Maybe I'm just a fool
I should keep to the ground,
I should stay where I'm at
Maybe everyone has hunger like this and the hunger will pass
But I can't think like that
: Flight - Craig Carnelia
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 

ดีอาเรียน บทที่ 1

บทที่ 1

น้ำใสในลำธารเย็นฉ่ำเมื่อดีอาเรียนลดกายลงนั่งบนโขดหิน ถอดรองเท้าสานและแตะปลายเท้าเปล่าจุ่มลง หล่อนเงยหน้าให้แสงแดดสดสว่างส่องต้องพลางสูดหายใจเอาอากาศสดชื่นของต้นฤดูใบไม้ผลิเข้าลึก เสียงดนตรีจากบริเวณลานจัดงานรื่นเริงด้านหลังยังแว่วผ่านหมู่ไม้ซ้อนสลับมา จังหวะรัวจากเครื่องสายที่เรียกว่าเชเลสะท้อนไหวเคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะ การเต้นรำกำลังครึกครื้นเต็มที่

งานฉลองฤดูใบไม้ผลิอันเรียกกันว่างานเทศกาลฟีราห์นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดอกไม้หลากสีเบ่งบานละลานตา...ประดับไปทั่วทั้งงาน ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่าสมัยอาซาห์ยังรุ่งเรือง กลางเมืองหลวงมีหอระฆังอยู่หอหนึ่งสร้างจากหินสีขาวล้วนทั้งหอ และหลังจากการเคลื่อนขบวนแห่ดอกไม้ท้ายเทศกาล สาวงามผู้ได้รับตำแหน่งราชินีแห่งเทศกาลฟีราห์จะโยนดอกไม้เสี่ยงทายลงมาจากหอนั้น

...ดอกไม้ดอกเดียวจากมือราชินีแห่งเทศกาลฟีราห์ แปลว่าผู้ได้รับจะสมปรารถนา...

หนุ่มๆ มักเข้าไปชิงดอกไม้ดอกนั้นและนำมามอบให้หญิงสาวที่ตนหมายปอง...แทนคำสารภาพและปรารถนาแห่งรัก เชื่อว่าพรจากดอกไม้จะทำให้หนุ่มสาวได้พบรักอันงดงามและเป็นนิรันดร์

วันนี้เมื่อความรุ่งเรืองทั้งหมดลบสลาย ฟีราห์กลายเป็นเพียงเทศกาลพื้นเมืองง่ายๆ ซึ่งชาวบ้านจัดกันเอง แต่ธรรมเนียมและความเชื่อเดิมยังอยู่ ดีอาเรียนออกมางานเทศกาลนี้ตั้งแต่ยังเยาว์จนเติบโต เฝ้าดูมันทุกปี

...แต่...

หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่วเบา ก้มหน้าลงแตะปลายนิ้วกรายกับพื้นน้ำ ทว่าภาพเงาวูบไหวบางอย่างซึ่งสะท้อนอยู่เบื้องหลังรูปเงาของหล่อนในม่านน้ำทำให้อากัปนั้นชะงักลง ร่างบางเกร็งขึ้นฉับพลัน และอึดใจถัดมาหล่อนก็ชักมือกลับ หันขวับไปเบื้องหลัง

“ข้ามารบกวนท่านหรือเปล่า?”

เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงซึ่งยืนอยู่หลังหล่อนขยับตัว ค้อมศีรษะลงอย่างกึ่งทักทายกึ่งขออภัย ริมฝีปากบางเฉียบของเขาแต้มรอยยิ้มเกือบเป็นเย็นใจ...ทั้งที่เจ้าตัวดูน่าสง สัยและผิดที่ผิดทางอย่างยิ่ง

คนต่างถิ่น...ดีอาเรียนแน่ใจเช่นนั้น และไม่ใช่เพียงเพราะหล่อนไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนเลยในช่วงเวลานับสิ บปีที่หล่อนเติบโตขึ้นที่นี่ แต่เพราะทุกอย่างในตัวเขาดูแปลก โดยเฉพาะการแต่งกายอันเป็นสีขาวล้วนไล่ตลอดตั้งแต่เสื้อลงไปจนจรดเท้าในรองเท้าหนังส้นหนา...เข้าชุดกับเครื่องประดับเงินแบบโบราณ มันตัดฉับกับสีผมดำสนิทของเจ้าตัวซึ่งไว้ระต้นคอแบบชนชั้นสูงและขับดวงตาสีเข้มคมกริบเกือบเป็นเฉดเดียวกันนั้นให้เด่นขึ้นบนดวงหน้า

แค่ ‘เกือบ’ เป็นเฉดเดียวกัน เพราะดวงตาคู่นั้นแม้แลเผินๆ คล้ายเป็นสีดำอย่างน้ำหมึก แต่เมื่อร่างสูงสืบเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นและแสงแดดตกกระทบ...หล่อนเห็นได้ว่าแท้จริงมันเป็นสีน้ำเงิน เข้มจัดราวกับเวิ้งฟ้าราตรี และให้อารมณ์เร้นลึกยากจะหยั่งไม่แพ้กัน

