มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
23 มีนาคม 2548
 

"เกรด"...



วันนี้เป็นวันเกรดออก...

แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ หรืออะไรอย่างอื่นบ้างเลยนะ

วันนี้เป็นวันเกรดออก...
แต่ทำไมพอผมรู้เกรดแล้ว ผมถึงยังนั่งเฉยๆ แบบนี้อยู่อีก?

วันนี้เป็นวันเกรดออก...
และนี่ก็เป็นครั้งแรก (ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมา) ที่ผมได้เกรดมากกว่า 3.75 แต่แทนที่ผมจะรู้สึกดีใจ ทำไมผมถึงยังเคว้งๆ อยู่หน้าจอคอมพ์แบบนี้นะ?

...น่าแปลกนะครับ ที่ยิ่งใกล้จบมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเฉยๆ กับคำว่า "เกรด" มากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับว่า คำว่า "เกรด" นั้นมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย -- เพราะไม่ว่าจะได้เกรดมากหรือน้อย ผมก็ยังรู้สึกว่า "อะไรที่อยู่ในหัว" ของผมนั้น มันช่าง "กลวงโบ๋" เสียเหลือเกิน

เกรดที่มากขึ้น กลับไม่ได้ช่วยให้ผมมี "ความรู้" ที่มากขึ้น
และเกรดที่มากขึ้น ก็ไม่ได้ช่วยให้ผมมี "ความเข้าใจ" ในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้นเช่นกัน

ช่างน่าเศร้านะครับ ที่เรียนมาตั้ง 3 ปี แต่กลับรู้สึกว่า "ความรู้" ที่มีนั้น มันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน
ช่างน่าเศร้านะครับ ที่เรียนมาตั้ง 3 ปี แต่กลับรู้สึกว่า ตัวเองแค่ "รู้" แต่ไม่ได้ "เข้าใจ" อะไรในเนื้อหาที่เรียนเลย
ช่างน่าเศร้านะครับ ที่เรียนมาตั้ง 3 ปี แต่กลับรู้สึกว่า พอจบไปแล้ว คงไม่ทำงานในสิ่งที่ตัวเองเรียนมาหรอก!

สรุปแล้ว ผมก็คงเป็นเพียงแค่คนโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่รู้แม้กระทั่ง "ตัวตน" ของตัวเอง
สรุปแล้ว ผมก็คงเป็นเพียงแค่คนโง่ๆ คนหนึ่ง ที่เรียนมาจนกระทั่งจะจบแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่า "ตัวเองคิดผิดที่มาเรียนคณะนี้"
สรุปแล้ว ผมก็คงเป็นเพียงแค่คนโง่ๆ คนหนึ่ง ที่เวลาเรียนก็เรียนแบบโง่ๆ เรียนเพื่อให้สอบได้เท่านั้น (วิชาท่องก็ท่องทุกตัวอักษร, วิชาคำนวณก็จำวิธีทำไปสอบ ถ้ามีประยุกต์ ก็อึ้งไปสามสิบวิ แล้วถึงทำได้)

หรือนี่ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรกับ "เกรด" ที่ได้มาเลย?
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว "เกรด" มันก็คงเป็นเพียงแค่ตัวเลขไม่กี่ตัว ที่ไม่สามารถนำไปบ่งชี้หรือชี้วัดอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น!....

standby="Loading Microsoft Windows Media Player components..." VIEWASTEXT>
















ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะครับ แวะมาบอกว่าตอนนี้เจ้าของ Blog ยังสบายดีอยู่ครับ ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกครับ เพียงแต่มานั่งนึกๆ ดู --- อืม...ได้เกรดเยอะก็ใช่ว่าจะ "เข้าใจ" ในสิ่งที่เรียนเยอะ

ยังไง ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปครับ Life Goes On....


Create Date : 23 มีนาคม 2548
Last Update : 28 เมษายน 2548 16:06:43 น. 27 comments
Counter : 3183 Pageviews.  
 
