Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
20 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

สิ่งสุดท้าย



ลมหนาวแห่งราตรีพัดพาความหนาวเหน็บไปทั่วทุกสารทิศ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสามกว่าแล้วเธอยังคงนั่งอยู่ริมระเบียงของห้องชุดชั้นที่ 16 ในคอนโดมิเนียมของเขา สายตาระคนเศร้าเหม่อมองออกไปยังวิวทิวทัศน์กว้างขวาง น้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาในบางครั้ง แม้ลมแห่งราตรีจะพัดให้ชุดนอนที่บางเบาปลิวไสวไปมา แต่เธอยังคงไม่สะทกสะท้านต่อลมเช่นชุดนอนชุดนั้น อาจเป็นเพราะว่าหัวใจของเธอนั้นหนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศ ณ เวลานี้


เธอนั่งครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา และหวนนึกไปถึงวันเก่าๆ ที่มีเขาคอยเป็นเงาข้างกายไปไม่ห่างหายตลอดระยะเวลาหนึ่งปี่ที่ผ่านมา เธอกับเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เรียนในคณะเดียวกัน ซึ่งตอนที่เธอเข้าปีหนึ่งนั้นเขากำลังเรียนอยู่ปีสี่ ในช่วงเวลานั้นเขาและเธอเหมือนดังเส้นขนานที่ไม่เคยมาบรรจบกันเลย แม้ว่าในบางเวลาที่ทั้งคู่ได้พบกัน เขาและเธอจะบังเอิญสบสายตากันบ่อยครั้ง และทุกครั้งสายตาของเขาจะส่องประกายหวานทำให้เธอหวั่นไหวอยู่หลายครั้ง แต่มันก็เป็นเพียงการมองผ่านเพื่อให้หัวใจกระชุ่มกระชวยเท่านั้น

เขาเรียนจบและเริ่มต้นชีวิตการทำงานไปโดยไม่มีความสัมพันธ์ใดคืบหน้ากับเธอไปกว่าพี่น้องร่วมสถาบัน และเขาเองก็ไม่เคยส่งข่าวคราวใดๆ มาให้เพื่อนหรืออาจารย์ได้รับรู้บ้างเลย จนเธอเกือบที่จะลืมสายตาที่หวานซึ้งของเขายามพบเธอไปแล้ว แต่เมื่อเขาได้กลับมาพบกับเธออีกครั้งในคราบวิทยากรให้ความรู้ในการสัมมนาเชิงวิชาการของคณะ ซึ่งเธอที่กำลังอยู่ชั้นปีที่ 3 ต้องเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้

ระหว่างช่วงพักครึ่งของการสัมมนาในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารว่างอยู่นั้นเธอรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่แอบมองเธออยู่ตลอดไม่ลดละ แม้เธอจะหันไปสบสายตาเข้าอย่างจงใจ แต่เขาก็ยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้นจนเธอต้องหลบเลี่ยงไปเองเพราะความเขินอาย ดวงตาของเขาช่างหยาดเยิ้มและแอบแฝงไปด้วยความนัยหลายอย่างจนทำให้เธอเริ่มอยากค้นหาสิ่งเหล่านั้น

เมื่อการสัมมนาเสร็จสิ้นลงในตอนค่ำ ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนต่างใจจดจ่ออยู่กับการกลับไปพักผ่อนสมองที่บ้าน หลังจากที่เมื่อยล้าจากการรับความรู้ที่หนักอึ้งในการสัมมนา มันเป็นความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะต้องกลับบ้านเพียงลำพัง เพราะบ้านของเธออยู่คนละทิศทางกับเพื่อนๆ ในระหว่างที่เธอกำลังยืนรอรถที่ป้านรถเมล์อยู่นั้น รถเก๋งสีดำก็มาจอดเทียบท่ารถ

“ไปด้วยกันมั๊ย” เขาเลื่อนกระจกลงถามเธอที่ยืนอยู่เดียวดาย เธอยังคงทำหน้าเลิกลักด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขา

“เอาขึ้นรถมาก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากันเดี๋ยวตำรวจจับ” เขาพูดพลางเอื้อมมือไปเปิดประตูให้เธอขึ้นรถ ขาเรียวยาวของเธอก้าวผ่านประตูรถขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ ยังไม่ทันที่เธอตั้งหลักได้ เขาเร่งรถออกไปแล้วเบรกกระทันหันทำให้เธอตกใจ