ทว่าในความแปลกทั้งหมดนั่น ที่น่าระแวงที่สุดคือวิธีการเคลื่อนไหว การที่เขาเข้ามาเกือบประชิดตัวหล่อนได้โดยไม่มีแม้เสียงฝีเท้า...ราวกับภูตซึ่งปรากฏตัวขึ้นจากอากาศธาตุ

“ไม่ถึงขนาดนั้น”

หญิงสาวตอบคำอย่างระมัดระวังพลางขยับลุกขึ้นบ้าง มองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววพิจารณาขณะออกปากถามต่อ “ท่านผ่านทางมาหรือ”

“เปล่า ข้าตั้งใจมาดูอะไรบางอย่างแถวนี้” เขาตอบหลังจากยิ้มให้หล่อนอีกครั้ง รอยยิ้มมีเสน่ห์...เกือบเป็นขี้เล่นอย่างเด็กๆ ซึ่งทำให้บรรยากาศลึกลับอันห่อหุ้มเจ้าตัวอยู่นั้นถูกกลืนหายไปชั่วขณะ หน้าคมคายเบือนกลับไปยังทิศที่ลานเต้นรำตั้งอยู่ เปรยทีเล่นทีจริง

“ท่านไม่ไปเต้นรำกับเขาด้วยหรือ หรือว่าคนรักท่านไม่อยู่? ถ้าข้าฟังไม่ผิด...เขากำลังเล่นเพลงรักยอดนิยมอยู่นะ”

หญิงสาวหน้าเป็นสีก่ำขึ้น และพวงแก้มระเรื่อเลือดฝาดของหล่อนก็ยิ่งจัดสีหนักขึ้นไปอีกเมื่อเสียงทุ้มของชายหนุ่มตรงหน้าขับขานขึ้นเบาๆ คลอไปกับดนตรีซึ่งกำลังเล่นเพลงที่หล่อนได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน

“ลมอุ่นพลิ้วพามารวยรื่น
เสียงสะอื้นจักจางห่างหาย
ความหนาวหนาวนักจักคลาย
เปิดตา...เปิดใจ...สักครั้ง...”

“ท่าน...”

ทว่าก่อนดีอาเรียนจะทันปรามไปมากกว่านั้น เพลงท่อนถัดมาก็ก้องขึ้นในจิตใจหล่อน แม้ด้วยท่วงทำนองของเพลงรักเพลงเดิม ทว่าด้วยเนื้อร้องซึ่งผิดแผกไปโดยสิ้นเชิง

...และเสียงนั้น...เสียงหวานเสนาะของผู้หญิงซึ่งราวกับจะลอยมาจากอดีต...แสนไกล

“...ปรารถนาดีงาม...ความกล้า
ขีดชะตาชีวิตดังจิตหวัง
มือเจ้าจักผันเปลี่ยนบัลลังก์...”

“ท่านแม่?”

หญิงสาวครางในคอก่อนจะทันยั้ง เสียงในใจกระชาก...ขาดห้วง และสติก็กลับคืนมาอีกคราเมื่อหล่อนแลไปเห็นสีหน้าซึ่งคลายรอยยิ้มไปแล้วของช ายหนุ่ม เขามองมายังหล่อนด้วยดวงตาสีรัตติกาลอันยากจะอ่าน

...กังวล?

“ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

มือแข็งแรงของเขาเอื้อมออกอย่างถือวิสาสะ ยึดเรียวแขนบอบบางของหล่อนไว้ ตาสบตา...ก่อนร่างบางจะสะท้านไหวไปนิด หล่อนถอยกลับ ปลดมือเขาออกอย่างรีบร้อน หัวใจโลดผิดจังหวะยามวงหน้างามเบือนหนี

“ข้า...ข้าไม่เป็นไร”

แววพิศวงวูบขึ้นบนหน้าคมคาย ก่อนมันจะแปรเป็นความขบขันเจือจาง เขาหัวเราะออกมาแผ่วเบา ก่อนจะสั่นศีรษะ ว่ากึ่งยั่วล้อ

“ท่านทำท่าเหมือนกวางตื่น”

“ข้าไม่ได้ทำท่าแบบนั้น ข้า...”