 
 
 
...ตอนที่ผมเรียนผมก็คิดแบบนั้น "ทำไมเรารู้อะไรน้อยเหลือเกิน" " เราไม่ได้อยากเรียนคณะนี้" แต่พ่อผมเองก็คอยบอกผมและผมก็บอกตัวเองว่า ถ้าเรายังคิดแบบนี้ต่อไปเราก็จะกลายเป็นคนที่ว่างเปล่าอย่างแท้จริง มันก็มีทางเลือกว่าเราจะคิดแบบนี้ต่อไปหรือจะเปลี่ยนวิธีจัดการตัวเอง

....สำหรับผมผมเลือกที่จะยอมรับว่า งานที่ผมเลือกในตอนแรกไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นมากที่สุดแต่ก็จะทำมันให้ดีที่สุด และถ้าเราทำได้ดีแล้วเมื่อมีโอกาสเราก็ค่อยมาทำสิ่งที่เราอยากจะทำ ผมไม่สนเกรดอีกต่อไปแต่สนใจว่าจะทำอย่างไรให้เข้าใจและจบออกมาแล้วทำงานตรงนี้ได้ดีที่สุด (เชื่อเถอะว่าคนมากกว่าครึ่งที่ทำงานอยู่ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหรือใฝ่ฝันตั้งแต่แรก แต่เราเลือกที่จะรักมันได้ตั้งแต่ตอนนี้ที่เราตัดสินใจ)

....สำหรับคุณเองก็คงมีทางเลือกอีกมากมายให้เลือก ลองหาดูนะครับ มาเป็นกำลังใจให้...
 
 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:10:55:37 น.  

 
 
 
นั่นสิคะ...เรียนมาก็เหมือนไม่ได้เรียน

อยู่ไปวันๆ...ไม่ดีใจมากมายก็มันหรอก เกรดน่ะ

มันก็เป้นแค่ตัวเลข....ที่บอกว่าเราทำได้ดีแค่ไหน

....แต่ชีวิตจริง ตัวเลขพวกนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย
 
 

โดย: neaq วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:11:11:56 น.  

 
 
 
การเรียนรู้ มีสองอย่าง
เรียนรู้ความจริงทางสมมุติ จะต้องประกอบในวิชาชีพ
เรียนรู้ความจริงทางปรมัตถ์ ธาตุเดิมแท้ๆ ของตัวเราก็คือจิต

ตราบใดที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ ไม่ใช่นักบวช ต้องมีอาชีพการงาน ก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องของกฏสมมุติ ตามกฏโลกนี้

ส่วนการเรียนกฎทางปรมัตถ์ ต้องแจ้งในสมมุติก่อน ความเข้าใจโลกเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเรียกว่าหน้าที่ (ก็มีกายอยู่นี่นา)

คนมีความรู้ทั้งสองทาง ย่อมช่วยคนอื่นได้มาก ขยันเรียนเข้านะ อย่างน้อยต้องเลี้ยงชีวิตตัวเองได้ ถึงจะมีกำลังช่วยสังคม คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ จะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร

คนที่มีความรู้มาก โดยเฉพาะทางธรรมเรียกว่าปฏิสัมภิทา หากเป็นอรหันต์แล้ว ก็สามารถสอนคนอื่นได้ละเอียดชัดเจน คนไม่มีความรู้ทางสมมุติ เป็นอรหันต์ก็จริง บางทีออกมาสอนไม่ถูก สื่อสารไม่ถูก เพราะมาอธิบายเป็นภาษาเทียบเคียงให้คนเข้าใจไม่ได้ กับสภาวะที่ตัวเองเข้าไปพบ

ความรู้ทางสมมุติผันแปรไปตามกาลเวลาก็จริง แต่ก็มีประโยชน์
 
 

โดย: suparatta วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:11:31:23 น.  

 
 
 
รู้สึกเหมือนกันเลยครับ แล้วยิ่งหลักสูตรใหม่ที่เน้นคะแนนเก็บมากกว่าสอบ
เกรดทุกคนมันก็เลยพุ่งๆๆๆ เฮ้อ.. ใครถามว่าได้เกรดเท่าไหร่
ผมก็บอกว่า ได้เยอะทุกคน ส่วนตัวเองนั้น ไม่ค่อยอยากบอก
เพราะรู้สึกเหมือนคุณเลยว่า ไม่มีอะไรในหัว ที่สอบได้ก็เพราะท่องไป
ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เฮ้อ...
ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจว่า จะทำอะไรอย่างที่ฝันไว้สักที
หลังจากเรียนสายวิทย์มา 3 ปีเต็ม นานเหมือน 13 ปี 555
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะครับ พยายามต่อไป
อย่าคิดมาก แสวงหาการเรียนรู้อยู่เสมอ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดครับ
 
 

โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:12:14:44 น.  

 
 
 
เหมือนกันใกล้จะจบแล้วครับอีก 2 ตัวแต่รู้สึกว่ากูไม่ได้รู้อะไรขึ้นมาเลยครับ แปลกๆ
 
 

โดย: เด็กเหนือหนีหนาว วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:12:35:52 น.  