“ว้าย!” เธอร้องเสียงหลง ในขณะที่เขาหัวเราะเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เธอรู้ตัวว่าถูกแกล้ง

“ก็เห็นช้า อยากแกล้ง ขอโทษนะ” เขาพูดพลางยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

แม้รถจะเคลื่อนตัวออกไปได้ครู่ใหญ่ แต่ทว่าเธอยังคงนักเงียบและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถตลอดเวลา ภายในรถมีเพียงเสียวเครื่องยนต์เบาๆ เท่านั้นที่เป็นเพื่อนเขา

“เป็นอะไรโกรธเหรอ” เขาถามด้วยคิดว่าเธอยังติดใจเรื่องเมื่อครู่

“เปล่าค่ะ แค่คิดอะไรบางอย่าง” เธอพูดพลางหันมามองหน้าเขา

“หึ หึแปลกนะเราสองคนตอนอยู่มหา’ลัยเดียวกันไม่เคยจะได้คุยกันสักครั้ง แต่พอพี่จบออกมากลับได้ขับรถพานัชไปส่งบ้าน” ประโยคนี้ของเขามีข้อหนึ่งที่สะกิดใจเธอเล็กน้อย ตรงที่เธอไม่เคยบอกให้เขารู้ชื่อของเธอเลย

“พี่รู้ชื่อหนูได้ไงคะ” เธอถามพร้อมหันไปสบตาเขาทันที

“พี่รู้ได้แล้วกัน และรู้มาตั้งแต่เธอเข้าปีหนึ่งแล้วด้วย เพราะพี่เธออยู่ในสายตาของพี่เสมอ” เขาตอบพร้อมกับหันมาสบตากับเธอเล็กน้อยก่อนที่จะหันกับไปมองถนนอย่างตั้งใจ



หลังจากวันนั้นเธอและเขายังคงติดต่อกันอย่าสม่ำเสมอ โดยที่เขาจะเป็นคนโทรศัพท์มาหาเธอทุกครั้งขณะที่เธอเลิกเรียนแล้วเดินทางกลับบ้าน และก่อนนอน

“เลิกเรียนรึยัง กลับบ้านดีๆ นะครับ”

“นอนหลับฝันดีนะ”

นานวันเข้าจากประโยคสั้นๆ ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นช่อดอกไม้เล็กๆ ที่เพียรส่งให้ถึงประตูรั้วทุกเช้า และเมื่อเธอไม่สบายเขาก็เป็นคนอาสาพาเธอไปหาหมอโดยที่ไม่ต้องไต่ถามก่อนเลยว่าเธอเป็นอะไรมากน้อยเพียงใด ความอ่อนโยนเหล่านี้ จึงทำให้เธอรับเขาเข้าไปอยู่ที่กลางใจโดยไม่รู้ตัว และไม่นานเธอกับเขาก็เริ่มคบกันอย่างจริงจัง

เขาไปมาหาสู่ที่บ้านของเธออยู่บ่อยๆ ทุกเย็นหลังเลิกเรียนเขาจะไปรับเธอและไปส่งเธอที่บ้านเสมอๆ บางวันถ้ามีเวลาเขาจะพาเธอไปขับรถเล่นนอกเมืองเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

“บ้านของพี่ที่ต่างจังหวัด อากาศดีมากเลย ดีกว่าในกรุงเทพเยอะ” เขาเปรยขณะที่กำลังยืนชมท้องทุ่งนาที่ริมถนน

“อยากเห็นบ้านพี่กรจัง เมื่อไหร่จะพาไปคะ เราก็คบกันมาหนึ่งปีแล้วนะ พี่มาเจอพ่อแม่นัชบ่อยๆ แต่พี่ยังไม่เคยพานัชไปพบพ่อกับแม่พี่เลย” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

“บ้านพี่อยู่ไกล ตอนนี้นัชเรียนหนัก คงยังไม่สะดวกไปหรอก” เขากล่าวพลางลูบหัวเธออย่างเอ็นดู แต่ทว่าสายตาของเขากลับเหม่อมองออกไปยังทุ่งกว้างราวกับจะส่งสายตาหาบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ไกลแสนไกล ดวงตาของเขาช่างแสนเศร้าเหลือเกิน