ถ้อยเถียงอย่างเคืองใจขึ้นบ้างของหล่อนสะดุดลงเมื่อชายหนุ่มทำเสียงคล้าย ‘ชู่ว์’ เบาๆ ในคอ ก่อนจะคว้ามือหล่อนช้อนขึ้น โน้มศีรษะลง

ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนหลังมือหล่อน...ผิวเผินจนอาจแทบไม่เรียกว่าสัมผัส แต่ลมหายใจที่เป่ารดนั่นก็ทำให้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นอีกรอบ เสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบแกมรอยหัวเราะ

“ถ้าท่านไม่มีคู่เต้น ให้เกียรติข้าได้ไหม”

...กล้านัก...คือความคิดแรกที่แวบขึ้นในสมองดีอาเรียน และความคิดถัดมาคือการระลึก รับรู้...ว่าที่ไม่เคยมีใครอุกอาจเช่นนี้ เข้าถึงตัวหล่อนขนาดนี้เพราะอะไร

เพราะแม้ฐานันดรศักดิ์ที่ติดตัวอยู่แทบจะเป็นเพียงในนาม ไม่เคยให้อะไรและไม่เคยช่วยอะไรหล่อนเลย แต่ในสายตาคนที่นี่...หล่อนไม่เคยเป็นผู้หญิงธรรมดา

เจ้าหญิง และหากหล่อนเข้าใจไม่ผิด...เป็นเจ้าหญิงซึ่งชาวอาซาห์ไม่ปรารถนา ไม่เคยมีชายใดหันมองหล่อน และแม้มางานฟีราห์ทุกปี หล่อนก็ไม่เคยได้รับเลือกเป็นราชินีแห่งเทศกาล ไม่เคยมีใครคิดชิงดอกไม้มาให้หล่อน ไม่มีใครขอเต้นรำ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนนึกอยากเป็นเพียงคนสามัญ และหล่อนอาจเคยฝันด้วยซ้ำว่าจะมีชายหนุ่มแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้น คนที่ไม่เห็นความสำคัญของคำ ‘เจ้าหญิง’ ที่นำหน้าชื่อหล่อน คนที่ไม่สนใจว่าเลือดในตัวหล่อนเป็นเลือดของใคร คนที่ยิ้มให้หล่อนเพราะหล่อนเป็นหล่อน รักหล่อนเท่านั้น

...คนที่จะเต้นรำกับหล่อนในงานเทศกาล และไม่สนใจหญิงใดหรือสายตาใคร...

แต่กับเสียงเอ่ยแกมหัวเราะของผู้ชายตรงหน้า อารมณ์ซึ่งพุ่งสูงขึ้นในใจดีอาเรียนคือโทสะ เขากล้าดีอย่างไรมาวิพากษ์ท่าทีของหล่อน ทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องน่าขันไปหมด หล่อนไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ผู้หญิงบ้านนอกโง่เง่า ยิ่งไม่ใช่ตัวตลกของชายแปลกหน้าที่ไหน

หญิงสาวสะบัดมือโดยแรงจนหลุดจากการเกาะกุม หล่อนเชิดศีรษะ...ยืดตัวสูงและถอยหลังไปหลายก้าว ตาสบตาสีเข้มของเขาเขม็ง หล่อนปฏิเสธที่จะหลบตาคมคู่นั้น เสียงที่เอ่ยห้วนจัด เย็นชาจนทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“อย่าถือวิสาสะทำตามใจชอบมากนัก เห็นข้าเป็นคนยังไงกัน ข้ายังไม่รู้ชื่อท่านเลยด้วยซ้ำ”

เจ้าของร่างสูงเงียบไปชั่วครู่ เขายังคงแลตรงมา ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ ในที่สุดด้วยวาจาซึ่งฟังหนักแน่น จริงใจอย่างยิ่ง และหากหล่อนไม่ได้คิดไปเอง...เจือความเสียใจอยู่เบาบาง

“ข้าไม่ได้ตั้งใจหมิ่นเกียรติท่าน”

เขายังคงไม่บอกชื่อตัวเอง เพียงมองหล่อนอยู่อีกชั่วขณะ ก่อนจะถอนใจ สั่นศีรษะช้า “ข้าขอโทษ”

ดีอาเรียนยังคงไม่ตอบ หล่อนไม่คิดว่าตนจำเป็นต้องตอบ ร่างบางหมุนกลับอย่างปุบปับ ทำท่าจะเดินหนี

แต่แล้วมือหนาของเขาก็คว้าแขนหล่อนไว้อีกรอบ ทำให้หญิงสาวหันขวับกลับไปด้วยตาฉายประกายเกรี้ยว เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือเจียนจะหลุดจากปาก ถ้าเขาจะไม่สอดบางสิ่งเข้าในมือหล่อนก่อน ดอกไม้ดอกเดี่ยวซึ่งหล่อนไม่รู้...ว่าอีกฝ่ายเอามาจากไหน

แต่ในขณะนั้นหล่อนไม่สนใจ

“ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงโง่ๆ ง่ายๆ ที่ท่านเอาดอกไม้ยัดเข้ามือมาให้ก็ใจอ่อนงั้นหรือ?”