 
 
 
เข้ามายินดีด้วยกับเกรดที่ดีของคุณ
อย่างน้อยเกรดมันก็เป็นตัวบอกว่าคุณ "รับผิดชอบ"
สิ่งที่คุณทำตอนนี้ได้ดี ซึ่งความรับผิดชอบ นี่หล่ะค่ะ
เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำอะไรก็ตามในอนาคต

เดาว่าคุณเรียนในสิ่งที่คุณไม่ได้ชอบ
ทุกอย่างที่ได้มาไม่มีอะไรที่ไม่ต้องแลก ของทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้อง"แลก" อะไรไป

อย่าพึ่งคิดไปก่อนเลยค่ะ ว่าจะทำงานเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนมาหรือไม่

อนาคตเป็นสิ่งคาดเดายากค่ะ

 
 

โดย: grappa วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:13:16:17 น.  

 
 
 
ผมรู้ว่าเกรด อาจวัดผลอะไร ที่น้องคิดไม่ได้
แต่อยากให้ภูมิใจครับ เกรดน้องอะถือว่าดีนะ

จงภูมิใจ และหยุดคิดว่า ผลที่ได้มา มันมาจากเหตุไหน
และ แบ่งปั่นเพื่อนซิ จะมีประโยชน์นะ
 
 

โดย: jakajaka (jakajaka ) วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:14:01:02 น.  

 
 
 
อืมรู้สึกอย่างงี้เหมือนกัน เฮ้อ
 
 

โดย: ตุ๊กตารอยทราย วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:18:20:30 น.  

 
 
 
เกรดที่คุณได้ มันได้มาจากความพยายามหรือเปล่า
เชื่อว่าได้ A รวดทั้งแผงนี่คงไม่ได้มาจากความบังเอิญเป็นแน่

ควรจะภูมิใจกับความสำเร็จของความพยายาม
ความตั้งใจของตนเองดีกว่า

ส่วนเรื่องที่ว่าเกรดไม่ใช่เครื่องชี้วัดอะไรเลย?

ลองคิดดูดีๆ อีกครั้ง คำตอบอาจจะเปลี่ยนไป

คนทุกคนมีดีในตัวเองกันทั้งนั้น
 
 

โดย: หง่าว IP: 202.59.255.252 วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:19:06:51 น.  

 
 
 
..แวะมาทักทาย..พร้อมขอเยี่ยมชมบ้านด้วยนะค่ะ..แถมอีกนิดคือ ขอ แอด เป็น เพื่อนบ้านด้วยนะค่ะ..
 
 

โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 24 มีนาคม 2548 เวลา:5:07:20 น.  

 
 
 
แวะมาฟังเพลงค่ะ เพลงเพราะดี

เรื่องเกรดถึงจะไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดในเรื่องความรู้หรือการทำงานได้ แต่อย่างน้อยมันก็บ่งชี้ว่าเจ้าของเกรดมีความรับผิดชอบค่ะ
 
 

โดย: Together In 80s Dream วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:9:42:22 น.  

 
 
 
เกรดเป็นตัววัดผลความสามารถในการประมวลผล
ไม่ได้เอาไว้วัดความสามารถในการดำรงชีพ

เกรดใช้กำหนดความสามารถของการรับคนเข้าทำงาน
แต่ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของคน

เกรดอาจจะเป็นอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
หรือไม่ได้แสดงความสามารถของคน

ถ้าได้มาโดยความสามารถของเราเองก็ควรภูมิใจนะคะ
คงจะมีคนอีกหลายคนที่ภูมิใจกับผลลัพธ์ตรงนี้นะคะ
 
 

โดย: MDA วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:20:07:28 น.  

 
 
 
..แวะมาชวนไปทานข้าวด้วยกานอะจ้า..
 
 

โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:0:55:54 น.  

 
 
 
ดีใจด้วยนะครับกับผลสอบ ผลเกรดที่น่าชื่นใจและน่าชื่นชมจริงๆครับ

แต่ว่าการเรียน เป้าหมายหลักก็คงอยู่ที่การที่เรียนเพื่อให้ได้ความรู้ไปประกอบอาชีพทำงานต่อไปในชีวิตในอนาคตของเรามากกว่าครับ เป้าหมายจึงน่าจะอยู่ที่เราจะเรียนสิ่งต่างๆเหล่านี้และจะเอาสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปประมวลประยุกต์ใช้ในอนาคตอย่างไรครับ คงไม่ได้อยู่ที่เกรดหรือคะแนน แต่ว่าผลเกรดหรือคะแนนก็คงเป็นผลสะท้อนความพยายามและตั้งใจของเรานะครับ เพราะเป็นการวัดและประเมินผลผู้เรียนที่ทำได้มากที่สุดในขณะนี้แหละครับ :)
 
 

โดย: Tempting Heart วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:5:03:35 น.  

