<<
กุมภาพันธ์ 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2548
 

Ray Charles Robinson – อัจฉริยภาพทางดนตรี


--- 8.65/10 ---

“เรย์ ชาร์ลส์” ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ ก็งงๆ ว่าเป็นใครกันเนี่ย??? Who is he? ไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
แล้วพอเพื่อนบอกว่า “อ๋อ... ก็เป็นศิลปินนักร้องผิวสีตาบอดอ่ะ ที่ร้องเพลงโซล, แจ๊ส, อาร์แอนด์บีไง ดังมากๆ เลยนะคนนี้ ไม่รู้จักเหรอ??” ว้า...เสียเซลฟ์ไปเลย

แต่ก็นะ... หนังชีวประวัติคนดังอีกแล้ว , ไม่คิดจะทำแนวอื่นกันบ้างหรือไงน้า....
ทั้งดราม่าเข้มข้นอย่าง A Beautiful Mind, The Sea Inside ไปจนกระทั่งหนังตลกอย่าง Calendar Girls หรือจะเป็นหนังไทยอย่าง A Beautiful Boxer หรือ “โหมโรง” ก็ไม่เว้น เพราะเป็นหนังชีวประวัติ หรือ สร้างจากเรื่องจริงกันทั้งนั้น สงสัยจะเป็นอย่างที่เค้าบอก ว่า ชีวิตจริงของคนเราก็เน่าไม่ต่างจากในนิยาย!!!!???

แต่ก็เอาเหอะ ดูซะหน่อยก็ดี อยากรู้เหมือนกันว่า “หนังประมาณนี้” จะสนุก “ประมาณไหน”

เรย์ ชาร์ลส์ รอบินสัน เป็นศิลปินผิวสีชาวอเมริกัน ที่ต้องประสบเคราะห์ร้าย ตาบอดแต่เด็ก, แต่ด้วยพรสวรรค์ส่วนตัว + พรแสวง ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นนักร้อง ทำให้ในท้ายที่สุด เค้าก็ประสบความสำเร็จจนได้ และกลายมาเป็นศิลปินระดับตำนานของชาวอเมริกันอย่างที่เราๆ เห็นอยู่กันในปัจจุบัน .... แต่หนทางของการเป็นดาวนั้น ก็ใช่ว่าจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” เสมอไป เพราะกว่าที่เค้าจะมาเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ เค้าต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งการถูกกดขี่ / การถูกเหยียดหยามทั้งเรื่องสีผิวและความพิการ, ยาเสพติด ฯลฯ เฮ่อ.. เหนื่อยจริงๆ ครับ กับปัญหาต่างๆ มากมายที่เค้าต้องเผชิญ ดูจบแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ว่า ทำไม “คนที่พิการอย่าง เรย์” ถึงสามารถทำอะไรต่างๆ มากมาย ได้ดีกว่า "คนที่มีอวัยวะครบ 32" อย่างเรา ????

โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ ครับ เพราะหนังไม่ได้นำเสนอเพียงแค่เรื่องราวชีวิตของเรย์เท่านั้น แต่หนังยังได้สะท้อนให้เห็นถึง สภาพสังคม / วิถีชีวิตของชาวอเมริกันผิวสีในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี (ชอบฉากในวัยเด็กมาก) , อีกทั้ง หนังยังเล่าเรื่องประเด็นความสัมพันธ์ทางครอบครัว (เรย์กับแม่ / เรย์กับลูก / เรย์กับภรรยา) ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สถาบันนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของเรย์กับแม่ในวัยเยาว์ เราจะเห็นว่า การที่แม่ของเรย์ให้ความรัก และเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างมาก ( สอนให้ลูกช่วยเหลือตนเอง, สอนให้ลูกแม้พิการ แต่อย่าทำตัวให้ “พิการ” ไปด้วย) นั้นช่วยหล่อหลอมให้เรย์เป็นอย่างทุกวันนี้ ซึ่งหากแม่ของเค้าไม่สอนให้เค้าพยายามช่วยเหลือตัวเอง เรย์ก็คงเป็นเพียง “คนพิการ” ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น, แต่ "บางสิ่ง" ที่แม่เค้าสอน -- จับผิดคนโกง อย่าให้เค้าหลอกอะไรประมาณนี้ -- ก็ทำให้เรย์เป็นคนกลัวการเอารัดเอาเปรียบ ถึงขั้นยอมตัดเพื่อนกับ "เจฟ" คนที่คอยช่วยเหลือเค้ามาตลอด, การเลี้ยงดูมีผลกับอุปนิสัยของคนจริงๆ