กับถ้อยกราดเกรี้ยวของดีอาเรียน ชายหนุ่มขยับปากเหมือนอยากอธิบาย แต่แล้วเขาก็กลับปิดปากลงอีกครั้งคล้ายกับเปลี่ยนใจเมื่อได้คิดอีกครั้งให้รอบคอบกว่านั้น เขาเพียงถอนใจออกมาอีกรอบ เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆ ในที่สุด

“ข้าไม่ได้หวังให้ท่านใจอ่อน และนี่ก็ไม่ใช่ดอกไม้จากมือราชินีงานฟีราห์ แต่ข้าหวังว่ามันจะเป็นลางดี และความปรารถนาของท่านจะเป็นจริง ไม่ว่าสิ่งไหน”

“ข้าอาจหวังให้ท่านมีอันเป็นไป”

วาจารุนแรงหลุดออกจากปากไปก่อนหล่อนจะทันยั้ง ทว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้าน ดวงตาสีเข้มจัดแค่มองหล่อนนิ่งจนเกือบสร้างความอึดอัด แล้วเสียงทุ้มนั้นจึงตามติดมา เบา...ทว่าแฝงความจริงจังจนน่ากลัว

“ถ้าท่านปรารถนาอย่างนั้น บางทีท่านอาจทำให้มันเป็นจริงได้”

หล่อนไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือจริง...เพราะริมฝีปากบางได้รูปนั้นบิดโค้ง ขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง ทว่ามันเป็นรอยยิ้มที่หล่อนไม่วางใจเอาเสียเลย แม้หลังจากเขาเอ่ยต่ออย่างออกตัว

“ที่ช้าชวนท่านเต้นรำเพราะคิดว่าบางทีท่านอาจอยากเต้น และอีกส่วน...จะว่าข้าลืมตัวไปกับเสียงดนตรีก็คงได้ ข้าไม่ได้ฟังเชเลมานานแล้ว และนักเชเลคนนี้มีฝีมือทีเดียว”

“ท่านรู้จักเครื่องดนตรีพื้นเมืองอาซาห์ด้วยหรือ”

หางเสียงของหญิงสาวบอกความประหลาดใจ เพราะแม้เทศกาลฟีราห์อาจเป็นที่รู้จักในสเลค หรือเพลงอันเป็นที่นิยมบางเพลงอาจถูกพ่อค้าหรือนักร้องเร่เอาไปขับร้องต่อ แต่เชเลเป็นเครื่องสายพื้นเมืองซึ่งเป็นที่รู้จักเพียงในวงแคบ แม้ในเขตถิ่นซึ่งเป็นอาซาห์แต่เดิม การเล่นเชเลก็ไม่ถึงกับแพร่หลาย นักดนตรีทั่วไปนิยมใช้ซอคาเซโรเล่นแทนมากกว่า

“ท่านคงหมายถึงเครื่องดนตรีพื้นบ้านแถบมณฑลดาห์ราเทีย ลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ไม่มีอาซาห์”

ดีอาเรียนชะงัก ผงะไปนิดกับถ้อยคำไม่คิดถึงผู้ฟังที่อีกฝ่ายใช้ ใช่ หล่อนรู้จากสำเนียงการพูดว่าเขาเป็นคนสเลค อาจจะชาวเมืองหลวง และดูจากเครื่องประดับราคาแพงเหล่านั้นคงมีเงินจับจ่ายไม่ขาดมือ แต่การเอ่ยวาจาแบบนี้ในถิ่นที่เคยเป็นอาซาห์มาก่อน...

“อาซาห์ยังเป็นอาซาห์เสมอ ไม่ว่าพวกสเลคจะบังคับตั้งชื่อใหม่ว่าอย่างไร”

“ระวังปากไว้หน่อย การพูดจาแบบนั้นจะทำให้ท่านถูกฆ่า”

น้ำเสียงของเขากระชากห้วนขึ้นทันควันเหมือนยั้งไม่อยู่ ตาสีท้องฟ้าราตรีแลตรงมาเขม็ง แล้วจึงตวัดเบือนไปอีกทางในอึดใจถัดมาคล้ายผู้เป็นเจ้าของเกรงจะระงับอารมณ์ ฉุนเฉียวไว้ไม่ได้ สันกรามนั้นขบเข้าหากันแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยคำต่ำเบาที่ทำให้หล่อนสำลักลม

“ถึงแม้ท่านเป็นเจ้าหญิง ก็ไม่แน่ว่าใครจะแยแสช่วยเหลือท่านถ้าท่านทำให้องค์กษัตริย์พิโรธ”

“ท่าน...ว่าอะไรนะ?”

“ท่านเป็นเจ้าหญิงไม่ใช่หรือ เจ้าหญิงดีอาเรียน”

ชายหนุ่มขานนามนั้นด้วยเสียงทอดออกราวกับล้อเลียน แต่ในดวงตาไม่มีเค้าล้อเล่นยามเสียงทุ้มต่อประโยค

“ระวังไว้ และไม่ใช่แค่ปาก เพราะมีคนบางคนกำลังเคลื่อนไหว เขาอาจพยายามชูท่านขึ้นเป็นหุ่นเชิด คิดให้ดีก่อนทำอะไร”

“ท่านเป็นใคร? และใครกำลังเคลื่อนไหว อะไรกัน?”