 
 
 
ตอนที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยน่ะ ไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เรียนๆอยู่ จะเอาไปใช้ทำอะไร

แค่อยากบอกว่า การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพื่อเรียนอย่างเดียว

หลักสูตรในระดับอุดมศึกษา สร้างเพื่อฝึก "การจัดระบบความคิดให้มีขั้นตอนมีแบบแผน"

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนในมหาวิทยาลัย
ความรู้ทุกอย่างที่ได้ในห้องเรียนและ วิชาที่เรียน เพื่อปูพื้นฐานความรู้ด้านอาชีพที่เราจะทำงานต่อไปในอนาคต "มันคือพื้นฐานเท่านั้น"

ความรู้จริงได้จากการทำงานและศึกษาหาความรู้เอาเองจากที่อื่น "นอกห้องเรียน" อ่านมาก ดูมาก ศึกษาด้วยตัวเอง หัดคิด และทำด้วยตัวเอง สำคัญกว่าเกรดที่ได้จากห้องเรียน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่นักเรียนได้เกรดดี แสดงถึงความสามารถในการจัดระบบความคิด อยู่ในเกณฑ์ดี... นั่นคือสาเหตุที่เวลา จะสมัครเข้าทำงาน ต้องดูกันที่เกรด

เพราะถ้าคุณเป็น เจ้าของบริษัท คงไม่อยากรับคนที่ได้เกรด สองจุดศูนย์ๆ มาเป็นพนักงานแน่ๆ เพราะนั่นแสดงถึงความไม่รับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเอง

จบมหาวิทยาลัยออกมา จำไว้เลยว่า มันคือการเริ่มต้นมาจากศูนย์ เพื่อก้าวเข้าไปเรียนรู้จากการทำงาน แต่สิ่งที่เรากำลังทำและกำลังเรียนอยู่ทุกวันนี้ คือการปูรากฐานที่แข็งแรงของความคิดและความรู้

เรียนให้ดี และ ไขว่คว้าหาความรู้จากที่อื่นด้วย
นั่นล่ะคือ คนเก่ง ที่แท้จริง

 
 

โดย: เกือกซ่าสีชมพู วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:6:27:44 น.  

 
 
 
..แล้วอย่างกรณีที่ว่า เราเรียนในห้องเรียนด้วยตำราเรียน แต่ เวลาที่เราสอบนั้นกลับเอามาจากการใช้ในชีวิตประจำวัน พอจะมีใครบอกได้บ้างว่า จะทำแบบใหนให้ผลสอบได้คะแนนดีๆๆ..แบบว่า กลุ้มใจ อะจ้า..
 
 

โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:13:26:14 น.  

 
 
 
ในฐานะที่ผมก็ไม่ได้เป็นผู้แก่ประสบการณ์อะไรมากมาย อายุของผมกับคุณก็ใกล้ๆกัน ผมคงมิอาจจะให้คำแนะนำอะไรที่ดีกับคุณได้นักหรอกครับ แต่สิ่งที่อยากบอกก็คือ

1. อย่างน้อยคุณก็สามารถภูมิใจกับตัวเลขสามหลักที่ได้มาได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณทำด้วย 'ตัวเอง' ถึงแม้บางตัวมันจะได้มาอย่างง่ายๆ ได้มาอย่างแสนเข็ญ ได้มาอย่างซังกะตาย หรือได้มาอย่างไม่มีความสุขก็เถิด แต่มันแสดงถึงความรับผิดในภาระ-หน้าที่ของตัวเราในฐานะนิสิต-นักศึกษาครับ ชอบผมคำโปะหน้าแรกในสมุดของ ACCESS ที่ อ.ชัชชัย เขียนไว้ว่า "เรื่องเรียนเป็นเรื่องของตัวเราเองคนเดียวเท่านั้น ถ้าเรื่องเรียนของเรา เรายังจัดการไม่ได้ แล้วต่อไปเราจะไปทำอย่างอื่นได้อย่างไร" เพราะฉะนั้นจุดนี้คุณผ่านแล้วครับ

2. ถ้าคุณเป็นคนที่พ้นความทุกข์ในเรื่องการยึดติดกับเกรดแล้วผมก็แสดงความยินดีจากใจจริง โปรดทราบไว้เถิดครับว่ามีมนุษย์มากมายอีกในโลกนี้ที่ยังจมทุกข์กับพันธนาการแห่งตัวเลขสามหลักนี้ รวมทั้งผมด้วยครับ (โดยคร่าวๆคือสาเหตุเป็นเรื่องทางบ้านครับ ถ้าเล่าแล้วมันจะยาวเป็นไตรภาค ถ้าอยากทราบก็หลังไมค์ละกันครับ)