หรือจะเป็นระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างเรย์กับลูก ที่ลูกของเรย์ต้องการให้พ่อของเค้า ไปดูเค้าแข่งกีฬา นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่า พ่อจะมีเงินทองมากมายมหาศาลเพียงใด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ “ลูก” ทุกคนต้องการ เพราะ “ความรัก ความผูกพัน” จากพ่อต่างหาก คือสิ่งที่ลูกของเรย์ (และลูกๆ ทุกคน) ต้องการ

นอกจากนี้ หนังยังได้นำเสนอในอีกหลายๆ ประเด็นที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่มีประเด็นหนึ่งที่ผมค่อนข้างสนใจมาก และก็นั่งคิดๆๆๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปตลอดทั้งเรื่อง นั่นก็คือ ประเด็น “ยาเสพติด” - ศิลปินนักร้องต้อง “ติดยา” หรือ???, ยาเสพติด และดนตรีมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่??
ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือเรื่องจริง เราก็จะพบกับเรื่องราวประมาณนี้ตลอด
“จางม่านอวี้ และสามี” ใน Clean , แม่พระเอก & The Gang ใน Laurel Canyon
Pete Doherty จาก The Libertines (ที่ประมาณปีที่แล้ว ก็มาบำบัดที่ถ้ำกระบอก), Whitney Houston
หรือจะเป็นนักร้องของไทยเราอย่าง จอยซ์ TK, Power Pat และอื่นๆ ทั้งที่ปรากฎเป็นข่าวและไม่เป็นข่าวอีกมากมาย

ยาเสพติด กลายเป็นเทรนด์ / แฟชั่นสำหรับผู้ผลิตงานเพลงแล้วหรือ? โอเคครับ ที่สิ่งที่เราเห็น มันอาจเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่...ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่า การผลิตงานศิลปะสักชิ้นหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้มาด้วยการใช้ “ยาเสพติด” หรอกครับ

แต่... สำหรับเรย์ ชาร์ลส์ เค้าคงไม่ได้ทำตามเทรนด์หรอก การก้าวเข้าสู่วงการ “ยาเสพติด” ของเค้า มันคงเป็น "ความต้องการที่จะสลัดภาพหลอน, ภาพความรู้สึกผิดในวัยเยาว์" ผสานเข้ากับความเครียดเรื่องต่างๆ / การถูกกดดันจากสังคมภายนอก จนทำให้เค้าต้องหาวิธีอื่นๆ ในการระบายออกมา และ...เค้าก็เลือกที่จะใช้ “ยาเสพติด”

หนังฉลาดมากครับ ที่ค่อยๆ เล่าประเด็นนี้แฝงไปกับทั้งเรื่อง ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับประเด็นนี้เป็นอย่างมาก,เช่น เรย์ ชาร์ลส์ ในตอนท้ายๆ ที่แม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างมากมายนั้น กลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง หรือชื่นชมเค้าเลย เพราะผมเห็นว่า การงานของเค้าอาจจะ “เจ๋ง” แต่ “ชีวิต” ของเค้ากลับดิ่งลงเหวลงเรื่อยๆ เพราะ “ยาเสพติด” นี่แหละครับ , หนังยังนำเสนอให้เห็นอีกว่า การเป็นแบบอย่าง (Role Model) ของศิลปินที่มีชื่อเสียงนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน อย่างเรย์ ที่เค้าอาจเห็นว่า ยาเสพติดถ้ามันจะทำร้าย มันก็ทำร้ายเฉพาะเค้าเท่านั้น มันเป็นสิทธิ์ของเค้าที่จะใช้ แต่เค้าหารู้ไม่ว่า พฤติกรรมไม่ว่าจะดีหรือเลวของเค้านั้น ย่อมมีคนจะเลียนแบบตาม (อาทิเช่น ตัวอดีตคู่ขา - มาร์จี ที่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องลงเอยด้วยความตาย) สรุปคือ ยังไง ยาเสพติด ก็มีแต่โทษครับ แถมยังผิดกฎหมายอีก ใครใช้อยู่ ก็หยุดซะนะ :)