แม่ของเธอเคยพูดกับเธอว่า “แม่ว่านายกรเขาดูเหมือนมีอะไรปิดบังเราอยู่นะลูก เขารู้เรื่องของเราและรู้จักครอบครัวเราทุกอย่าง แล้วเราล่ะเขาเคยเล่าอะไรหรือพาเราไปรู้จักครอบครัวเขาบ้างไหม บอกตรงๆ นะแม่อยากให้ลูกห่างเขาไว้หน่อย”

คำพูดนี้ทำให้เธอสะอึกเล็กน้อย แม่เธอพูดถูกเธอแทบจะไม่รู้จะเขาเลย แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญทำกับความรักและความหลงใหลที่เธอมีต่อตัวเขาในตอนนี้

จากสายตาเคลือบแคลงสงสัยที่ครอบครัวของเธอมองเขา และพฤติกรรมที่ไม่ต้อนรับขับสู้ในเวลาที่เขามาส่งเธอที่บ้าน จึงทำให้เขารับรู้ได้ว่าครอบครัวของเธอไม่ยินดีที่จะให้เธอคบกับเขา จึงทำให้เขาเริ่มพยายามดึงเธอให้เข้ามาหาเขาแทน จากทุกวันที่ไปรับและส่งเธอที่บ้าน จึงเปลี่ยนเป็นไปรับและพาเธอมาที่คอนโดของเขา ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชายและหญิงจึงเกิดขึ้นโดยยากที่จะปฏิเสธ

ตลอดระยะเวลาที่เธอคบกับเขาเธอมีความสุขมากและนับวันความรักที่เธอมีให้เขานั้นยิ่งมากขึ้นทุกวัน แต่แล้วเวลาแห่งความสุขระหว่างเธอกับเขาก็ถึงวันที่ต้องมลายหายไป เมื่อเธอได้รู้ความจริงบางอย่างที่เขาไม่เคยบอกให้เธอได้ล่วงรู้ และเขาคงไม่คิดที่จะบอกเธอ ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเต็มที่เธอรักและเชื่อใจเขามาตลอดมันทำให้เธอเสียใจมากกับความจริงข้อนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจยิ่งกว่านั้นก็คือการที่เขาปิดบังเธอ

“นัชเป็นอะไรพักนี้ดูเหม่อๆ “ เขาเอ่ยถามขณะที่มือจับแน่นที่พวงมาลัยรถ

“เปล่าค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” เธอตอบพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

“คิดเรื่องอะไรเหรอ บอกพี่ได้ไหมจะได้ช่วยคิด” เขาถามด้วยน้ำเสียงปนห่วงใย

“เรื่องเรียนนั่นแหละค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

“เอ่อ จะกลับบ้านเลยมั๊ยเดี๋ยวพี่พาไปส่ง” เขาพูดพร้อมกับยิ้มเล็กๆ ให้เธอ

“อืมวันนี้ขอค้างที่คอนโดพี่นะ นัชบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าจะมาค้างบ้านเพื่อน”เธอบอกเขาด้วยน้ำเรียบๆ จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่ได้อยากจะปิดบังเขาที่เธอรู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับเขา แต่เขายังไม่บอกเธอเลยทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อเธอและเขามาก หากว่าจะปิดบังเขาบ้างสักเรื่องคงไม่เป็นอะไร และที่สำคัญเธอได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้เขาช่วยคิดให้เธอลังเลใจอีก

เวลาผ่านพ้นมาจนตีสี่เศษ เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ริมระเบียงเช่นเดิม น้ำตาของเธอรินไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย มือของเธอโอบกอดร่างกายของตัวเองไว้นิ่งและนาน เธอกัดฟันร้องไห้เพื่อไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นร่ำ ความเจ็บปวดชอกช้ำแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แทรกซึมผ่านเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจดวงน้อยที่เปราะบางสั่นสะท้านราวกับจะแตกสลาย ยิ่งเธอนึกทบทวนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาที่ผ่านมา ยิ่งพาให้ดวงใจของเธอปวดร้าว