3. เกี่ยวกับเรื่องความสับสนในวัยศึกษานั้น ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนต้องพบเจอกับส่วนนี้ครับ เด็กคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเด็กไทย อเมริกา หรือโซมาเลียก็ตาม เราทุกคนล้วนสัมผัสห้วงความสับสนนี้ได้ประหนึ่งเหล่าตัวละครใน Lily Chou-Chou ที่สัมผัสความรู้สึกร่วมกันในทุ่งหญ้าสีเขียวอันเป็นชั่วนิรันดร์ (นั่น...ผีอีเธอร์เข้าสิงอีกแล้วฉัน) นิยายของอารูกิ มูราคามิเองก็เขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า "มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่ในห้วงสับสนเป็นนิจ"

ผมเองก็ไม่มีวิธีแก้ปัญหาให้คุณหรอกครับเพราะผมเองก็คือคนที่สับสน คนที่หลงทาง หลายครั้งที่ผมบ่นหรือตัดพ้อต่อเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อนผมบางคนก็ว่า "ทำไมดีแต่พูด ไม่เห็นลงมือทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย" ผมก็เศร้านะ คือมันเหมือนคนถูกกดอยู่ใต้น้ำน่ะ มันยังโผล่มาไม่เห็นโลกเหนือผิวน้ำเลย แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ ผมก็ตระหนักรู้แล้วว่าตัวเองน่ะเป็นพวกดีแต่พูด ผมไม่ได้จะว่าคุณเป้นคนแบบนี้หรอกนะ แต่ว่าการได้พูดออกมามันก็ดีกว่าเก็บไว้ในใจ (เพราะอันนั้นมันจะบ้า!!) อันนี้ผมหมายถึงทั้งกรณีพูดกับคนอื่น และพูดกับตัวเองนะ (งงมั้ยเนี่ย -_-)

4. จากสายตาที่ได้มองโลกมาใกล้ๆ 20 ปี ผมก็เห็นว่าน้อยคนนักที่จะได้เรียนสิ่งที่ชอบ หรือได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก แน่นอนมันคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ความจริงเป็นก็คือบางทีเราเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ หรือต้องทำงานที่เราไม่ได้รัก อันนี้มันเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน (Trade-off) ระหว่างความสุขกับการเลี้ยงชีพแล้วล่ะ แต่ผมว่าที่สำคัญคือบางทีเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเอง 'ชอบอะไร' หรือมีความหลงใหลปรารถนาในสิ่งไหน (อา ฟังดูเหมือนหนังอีโรติคเลยนะ) ผมก็มิอาจทราบว่าคุณพบสิ่งนั้นหรือยัง ถ้าพบแล้วมันก็น่าดีใจ แต่คุณต้องยอมรับความเจ็บปวดจากการค้นพบสิ่งนั้นให้ได้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นจริงแล้ว มันมักจะทำร้ายเราเสมอ (นั่นคือ ทุกสิ่งให้ทั้งคุณและโทษ..กุหลาบยอมมีหนามแหลม..ลิเกมั้ย?)

เขียนมายาวแบบนี้ ก็ใช่ว่าผมจะรู้หรอกนะว่าอนาคตตัวเองจะเป็นอย่างไร บางทีผมอาจจะพิมพ์งานต๊อกๆๆๆต่อไป หรือผมอาจจะไปเป็นพนักงานขูดรีดหนี้ในบริษัทไฟแนนซ์ หรือไม่แน่ผมอาจจะไปเปิดเฟรนไชน์อาหารอินเดียก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ?

5. อันนี้คือข้อคิดที่ผมได้หนังเรื่อง Code 46 (2003, ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม, A+++) ตัวละครตัวหนึ่งพูดไว้ว่า "ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้นและ แต่ค่าของมนุษย์น่ะอยู่ที่ว่าเราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร"

6. มนุษย์มักจะจำสิ่งเลวร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดีเสมอ แต่แท้จริงแล้วเราสามารถเลือกเก็บความทรงจำดีๆส่วนหนึ่งไว้ได้ (แม้มันจะไม่สามารถกลบส่วนร้ายได้หมดก็ตาม) ผมเชื่อว่าในเนื้อหาวิชาของคณะที่คุณเรียนผมต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อชีวิตแน่นอน หรือคุณสามารถจำส่วนเสี้ยวความทรงจำที่ดีในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาได้ แค่นี้ชีวิตการเรียนในมหาลัยก็คงไม่แย่นักหรอกครับ