ประเด็น “ความพิการ” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ครับ แม่ของเรย์พูดประมาณว่า แม้ลูกจะตาบอด เป็นคนพิการ ก็อย่าทำตัวพิการนะ คือ ประมาณว่า ตัวพิการ แต่อย่าให้ใจพิการล่ะ เพราะ ความพิการแท้จริงแล้วคือพิการที่ใจต่างหาก

แล้วความพิการทางใจคืออะไรล่ะ? เรย์นี่แหละคือคำตอบ เค้ามีอดีตฝังใจวัยเยาว์ กับภาพน้องชายที่ตายไปต่อหน้าต่อตา โดยที่เขามิอาจช่วยอะไรได้ มันคือภาพที่ติดตาติดใจเค้ามาตลอด เป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเค้ามาเป็นระยะเวลานานหลายปี , การที่เค้าสลัดฝันร้ายนั้นทิ้งไปไม่ได้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดไม่ได้ แล้วหันไปใช้ยา นี่แหละ คือความพิการทางใจ!!!!

ชอบที่แม่เรย์พูดหลายๆ ประโยคมาก ทั้ง “แม่สอนให้ลูกอย่าทำตัวพิการ แต่ลูกก็ยังเป็นอยู่” “แม่ไม่ใช่ฝันร้ายของลูก แต่แม่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูก” คำพูดทั้งหมดเหล่านี้นี่แหละ คือบทสรุปและจุดจบที่ดีที่สุดของทางออกของเรย์ เพราะ “ยาเสพติด” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต (พูดเรื่องพิการ วกมาเรื่องนี้อีกละ)

หนังเรื่องนี้ยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่ดีมาก คือ ไม่ได้นำเสนอเฉพาะด้านบวกของเรย์เท่านั้น เรย์ยังมีแง่มุมลบมากมาย ทั้งเรื่องยา , เรื่องความเจ้าชู้ (ภรรยา – เดลล่า บี, กิ๊กคนที่ 1 – แมรี่ แอน, กิ๊กคนที่ 2 – มาร์จี้) ซึ่งหนังก็เสนอกลางๆ ไม่ได้เอียงไปทางใด ทางหนึ่งมากจนเกินไป เพราะทุกคนย่อมมีข้อบกพร่อง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกประการ

เกือบลืมพูดถึงอีกหนึ่งสิ่งที่ผมค่อนข้างชื่นชอบ และเพลิดเพลินเป็นพิเศษ
ซึ่งสิ่งนี้เป็นหัวใจของทั้งเรื่องก็ว่าได้ เพราะเป็นจุดที่เชื่อมโยง sub-plot อื่นๆ ทั้งหมดเข้าด้วยกัน สิ่งนั้นก็คือ "เรื่องเพลง"
ผมไม่เคยฟังเพลงของเรย์มาก่อน (แต่เคยฟัง แนท คิง โคลนะ) พอได้ฟังครั้งแรกเลยทึ่งเลยครับ ศิลปินตาบอดทำได้ขนาดนี้เลยหรือ เพราะมากๆ ยกนิ้วให้เลย แม้ว่าหลายคนอาจเห็นว่ามัน “เยอะ” เกินไป แต่ผมกลับคิดว่า เพลงเหล่านี้ ไม่ได้เพียงสักแต่จะยัดๆ ให้อยู่ในเรื่องเท่านั้น แต่มันคือการร้อยเรียงเพลง ให้เป็นเรื่องราว “ชีวิต” ของคนๆ หนึ่งได้อย่างน่าสนใจมากๆ (โดยเฉพาะเพลงที่เรย์ร้องกับมาร์จี้ตอนท้าย เจ๋งๆ)

อีกทั้งหนังยังทำให้เราได้รู้ข้อเท็จจริง ประเด็นเรื่องเพลงของเค้าอีกด้วย Gospel + R&B + Jazz คุณคิดว่าเหมาะสมหรือไม่???

การเอาเพลงสวดที่ถือว่าเป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์ มาปู้ยี่ปู้ยำอย่างนี้ (ในทรรศนะของคนเคร่งศาสนา) ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากๆ .......... อย่างนั้นหรือ ????