สายตาเธอเหลือบมองไปยังเขาที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง ภาพที่มองผ่านกระจกนั้นช่างเลือนลาง ไม่แจ่มชัด เหมือนดังภาพแห่งความทรงจำดีๆ ในวันวานกำลังจะจางหายไป เธอเดินเข้าไปในห้องหยิบจดมายที่เตรียมไว้พร้อมกล่องของขวัญใบน้อยที่อยู่ในกระเป๋าถือขึ้นมาวางคู่กัน เธอลังเลเล็กน้อยในสิ่งที่เธอกำลังจะตัดสินใจ เพราะเขาคือคนๆ เดียวที่เธอเคยตัดสินใจจะฝากชีวิตของเธอไว้ให้เขาดูแล แต่เมื่อได้นึกถึงภาพที่เขาเดินเคียงคู่กับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับพร้อมรถเข็นเด็กคันน้อยที่ห้างสรรพสินค้าเล็กๆ เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วทำให้มันทำให้ความสำนึกผิดชอบชั่วดีปรากฏขึ้นมาในมโนสัมนึกของเธออีก หากเธอไม่จากไปครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเขาอาจต้องพังทลายเพราะเธอ

เธอมองเขาอีกครั้งหนึ่ง ในสมองนึกสับสนและแค้นใจที่เขาทำกับเธอได้ถึงขนาดนี้ เธอเคยคิดว่าเขารักเธอมาก เพราะตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาทำให้รู้สึกเช่นนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจในความรักนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะรักเธอจริงหรือไม่ แต่ความรักนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ และสร้างบาดแผลฉกรรจ์ไว้ในหัวใจเธอ มือน้อยๆ ของเธอยกขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดมิดชิดแล้วเดินจากเขาไปอย่างเงียบๆ

แสงสีทองสาดส่องเข้ามายังหน้าต่างห้อง ปลุกให้เขาตื่นจากค่ำคืนที่ยาวนาน เขาขยับกายหวังเพื่อหาไออุ่นจากกายเธอ แต่เขากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อไม่พบเธอข้างกาย เขาลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ

“นัช อยู่ไหนจ๊ะ” เขาเรียกเธอพลางเอื้อมมือเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า สายตาของเขากวาดมองไปทั่วท้องห้อง แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ พลัน! สายตาของเขาก็ไปสะดุดกับกล่องของขวัญเล็กๆ สีชมพูเด่นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ด้านข้างมีจดหมายที่วางไว้คู่กัน เขาไม่รีรอที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่าน

‘ ขอโทษนะคะที่ไปไม่บอก แต่นัชตัดสินใจแล้วว่าเรา อย่าพบกันเลยดีกว่า อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง ที่ผ่านมานัชมีความสุขมาก และคิดว่านัชได้รับมันมามากเกินพอแล้ว ที่ผ่านมานัชมีความสุขมาก แต่ความสุขของนัชมันอาจสร้างความทุกข์ให้ใครอีกหลายคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นัชไม่อยากทำ ความทุกข์ทั้งหมดนัชของรับไว้เอง เพราะนัชไม่อยากเห็นแก่ตัวอีกต่อไปแล้ว นัชฝากของขวัญไว้ชิ้นหนึ่งอยากให้พี่เปิดดู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่นัชจะให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการไถ่โทษ’

น้ำใสๆ เริ่มเอ่นล้นขึ้นมาที่ขอบตา เขารีบเปิดกล่องของขวัญใบนั้นอย่างไม่รีรอในนั้นมีกำไลข้อมือเล็กๆ สองอันสำหรับเด็กแรกเกิด ด้านล่างเขียนข้อความทิ้งไว้ว่า ‘ ของขวัญสำหรับเจ้าตัวเล็กของพี่’ หยาดน้ำใสๆ อาบไหลลงแก้มทั้งสองข้างของเขา มือทั้งสองข้างกำกล่องของขวัญใบน้อยนั้นไว้ นิ่งและนาน...




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2550
1 comments
Last Update : 20 มิถุนายน 2550 23:11:16 น.
Counter : 357 Pageviews.

 

หวัดีคะ

 

โดย: ดอกฝิ่นสีชมพู (ดอกฝิ่นสีชมพู ) 21 มิถุนายน 2550 15:20:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


วลีรมย์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Google
Friends' blogs
[Add วลีรมย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.