ดวงตาสีฟ้าสวยของหญิงสาวทอประกายระแวงปนสับสนขึ้น ทว่าคนถูกถามเหมือนจะไม่คิดตอบเมื่อเขาหันขวับไปทางลานในฉับพลัน สีหน้านั้นเปลี่ยน...เกือบเป็นขัดเคือง ก่อนเขาจะหันมาหาหล่อน เอ่ยคำ “ข้าคิดว่าท่านกำลังจะได้รู้” และเป็นฝ่าย ‘ล่าถอย’ จากไปเสียเอง

ส่วนหนึ่งในใจดีอาเรียนอยากวิ่งตาม อยากซักเขาให้มากกว่านั้น แต่ศักดิ์ศรีตรึงเท้าหล่อนไว้กับที่ มือบางรวบกำเข้าแน่นขึ้นขณะหล่อนมองตามร่างสูงในชุดขาวซึ่งลับตัวไปหลังแนวไม้

...ชุดขาว?

ความทรงจำถึงเรื่องขานเล่าบางเรื่องแวบผ่านมา และหญิงสาวก็รู้สึกหนาววูบขึ้นมานิด

...คงไม่ใช่...

ดีอาเรียนสั่นศีรษะให้กับความคิดเหลวไหลของตนเอง คนสำคัญอย่างนั้นจะมาทำอะไรที่นี่ จะสนใจอะไรหล่อน ยังไม่นับว่าชายหนุ่มผู้นี้อ่อนวัยเกินไปมาก...สำหรับตำแหน่งที่หล่อนนึกถึง

...มันเป็นไปไม่ได้...

“เจ้าหญิง”

คำเรียกนั้นทำให้หล่อนสะดุ้งขึ้นเกือบสุดตัว ดวงหน้างามผินกลับไปยังที่มาของเสียง และแววตื่นในดวงตาก็ผ่อนคลายลงนิดเมื่อหล่อนเห็นว่าผู้เรียกเป็นใคร

“ท่านรามาน”

ชายชราผู้ที่หล่อนไม่ได้เห็นหน้ามาหลายต่อหลายปีน้อมกายลงต่ำ กิริยาซึ่งบ่งบอกการให้เกียรติอย่างสูงยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อตัวเขาเองไม่ใช่เพียงมากอาวุโส แต่ยังเป็นถึงอดีตเสนาธิการทหารแห่งอาซาห์ แม้หลังจากแพ้สงครามเจ้าตัวจะถูกลดฐานะลงเป็นเพียงผู้ใช้แรงงานก็ตาม

“ยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง เจ้าหญิงดีอาเรียน”

ฝ่ายนั้นกล่าวด้วยมารยาทงาม เขาเหลือบตามองดอกไม้สีขาวก้านยาวซึ่งยังอยู่ในมือหญิงสาว แล้วจึงขมวดคิ้วเข้าอย่างพิศวง ออกปากทัก

“ดอกไม้นั่น...ท่านเอามาจากไหน”

“มีคนให้ข้ามา”

ดีอาเรียนว่าพลางคลายมือออกอย่างเพิ่งรู้สึกตัว หล่อนก้มมองตามสายตาของรามาน และคิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าเช่นกันเมื่อเพิ่งสังเกตกลีบดอกรูปหยดน้ำขาวละมุนนั้นถนัดตาเป็นครั้งแรก มันบางใสราวกับแก้วเจียระไน นุ่มนวลเหมือนกำมะหยี่ และยามต้องแสงแลเหลือบเลื่อมราวกับเกล็ดดาว

“ดอกอาเซร่า...หยาดดารา” รามานว่า หางเสียงปนความเคลือบแคลงอยู่เจือจาง “ดอกไม้หายาก...ข้าไม่เห็นมานานมากแล้ว ขอถามได้ไหมว่าใครให้ท่าน?”

หญิงสาวไม่ตอบ หล่อนเพียงตวัดตาฉับกลับจากดอกไม้ไปยังหน้าชายผู้อาวุโสนั้น ประกายตาไม่พอใจต่อการล้ำเส้นที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตน เขาสั่นศีรษะ น้อมกายลงต่ำอีกครั้ง

“อภัยให้คนแก่ด้วย เจ้าหญิง ข้าลืมไปว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน”

ริมฝีปากอิ่มสวยได้รูปเม้มเข้า หล่อนพยักหน้าลง ไม่เอาความเกินไปกว่านั้น แม้สายตาจะยังเจืออารมณ์เคร่ง และรามานก็เปลี่ยนประเด็นเสียเมื่อสัมผัสได้ชัดถึงความไม่พอใจของคนตรงหน้า

“ไม่ได้พบกันนาน ท่านงามขึ้นมาก ยิ่งนับวันยิ่งเหมือน...” เขาลังเลไปชั่วครู่ก่อนต่อคำ “องค์ราชินีเซเลเรีย”

ดีอาเรียนเงียบไปชั่วขณะ หล่อนมองผู้แก่วัยกว่านิ่ง อารมณ์หลากหลายแวบผ่านดวงหน้างดงามนั่นก่อนเจ้าตัวจะถามด้วยเสียงสงสัย

“ท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือ”

“ข้ามีเรื่องสำคัญอยากขอร้อง เราไปคุยกันในที่เงียบๆ เป็นการส่วนตัวได้ไหม”

‘...มีคนบางคนกำลังเคลื่อนไหว เขาอาจพยายามชูท่านขึ้นเป็นหุ่นเชิด คิดให้ดีก่อนทำอะไร...’