อย่างเช่นตอนนี้ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ ผมก็ไม่ได้ชอบมักนัก บางทีเรียนแล้วก็เครียด เพราะรู้สึกเรียนแล้วโลกมันแย่ เรียนแล้วพอเห็นราคาน้ำมันขึ้นมันก็รู้เลยว่าอะไรฉิบหายๆมันจะเกิดขึ้นมากมายขนาดไหน (จริงๆไม่ต้องเรียนคณะนี้ก็เดาได้ล่ะนะ) แต่สิ่งที่ผมเลือกจดจำจากคณะนี้คือ คณะนี้สอนให้ผมคิด ทำให้ผมพัฒนากระบวนการคิด และที่สำคัญคือการ 'ถ่ายทอด' มันออกมา (เช่น ข้อสอบมันเขียนบรรยายล้วน) นี่คือการเลือกจำส่วนดีๆของผม และสนับสนุนข้อความข้างต้นว่ามหาลัยอาจจะไม่ได้ยัดความรู้ใส่สมองเราอย่างเดียว แต่สอนให้เราคิดด้วย

ถ้าเดาไม่ผิดคุณคงเรียนวิศวะ จุฬาหรือเปล่าครับ? (เดาจากลิงค์ข้างขวา) นี่เป็นคณะหนึ่งที่ผมเคยคิดจะเข้าครับ โชคดีที่รู้ตัวทันว่าเกลียดฟิสิกส์เข้าไส้ จริงๆแล้วผมคิดมาทั้งชีวิตว่าตัวเองต้องได้เรียนจุฬาแน่นอน (คุณพ่อคุณแม่ผมจบจุฬาทั้งคู่, คุณแม่ผมทำงานทั้งชีวิตที่จุฬา, ผมเรียนที่ ร.ร.สาธิตจุฬามา 12 ปี) ไฉนใครจะไปคิดว่าตัวผมจะหลุดไปอยู่แดนไกลถึงธรรมศาสตร์ รังสิต ซะได้!! (ตอนที่บอกเพื่อน ไม่มีใครเชื่อสักคน และทุกวันนี้เพื่อนหลายสิบคนของผมยังเข้าใจว่าผมเรียนจุฬา--ฮา) นี่คือตัวอย่างความไม่แน่นอนของชีวิตและอนาคตครับ

7. เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรทราบไว้ก็คือ ในขณะที่จุฬาเกรดออกครบแล้ว ธรรมศาสตร์เกรดตัวแรกเพิ่งออกครับ!! ผมส่วนน่ะยังไม่รู้เกรดสักตัวเลย!!

8. โชคดีแล้วครับที่คุณไปเอาใบเกรดมาได้อย่างสวัสดิภาพ เพื่อนผมบางคนไม่กล้าออกจากบ้านไปเอาเลยนะ เพราะกลัวเด็กอุเทน! (สมัยที่ผมเรียนสาธิตจุฬา ก็เดินผ่านบ่อยๆครับ เจอประสบการณ์ตรงเหมือนกัน)

9. ที่พิมพ์มาทั้งหมด มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรคุณมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ

ด้วยมิตรภาพ

PS.1 อย่าเครียดนักว่าทำไมตัวเองรู้สึกป่วยใจบ่อยนัก อย่าลืมครับว่าทรุฟโฟต์เค้าว่าไว้ "Film lovers are sick people" (ฮา)

PS.2 ไหนๆแล้วแนะนำหนังที่น่าจะเหมาะคุณในช่วงนี้ (ถ้าเรื่องไหนเคยดูแล้วขออภัยครับ)

1. Love & Pop (1998, ฮิเดอากิ อันโนะ, B+) ว่าด้วยเด็กสาววัยรุ่นที่สับสน ที่ล้มเหลวทางการสื่อสารกับเพื่อนๆ ฉากที่ผมชอบคือตอนท้ายเรื่องที่นางเอกคุยกับตัวเอง (เขียนเรื่องนี้ไว้ที่ blog แล้วครับ) อ้อ เรื่องนี้อาซาโน่ เล่นด้วยนะ

2. Whisper of the Heart (1995, โยชิฟูมิ คอนโด, A+++) เป็นการ์ตูนของค่าย Ghibli Studio ที่ผมชอบที่สุดแล้ว (ปกติการ์ตูนค่ายนี่จะ 'ใส' เกินไปสำหรับผม) ว่าถึงเด็กหนุ่มสาว 2 คน ที่กำลังค้นหาตัวเอง ต่างกันที่ว่าคนหนึ่งพบแล้ว แต่อีกคนยังตามหา ผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆครับ แนะนำด้วยใจจริง (หนังเขีบยนบทโดย ฮายาโอะ มิยาซากิ)

