดื้อมากเราบอกแม่ทนไม่ไหว ขืนปล่อยไว้เดี๋ยวเป็นเด็กเอาแต่ใจ ว่าแล้วก็ฟาดเข้าให้ พอตีลูกเสร็จเราก็มานั่งร้องไห้ ถามตัวเองแต่ฉันทำอย่างนั้นไปได้ยังไง โตจนเป็นผู้ใหญ่ทำไมแค่นี้ไม่รู้จักห้ามใจตัวเอง
พอส่งลูกเข้าอนุบาล ลูกยืนเกาะประตูลูกกรงร้องไห้ เราโมโหว่ามันจะร้องไปทำไม เดี๋ยวตอนบ่ายแม่ก็มารับแล้ว พอเราแก่ไปวันหยุดเราก็เกาะประตูรอให้ลูกมาหา พอลูกโทรมาบอกมาไม่ได้ เดือนหน้าค่อยมาใหม่เราก็ร้องไห้แบบเดียวกันกับที่ลูกร้องในตอนนั้น
ลูกเข้าประถมย้ายโรงเรียนใหม่เราก็กลัวว่าลูกจะไม่มีเพื่อน เข้ากับคนอื่นไม่ได้ กลุ้มมันเข้าไป พอลูกขึ้นมอปลายเราก็กลุ้มใหม่เพราะลูกเข้ากับเพื่อนได้ดีเกินไปจนกลายเป็นเด็กติดเพื่อน
เราบอกไม่อยากให้ลูกเอาแต่เรียนเดี๋ยวจะเครียดไป แต่พอลูกแข่งขันสู้เด็กที่เรียนอย่างเดียวไม่ได้สุดท้ายเราเองที่กลับกลายเป็นฝ่ายเครียด
เราอยากให้ลูกมีความคิดเป็นของตัวเอง กล้าคิดกล้าตัดสินใจ แต่พอลูกเริ่มทำได้ เราก็บอกแม่ทนไม่ไหว ปีกกล้าขาแข็งนักแล้วหรือยังไง
เราอยากให้ลูกดูแลตัวเองได้ แต่เมื่อลูกทำได้ทุกอย่างเราก็กลัวอีกกลัวว่าเราจะหมดความสำคัญอีกต่อไป
เราบอกให้ลูกตั้งใจเรียนจะเรียนเก่งหรือไม่ๆเป็นไร แต่พอสิ้นปีลูกสอบติดอันดับไม่ได้เราก็ไม่พอใจบอกตั้งใจแทบตายทำไมได้แค่นี้ละลูก
วันหยุดเราอยากให้ลูกพักผ่อน สบายๆ แต่พอลูกไม่มีความสามารถพิเศษด้านดนตรีเหมือนลูกใครๆเราก็รับไม่ได้อีก
ตอนเด็กเราไล่ให้ลูกไปนอนคนเดียวลูกไม่ยอมไป เราก็ไม่พอใจบอกจะเป็นลูกแหง่จะติดแม่ไปถึงไหน พอลูกโตเป็นวัยรุ่นลูกบอก "หนูจะไม่นอนกับแม่อีกต่อไป" เราก็น้ำตาตกในคิดในใจว่าแล้วแม่จะนอนกอดใครละทีนี้
เมื่อลูกขึ้นมอปลายพอลูกเริ่มมีเพื่อนต่างเพศเราทนไม่ได้บอกอายุแค่นี้จะรีบหาแฟนไปถึงไหน พออีกสิบห้าปีผ่านไปลูกไม่มีใครเราก็ทนไม่ได้อีกบอกขืนเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลาน
เมื่อลูกถามว่าจะเรียนต่ออันนี้ดีไหม เราบอกลูกว่า แล้วแต่ใจ แต่พอลูกเลือกแล้วไม่ถูกใจเราก็รับไม่ได้บอกคณะนี้แกเรียนจบไปรับรองเงินเดือนไม่พอยาไส้แน่ๆ
ตอนลูกเด็กๆพอเรากินเหล้า แล้วลูกมาถามว่าแม่ไม่ดื่มจะได้ไหม เราบอกไม่ได้แม่ต้องเมา แม่ต้องเข้าสังคม ลูกยังเด็กลูกจะไปรู้อะไร พอลูกเข้ามหาลัยลูกไปเมากับเพื่อน เราก็ไม่พอใจบอกกินเหล้าเมาให้มันได้อะไร ถ้าอยากเมามากนักหนูปั่นจิ้งหรีดอยู่บ้านก็ได้นี่ลูก
พอลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราก็เครียดกลัวลูกสอบเข้าไม่ได้ พอสอบเข้าได้เราก็ภูมิใจ แต่ไม่นานเราก็มากลุ้มใหม่ว่าลูกฉันจะเรียนไหวไหมจะโดนรีไทร์หรือเปล่า