วาจานั้นวูบขึ้นในสมองหล่อนฉับพลัน ส่งให้หญิงสาวต้องขยับยิ้มฝืนๆ

...นี่หล่อนกำลังระแวงตามคำคนแปลกหน้าจนเกินเหตุหรือเปล่า?

“ตรงนี้เงียบไม่พอ?”

“ข้าเกรงว่ามีใครมาได้ยิน มันอาจ...อันตราย”

และเมื่อหล่อนยังนิ่ง สีหน้าของอดีตเสนาธิการผู้ชราก็ยิ่งทวีความกระสับกระส่าย เขาหันไปรอบตัวคล้ายกลัวว่าจะมีใครแอบฟัง ก่อนจะลดเสียงลง เอ่ยถ้อยที่ทำให้ดีอาเรียนชะงัก หน้าเปลี่ยนสีไป

“ถือว่าข้าขอร้อง เชิญท่านไปบ้านข้าได้ไหม นี่เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวกับอาซาห์... ราชินี”

******

“ที่สุดท่านรามานก็เคลื่อนไหวแล้ว”

เสียงเปรยนั้นแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องส่วนตัวกว้างขวาง ขณะชายหนุ่มชุดขาวผู้เป็นเจ้าของเสียงหมุนกายกลับมาจากหน้าต่างซึ่งเปิดออกสู่ลานกว้างกลางเมืองหลวงของสเลค แสงสว่างจากภายนอกสาดจับเสี้ยวหน้าคมคาย เผยให้เห็นตาสีน้ำเงินเข้มซึ่งฉายแววครุ่นคิดยามเจ้าตัวพึมพำเบา

“ไม่รู้ว่าเจ้าหญิงจะคิดยังไงกัน”

...เจ้าอยากรู้ก็ล้วงความคิดเธอดูสิ...

หางเสียงไร้ตัวตนที่ก้องขึ้นโดยตรงในสมองเขาออกแกมประชด ถ้อยซึ่งทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้าเข้านิดอย่างกึ่งฉุนกึ่งขัน เขาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ ประสานมือเข้าหากัน เงยหน้ามองเพดานและเอ่ยเสียงเรียบ

“เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ใช่พวกชอบละลาบละล้วงความคิดใคร”

...อ๋อหรือ บางทีข้าน่าจะถามกลับว่าเจ้าหัดมีมารยาทตั้งแต่เมื่อไรกัน?

เสียงนั้นย้อน มันทำให้ชายหนุ่มส่งเสียง ‘หึ’ ในคอ ทว่าไม่ตอบโต้ใดๆ มีเพียงประกายตาซึ่งพราวระยับขึ้น ไม่สะทกสะท้านแม้กับคำกล่าวหาถัดมา

...อย่าพูดดีเหมือนเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนั้นหน่อยเลย การปรากฏตัววันนี้ของเจ้ามันดีดลูกคิดรางแก้วทั้งนั้น เจ้าวางแผนทุกอย่าง ตั้งใจท้าทายรามาน...

“ข้าท้าทายอะไรเขา ข้าไม่ได้พบเขาด้วยซ้ำ”

ริมฝีปากบางเฉียบของชายหนุ่มขยับยิ้มออกมา เขาทำหน้าไร้เดียงสาแบบที่ดูจะทำให้ ‘เจ้าของเสียง’ ยิ่งรู้สึกฉุนปนระอาขึ้นไปอีก เพราะถ้อยถัดมายิ่งปนเค้าเหน็บแหนม

...ไม่ต้องแกล้งทำซื่อ ดอกอาเซร่านั่น...

“ข้าก็แค่ให้ดอกไม้เจ้าหญิง ผิดตรงไหน?”

...แต่มันเป็นอาเซร่า...

“ข้าชอบอาเซร่า”

ชายหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างที่อีกฝ่ายต้องทำเสียง ‘หึ’ ขึ้นบ้างราวกับเลียนกัน ประโยคถัดมาที่สวนกลับยิ่งหนัก

...ใช่ และนั่นแหละประเด็น เจ้าชอบอาเซร่า เจ้ารู้ว่ารามานก็รู้ เขายังรู้ด้วยว่าดอกไม้แบบนั้นไม่ใช่หาง่ายๆ แถบอาซาห์ และสวนอาเซร่าที่เลื่องชื่อที่สุดก็อยู่ที่นี่...

“แล้ว?”

...เจ้าอยากให้เขารู้ใช่ไหมว่าเขากำลังงัดข้อกับใคร หรืออาจจะมากกว่านั้น เจ้าอาจจะอยากให้เขาระแวงเจ้าหญิง...

คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก เขาขยับตัว ไม่ตอบคำ อากัปที่ในขณะเดียวกันก็บ่งบอก...เขาไม่คิดปฏิเสธคำกล่าวหานั้น

...เรเชีย เจ้ากำลังทำอะไรแน่?

“ข้าทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดต่อทุกคน”

หางเสียงทุ้มกดหนัก ร่องรอยซื่อหรือล้อเล่นเมื่อครู่ลบหายวับ เหลือเพียงความจริงจังและท่าทีเกือบเป็นหงุดหงิด ชายหนุ่มผลุดลุกยืนขึ้นอีกครั้ง หัวเราะออกมานิดด้วยเสียงไร้รอยขัน ก่อนจะเอ่ยต่อไป “ท่านไม่จำเป็นต้องสอบสวนข้าหรือทำตัวเป็นลูกขุนเตรียมพิพากษาข้าขนาดนั้นหร อก ข้าไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อใครทั้งนั้น”

...แต่เจ้าก็ยังจงใจทำให้พวกเขาเข้าใจผิดกัน...

“แล้วอย่างไร? ไม่ใช่ว่าท่านรามานจะลงมือฆ่าเจ้าหญิงเพราะระแวงเธอเมื่อไร” ดวงตาคมจัดปลาบแววฉุนเฉียวขึ้น “ข้าแค่ไม่อยากให้พวกเขาเดินไปเร็วนัก”

...แล้วที่เจ้าขอเธอเต้นรำ?

“ข้าไม่ยักรู้ว่ามีข้อห้าม”

...เรเชีย เจ้ากำลังเล่นกับความฝันของเธอ ข้าเข้าใจว่าเจ้าร้อนใจ แต่เอาความรู้สึกของผู้หญิงมาเป็นเครื่องมือ มันไม่เลวร้ายไปหน่อยหรือ...

ชายหนุ่มเปิดปากขึ้น ทำท่าเหมือนจะค้าน ทว่าอึดใจถัดมาเขาก็ปิดปากฉับลง ไม่ยอมเอ่ยอะไรต่อทั้งสิ้น แม้สีหน้าจะยังเครียดเขม็ง ท่าทีที่ทำให้เสียงนั้นอ่อนเบาลงเหมือนปลอบ

...ข้าไม่คิดตำหนิเจ้า ถ้าไม่จำเป็น แต่คนเราก้าวข้ามเส้นถูกผิดได้ง่ายนิดเดียว แม้ว่าเจ้าจะทำผิดเพื่อสิ่งที่ดีกว่า มันก็ไม่ใช่ข้ออ้าง...

“ข้าไม่คิดว่าข้าทำผิด และท่านคงไม่คิดเลยสินะว่าข้าอาจขอเธอเต้นรำเพราะอยากเต้นรำ?”

...เจ้าคิดว่าข้ออ้างนั่นมันน่าเชื่อแค่ไหนกัน?

“ข้าไม่รู้สิ” เรเชียหัวเราะออกมานิดหนึ่ง...หนักด้วยแรงประชด “แล้วแต่ใครจะมองละมัง? ข้าไม่สนใจว่าใครจะเชื่อไหม รวมทั้งท่าน”

...ข้าแค่อยากให้เจ้าคิดถึงเจ้าหญิงให้มาก...

“ก็เพราะข้าคิดถึงเธออยู่ไม่ใช่หรือ ข้าถึงมาอยู่ตรงนี้” เสียงทุ้มสวนคำกลับไป ก่อนเขาจะถอนใจยาว ความเหนื่อยอ่อนวูบเข้ามาในดวงตาแทนความโกรธเกรี้ยว เหมือนเขาระลึกถึงบางสิ่งซึ่งไม่ควรระลึกขึ้นมาได้ “เอาเถอะ ข้าขอโทษ เราไม่ควรเถียงกัน เรื่องมันจบไปแล้ว ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ท่านคงพอใจ”

...ปกติเจ้าไม่ใช่คนยอมถอยให้ใครง่ายๆ แบบนี้...

หางเสียงนั้นปนเค้าระแวง และชายหนุ่มก็ยิ้มออกมานิดอย่างอดไม่ได้ เขายักไหล่ บอกหน้าตาเฉย

“เห็นๆ อยู่ว่าต่อให้ข้าพยายาม ก็ใช่ว่าเธอจะสนใจข้า”

สิ่งที่เขาได้ยินตามมาจากนั้นคือเสียงเหมือนสำลัก แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาโบกมือให้บานหน้าต่างซึ่งเปิดอยู่ปิดวูบลง ก่อนเขาจะเปิดประตู ก้าวออกไปภายนอกห้อง ทว่าไม่ก่อนลงท้ายด้วยเสียงเรียบ จริงจังขึ้น

“และอย่าทำตัวเป็นผู้ทรงคุณธรรมให้มากนักเลย มันฟังไม่ขึ้นนักหรอก ท่านตา ในเมื่อท่านเองก็พยายามหลอกให้เธอเดินไปตามทางที่ท่านคิด...แบบที่ท่านกำลัง กล่าวหาว่าข้าทำเหมือนกัน”




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2550
12 comments
Last Update : 18 กรกฎาคม 2550 22:14:02 น.
Counter : 1502 Pageviews.