3. Lilya 4-EVER (2002, ลูคัส มูดดิสัน, A+++++++++++++) สั้นๆว่าหนังเรื่องนี้ทำให้ผมเลิกคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ต้องเตือนไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่หนังฟีลกู๊ดนะครับ แต่เป็นเวรี่ฟีลแบ๊ด ประโยคจากหนังที่หยุดไม่ให้ผมคิดสั้นก็คือ "คนเรามีชีวิตอยู่เพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่เมื่อดับดิ้นเราจะสิ้นไปชั่วนิรันดร์"

4. After Life (1998, ฮิโรคาสึ โคริเอดะ, A) หนังเลื่องชื่อของผกก. Nobody Knows ว่าด้วยคนตายที่ไปสววรค์ ...ณ ดินแดนนั้นคนเบื้องบนจะสร้าง 'หนัง' ที่ว่าด้วยความทรงจำที่ดีที่สุดของคุณให้ ก่อนที่คุณจากโลกนี้ไปชั่วนิรันดร์ หนังนิ่งและเงียบมาก แต่ซึมลึก ที่ผมชอบมากๆคือตัวละครตัวหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลก 70 ปี แต่เค้ากลับเลือกไม่ได้ว่าห้วงเวลาไหนคือ 'ความทรงจำที่ดีที่สุด'

พอก่อนดีกว่า...

PS.3 ไม่แน่ใจว่าคุณ it ซียู เล่น MSN มั้ย ถ้าอยากคุยกันก็แอดมาได้ครับ merveillesxx@hotmail.com ....เพราะเราคือคนที่สับสนเหมือนกัน
 
 

โดย: merveillesxx วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:15:12:41 น.  

 
 
 
เดี๋ยวแก่อีกหน่อย ก็จะรู้สึกโง่ด้วยครับ เพราะขี้เกียจสนใจโลก ตอนนี้เรียนรู้อะไรได้ ก็รีบๆ ไปเถอะ
 
 

โดย: ไม้ใกล้ฝั่ง IP: 202.57.168.181 วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:22:44:39 น.  

 
 
 
ชีวิตนี้ว่างเปล่าแต่แน่นอน แต่ยังพอมีหนทางกู้ฟื้นให้คืนกลับมาได้ แท้จริงแล้ว ชีวิตก่อตัวมา มิได้กลวงว่างเปล่าแต่อย่างใด เราเองเป็นผู้ดิ้นรนกระเสือกกระสน กัดกร่อนชีวิตให้กลวงว่างเปล่า จนเหลือเพียงศูนย์ (ดีเร็ก ฮาร์ตฟีลด์)

ทุกผู้คนล้วนแล้วแต่มีปัญหา ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ปัญหาหล่นโปรยปรายจากฟ้าเหมือนยาดเม็ดฝน
แต่ละคนอาบกินกันเหมือนไม่รู้เบื่อ หยิบและเก็บมายัดใส่จนเต็มกระเป๋ากันไม่ยั้ง ผมไม่เคยหาเหตุผลได้เลยว่าทำไมคนเราต้องทำอย่างนั้นไม่หยุดไม่หย่อน อาจเป็นไปได้ว่าเราหลงผิดนึกว่าเป็นของมีค่าในชีวิตก็เป็นได้ (Pinball 1973 - ฮารูกิ มูราคามิ)

การศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นแต่เพียงห้วงแห่งการฝึกฝนเทคนิคเพื่อรับมือกับความเงียบเหงาเบื่อหน่าย (Norwegian Wood - ฮารูกิ มูราคามิ)

ช่วงชีวิตตอน 19 หรือ 20 ปี เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต บุคลิกเฉพาะตัวจะก่อตัวขึ้นมาในช่วงนี้ หากปล่อยให้ภาพนั้นบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง
ภาพนั้นจะตามหลอนคุณเมื่ออายุมากขึ้น
(Norwegian Wood - ฮารูกิ มูราคามิ)

 
 

โดย: merveillesxx วันที่: 27 มีนาคม 2548 เวลา:0:28:49 น.  