ลูกใกล้จะเรียนจบเราก็ดีใจ ลูกฉันจะต้องมีอนาคตสดใส แต่พอคิดว่าจบมาเศรษฐกิจแบบนี้จะหางานได้ยังไงหรือว่าฉันจะต้องพาไปฝากกับใคร สุดท้ายเราก็ได้เรื่องเริ่มกลุ้มใหม่อีกหนึ่งเรื่อง
พอลูกได้งานเราก็ดีใจบอกลูกแม่เอาตัวรอดได้ แต่พอลูกเอาแต่ทำงานเลิกดึกๆดื่นเราก็กลุ้มใหม่บอกเอาแต่ทำงานๆๆแล้วจะมีเวลาไปเจอใครแล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลาน
แต่พอสักพักลูกพาแฟนมาที่บ้านเราก็กลุ้มใหม่ พ่อแม่เจ้าหมอนี่เป็นใคร หัวนอนปลายเท้านะมีไหม จะมาดีมาร้ายหรือจะมาหลอกลวงลูกฉันไปทำอะไรรึเปล่า
พอลูกแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเราก็ดีใจ บอกหมดห่วงอีกต่อไป แต่อีกใจเราก็กลัวว่าลูกมีครอบครัวใหม่แล้วลูกจะลืมเราไปหรือเปล่า
สักพักลูกท้องเราก็ดีใจ เสร็จแล้วเราก็ตั้งต้นกลุ้มใหม่ ยาบำรุง ของแสลง อยู่ฟืน อยู่ไฟ แม่บอกแทบตายลูกมันไม่สนใจบอกแต่แม่ไม่ทันสมัย ถ้าแม่เป็นเฟซบุ๊ค(facebook)นะ หนูไม่กดไลท์(like)ให้แน่ๆ
พอไม่นานหลานคลอดออกมาเราก็ดีใจ ไม่ทันจะกี่เดือนก็กลุ้มใหม่ เถียงกับลูกมันเข้าไป เรื่องกินนม กินกล้วย นมผงนมชงสูตรไหนๆ เถียงแล้วก็คิดในใจแม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอยแกจะมารู้อะไรไปมากกว่าแม่
พอหลานโตอีกหน่อยเราก็เริ่มสบายใจ จะได้ไม่ต้องเถียงกันเรื่องควรให้หลานกินอะไร แต่พอไม่นานก็เริ่มกลุ้มใหม่เมื่อลูกถามว่า "แม่จะตามใจหลานไปถึงไหน ถ้าเลี้ยงอย่างนี้แล้วโตไปแล้วใครละจะเอาอยู่"
เราก็มานั่งนึกใจก็ตอนแกยังเด็ก แม่ทำงาน แม่เหนื่อย เงินทองก็ไม่มีสักเท่าไหร่ บางครั้งก็เผลอใส่อารมณ์บางทีก็โหดกับแกเกินไป พอตอนนี้แม่คิดได้ อยากจะแก้ตัวใหม่ แกจะมาห้ามอะไรแม่นักหนา
พอหลานโตจนเข้าโรงเรียนได้ เราก็มานั่งกลุ้มใหม่กลุ้มเป็นวัฏจักรรอบต่อไปแบบที่เคยกลุ้มกับลูกในใส้เรามาก่อน
หลานโตขึ้นมาเรียนจบได้ใบปริญญา ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกลุ้มอีกต่อไป แต่พอตอนนี้ก็ถึงวัย วัยที่สารพัดโรคเริ่มถามหา
ในใจก็อยากอยู่ต่อ แต่สังขารมันบอกลา อีกทั้งพอรู้ลูกต้องจ่ายค่ารักษาเดือนละเท่าไหร่ก็เริ่มถอดใจ คิดแต่ว่าถ้าต้องจ่ายค่ารักษาแบบนี้กันตลอดไปแล้วลูกฉันจะเหลือเงินทองสักเท่าไหร่ไม่ต้องขายรถขายไร่หรือไงหนา
จนท้ายสุดสิ่งที่ไม่ว่าใครหลีกหนีไม่ได้คลานเข้ามา แม่ก็ยังไม่ยอมจะจากไป ยังแข็งใจรอจนลูกมาปิดตา ถึงครานั้นก็เป็นอันได้เวลา เป็นอันว่าได้สิ้นสุดความกลุ้มใจ
(สิ่งที่เจนเขียนมาจากประสบการณ์โดยตรง ประสบการณ์ของคนรู้จัก และจากสิ่งที่ได้รับฟังจากคนอื่นๆต่อๆกันมา ไม่ใช่ประสบการณ์ของตัวเองคนเดียวค่ะ)
เจน
จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 06:48:42
Create Date : 18 สิงหาคม 2554
Last Update : 18 สิงหาคม 2554 22:12:53 น.