 

มาเกาะขอบจอค่า.......

 

โดย: 1b IP: 58.9.108.120 19 กรกฎาคม 2550 18:39:18 น.  

 

สนุกดีค่ะ จะคอยติดตามต่อนะคะ

 

โดย: ป๋องแป้ง IP: 58.9.123.132 20 กรกฎาคม 2550 7:50:01 น.  

 

ฮาโหล วัซซี่ ...

จักรๆ วงศ์ๆ เสียด้วย ... มาเชียร์ค่ะ

 

โดย: ดวงลดา 20 กรกฎาคม 2550 17:17:59 น.  

 

ตกลงรีไรท์เรื่องนี้ก่อนเหรอคะ

พี่ตามมาลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยอ่านค่ะ

 

โดย: ปิ่นลดา (pinlada ) 22 กรกฎาคม 2550 22:19:29 น.  

 

โอ้ ดีอาเรียน ในที่สุด
รออ่านเป็นเล่มนะค้า

 

โดย: ทินา IP: 58.64.49.26 22 กรกฎาคม 2550 22:54:44 น.  

 

ลึกลับซับซ้อนดีจังค่ะ
อยากรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับดีอาเรียน

 

โดย: เอมิ_ยัยร้อยรัก (รวัลย์ ) 25 กรกฎาคม 2550 15:38:46 น.  

 

ตามมาอ่านงานพี่วัสส์

เอ จำได้ว่าเคยอ่านคับ สนุกมากเลย แต่เรื่องนี้ rewrite ได้ต่างจากเดิมมากเลย จำได้ว่าอันเก่าไม่ได้ขึ้นต้นแบบนี้นา

จะรออ่านค่ะ เชื่อว่าสนุกเหมือนเคย

 

โดย: ก้อนหิน IP: 18.251.7.70 27 กรกฎาคม 2550 16:20:31 น.  

 

ตามงานพี่วัสส์นะคะ รู้สึกเรื่องนี้คุ้นๆ ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านที่ไหรรึป่าว ว่าแต่พี่ค่ะ ขวัญอยากทราบว่าเรื่อง "ระบำใบหญ้า" ขวัญไม่แน่ใจชื่อเรื่องนะคะ เคยอ่านใบบล๊อกของพี่วัสส์อยู่ 3 ตอนแล้วนานไป พี่ยังเขียนอยู่รึป่าวค่ะ

 

โดย: ขวัญ IP: 202.29.83.65 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:10:12 น.  

 

เพลงใบหญ้าตอนนี้พี่ไม่ได้เขียนอยู่ค่ะ ต้องขอโทษน้องขวัญด้วย ^^" ช่วงหลังนี้พี่พับงานแฟนตาซีชั่วคราวเพราะมีเวลาน้อย แล้วกำลังปั่นงานแนวอื่นอยู่ค่ะ (หลักๆ คือเรื่องมนต์อธิษฐาน)

ดีอาเรียนพี่เคยเขียนลงเนตก่อนหน้านี้จนจบค่ะ แต่ฉบับนี้เขียนใหม่หมดเอาแต่โครงเรื่องไว้ ถ้าเคยอ่านฉบับเก่าอาจจะคุ้นๆ ตัวละครบ้างค่ะ

ถ้าเคลียร์งานอื่นๆ ได้ก็จะกลับมาเขียนแฟนตาซีนะคะ ช่วงนี้ลองอ่านงานแนวอื่นดูก่อนก็ได้ค่ะ

 

โดย: วัสส์ 8 กุมภาพันธ์ 2551 21:13:10 น.  

 

เป็นกำลังใจให้พี่วัตต์นะคะ ขวัญยังรองานเขียนแนวแฟนตาซีของพี่อยู่ ชอบมากกกกก แล้วก็รอ "เพลงใบหญ้า" อยู่ด้วยนะคะ

 

โดย: ขวัญ IP: 202.29.83.65 9 กุมภาพันธ์ 2551 15:47:30 น.  

 

เรื่องนี้ก็น่าติดตามมักมากค่ะ
แบบก่อนรีไรทลงที่ไหนไว้เหรอค่ะ
อยากอ่านจัง

 

โดย: FIONA IP: 220.253.114.65 27 เมษายน 2551 15:42:08 น.  

 

เรื่องนี้เคยอ่านเมื่อนานมาแล้วอ้ะค่ะ ^ ^!
จำไม่ค่อยจะได้แล้วเหมือนกัน
แต่เดี๋ยวจะมาตามอ่านในนี้ดูนะคะ
เผื่อจะนึกออก

 

โดย: Aree-Yong 28 เมษายน 2551 15:30:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วัสส์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






ฝากนิยายแปลเล่มล่าสุดด้วยนะคะ Dexter Is Delicious ออกกับแพรวสำนักพิมพ์ค่ะ


Friends' blogs
[Add วัสส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.