 
 
 
:D อ่านทุกความเห็นแล้วรู้สึกดีจัง
..เรื่องเอาเกรด วันนั้นผมไม่ได้รู้ข่าวอะไรเลยครับ
ใส่ชุดนิสิตไปแบบไม่สนใจใคร
เดินกลับมาสยามจะขึ้นรถไฟฟ้า เจอเพื่อนแล้วเพื่อนก็ถาม ทำไมใส่ชุดนิสิต ไม่กลัวเรื่องอุเทนเหรอ

เราก็ ...อ้าว มีเรื่องอะไรกัน???
ตกข่าว!!!!????
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 27 มีนาคม 2548 เวลา:13:22:24 น.  

 
 
 
แหมได้ะเกรดเยอะจังนะ ไม่ต้องมาอวดหรอก เดี๋ยวโดนคุณหมีควาย กับ แพนด้ามันหมั่นไส้ จะโดนเล่นหนัก 5555
 
 

โดย: เลิฟแอดดิค (เลิฟแอดดิค ) วันที่: 30 มีนาคม 2548 เวลา:15:46:56 น.  

 
 
 
นี่ๆ คนได้เกรดเยอะกว่าไม่ต้องมาพูดเลย....
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 31 มีนาคม 2548 เวลา:0:52:22 น.  

 
 
 
บางที ตัวตนที่แท้จริง คือ บุคคลที่คุณกำลังเป็นอยู่น่ะครับ สู้ต่อไปน่ะครับ เป็นกำลังใจให้
 
 

โดย: VowelLess IP: 58.9.2.155 วันที่: 12 ตุลาคม 2548 เวลา:11:29:21 น.  

 
 
 
อ่านเรื่อง ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ของมุราคามิด้วยหรือคะ คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นไงบ้าง เราชอบเรื่องนี้มากเลยนะ แม้ว่าบางตอนอ่านไม่เข้าใจ แต่โดยรวมแล้ว ก็รู้สึกว่าถ้าได้อ่านแล้ววางไม่ลง .........ไม่ค่อยเข้าใจตอนจบ คุณคิดว่ายังไงคะ

ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
 
 

โดย: มิโดริ IP: 202.41.167.246 วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:12:19:18 น.  

 
 
 
คุณค่าของคนวัดกันที่ความดี
ความตั้งใจ คนเก่งอาจเห็นแก่ตัว
คนดีอาจไม่เก่ง
เพราะเค้าไม่ทุจริตในการสอบ
ขอบคุณข้อความที่ให้อ่านสนุกมากให้ความรู้ไปด้วย
ปล.หนุ่มเชียงใหม่
 
 

โดย: surayo IP: 192.168.2.238, 203.172.199.254 วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:15:10:58 น.  

 
 
 
 
 

โดย: สมาชิกหมายเลข 5717073 วันที่: 29 มกราคม 2563 เวลา:11:46:16 น.  

 
 
 
สวัสดีน๊าาา ทักทายจ้าาาา อิอิ สปาชา sparsha A Moment of Bride เจ้าสาว เสริมจมูก ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมจมูก Freeze Shaping สลายไขมันด้วยความเย็น ลดเซลลูไลท์ Leg Squeezing ผิวเปลือกส้ม FIS หน้าท้องใหญ่ ตัวเล็กแต่มีพุง Body Contouring ลดสัดส่วนทั้งตัว ลดปีกด้านหลัง เนื้อปลิ้นรักแร้ เนื้อปลิ้น Build Muscle สร้างกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหน้าท้อง doctorlife ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูก Cellulysis สลายไขมัน ulthera ยกกระชับ Acne Clear รักแร้ขาวเนียน เลเซอร์กำจัดขนถาวร กำจัดขน ร้อยไหม Freeze V Lift กำจัดไขมันด้วยความเย็น PRP ผิวหน้า PRP ผมบาง ผมร่วง เลเซอร์กระชับช่องคลอด กระชับช่องคลอด Love Fit Freeze Shaping สลายไขมันด้วยความเย็น Cell Repair ผิวขาวใส ลดสัดส่วน ปรับรูปร่าง TM Former Perfect Shape สลายไขมันแบบเร่งด่วน ฟิลเลอร์ Filler รักษาหลุมสิว Subcision Dual Yellow เลเซอร์หน้าใส Love Fit ปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะเล็ด Oxy Bright ทำความสะอาดรูขุมขน Bye Bye Fat ลดไขมัน Luminous แสงสีฟ้า รักษาสิว ฆ่าเชื้อสิว ABO Active 3D Toxin IV Drip เพื่อสุขภาพและความงาม Viva Lift ยกกระชับผิว ให้ใจ สุขภาพ
 
 

โดย: สมาชิกหมายเลข 6092350 วันที่: 3 กันยายน 2563 เวลา:16:37:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

it ซียู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]








Google




ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
[Add it ซียู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com