3 comments
Counter : 1140 Pageviews.
Share
Tweet
ขอบคุณคะ
เห็นเขียนไว้ข้างๆว่า
สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง
การหาคำตอบ
กับ
การพิสูจน์ว่าคำตอบ
ที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่
.
.
การหาคำตอบง่ายกว่าเป็นร้อยเท่าคะ
อย่างถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้คนร่ำรวย
ตอบได้เป็นร้อย
ขยัน โชคดี โอกาส ความฉลาด มรดก ถ้าถามว่าถูกไหมก็ถูกหมด
แต่การพิสูจน์คำตอบนั้นหลายกรณียากมากๆ
ขึ้นกับว่าใช้ทฤษฎีอะไร มองมุมไหน และมักจะมีข้อโต้แย้งมากมาย
เช่น ถ้าเราจะพิสูจน์ว่าขยันแล้วร่ำรวย ก็ต้องมีคนแย้งว่าถ้าขยันแต่โง่ อย่างไปกู้เงินร้อยละยี่สิบมาค้าขาย ขยันแทบตายก็ไม่รวย อะไรทำนองนี้คะ
โดย:
JanE & IK
วันที่: 18 สิงหาคม 2554 เวลา:22:55:14 น.
ที่บอกว่า
"สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง การหาคำตอบ กับ การพิสูจน์ว่าคำตอบที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่"
วลีนี้เอามาจาก วรรณกรรมสืบสวนของญี่ปุ่นค่ะ
"รัก ลวง ตาย"
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vbenj&month=01-2009&date=04&group=8&gblog=21
ลองหาอ่านดูค่ะ สนุกดี
โดย:
เจ้าการเวกเสียงหวาน
วันที่: 19 สิงหาคม 2554 เวลา:8:34:52 น.
นี่แหละ..คือ แม่..^__^
โดย: ซีทะเล (
kae+aoe
) วันที่: 19 สิงหาคม 2554 เวลา:15:58:55 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
เจ้าการเวกเสียงหวาน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [
?
]
สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง
การหาคำตอบ
กับ
การพิสูจน์ว่าคำตอบ
ที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่
Friends' blogs
nyx
โสดในซอย
latics1
กึ่งยิงกึ่งผ่าน
apple_cinnamon
Chulapinan
แม่ปลาช่อน
shiryu
Webmaster - BlogGang
[Add เจ้าการเวกเสียงหวาน's blog to your web]
Links
Pantip = คลับเพชรพระอุมา
imusic = ฟังเพลงยุค 70-80
Toolshell = Flash Clocks
Wikipedia = Public Encyclopedia
Popcorn = Galileo
Popcorn = F.M.
Exteen = Molecularkitten
หนังสือมือสอง
ร้านหนังสือออนไลน์
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เห็นเขียนไว้ข้างๆว่า
สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง
การหาคำตอบ
กับ
การพิสูจน์ว่าคำตอบ
ที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่
.
.
การหาคำตอบง่ายกว่าเป็นร้อยเท่าคะ
อย่างถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้คนร่ำรวย
ตอบได้เป็นร้อย
ขยัน โชคดี โอกาส ความฉลาด มรดก ถ้าถามว่าถูกไหมก็ถูกหมด
แต่การพิสูจน์คำตอบนั้นหลายกรณียากมากๆ
ขึ้นกับว่าใช้ทฤษฎีอะไร มองมุมไหน และมักจะมีข้อโต้แย้งมากมาย
เช่น ถ้าเราจะพิสูจน์ว่าขยันแล้วร่ำรวย ก็ต้องมีคนแย้งว่าถ้าขยันแต่โง่ อย่างไปกู้เงินร้อยละยี่สิบมาค้าขาย ขยันแทบตายก็ไม่รวย อะไรทำนองนี้คะ