ไม่รู้สิครับ รู้อยู่อย่างเดียวว่า ผม(ในฐานะคนฟังที่ฟังแล้วแปลไม่ค่อยออกว่าร้องว่าอะไร) ชอบมากๆๆๆ ชอบทุกเพลงที่ร้องเลย

เหอๆ สงสัยผมเป็นคนไม่กลัวบาป!!!

วกเข้าเรื่องหนังกันต่อดีกว่า..... เรื่องราวน่าทึ่งที่ปรากฏบนจอให้เราเห็นนี้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดงอย่าง “เจมี ฟอกซ์” ครับ ปรกติไม่ค่อยได้เห็นผลงานภาพยนตร์ของเค้ามากนัก (เคยฟังแต่เพลง , Collateral ก็ยังไม่ได้ดู) พอดูเรื่องนี้จบ ชื่นชมจริงๆ ครับ เพราะการแสดงเป็นคนตาบอดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย, "ผู้แสดง" ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางแววตาได้ ... แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เพื่อให้คนดูรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ของตัวละคร??? ซึ่งเจมี่ ฟอกซ์ก็ตีโจทย์นี้และแสดงออกมาได้ดีมากๆครับ เค้าใช้น้ำเสียง อากัปกิริยา ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ลองนึกๆ ดูนะครับว่า ถ้าขาดการแสดงอันทรงพลังของเค้าไป หนังเรื่องนี้จะยังคงมีสีสันแบบนี้อยู่อีกหรือไม่??? อารมณ์คง Drop ไปเยอะแน่ๆ เลย....

อย่างไรก็ตาม หนังก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ ยังมีข้อด้อยบางประการ เช่น เรื่องราว ประเด็นต่างๆ ยังขาดๆ เกินๆ บางช่วง, บางช่วงก็เยิ่นเย้อไปอย่างเห็นได้ชัด แต่... ด้วยข้อดีมากมายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็พอที่จะลืมๆ ข้อเสียเหล่านั้นไปได้ :)

สรุปแล้วก็คือ ยังไงก็ชอบเรื่องนี้ ชอบมากๆๆๆ ครับ พอดูจบ รีบไปซื้อซาวด์แทร็กมาฟังเลย :) แนะนำให้ไปดูกันครับ

ป.ล. แต่จนป่านนี้ ซาวด์แทร็กยังอยู่ในห่อพลาสติกอย่างดี ยังไม่ได้แกะออกมาเลย :) ก็คนมันไม่มีเวลาฟังอ่ะ ..... แย่จัง


Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2548
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2548 8:47:38 น. 5 comments
Counter : 2784 Pageviews.  
 
 
 
 
เรย์ ชาร์ลส์ เป็นนักร้องรุ่นเดียวกะเอลวิสอ่ะ ^^' เพลงที่ร้องๆก็แนวร็อคแอนด์โรลด้วยล่ะ

อยากดูหนังเรื่องนี้มากเลย แต่ว่าไม่มาฉายเชียงใหม่ง่ะ T__T
 
 

โดย: นานานะจัง วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:14:44:15 น.  

 
 
 
น่าเสียดายเหมือนกันครับ ที่หนังทำมาแค่ไม่กี่ก็อปปี้ (สังเกตจากซับตอก) โรงฉายก็เลยน้อยตามไปด้วย

หนังดีๆ อย่างนี้ น่าจะมีโรงฉายเยอะกว่านี้เนอะ :(
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:16:23:29 น.  

 
 
 
มาอ่าน

ขออนุญาตแอดบล๊อกคุณที่บล๊อกด้วยนะ
 
 

โดย: สุภารัตถะ (suparatta ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:16:24:06 น.  

 
 
 
ชอบมาอ่านบล๊อกคุณนะ เลยมาขอแอดด์ไว้
เวลาเข้าบล๊อกตัวเอง จะได้แวะมาอ่านง่ายๆ

ไม่ได้มาแลกเบอร์ฯ จั๊กหน่อย
ขอบคุณนะ

 
 

โดย: สุภารัตถะ IP: 202.5.86.30 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:13:24:29 น.  

 
 
 
ขอแซวหน่อย เพิ่งเห็นว่าน้องให้คะแนนหนังใน scale ที่ละเอียดมากๆ 555
เพิ่งไปดูมาเมื่อวานซืน ปลายโปรแกรมซะแล้
สำหรับผมหนังเรื่องนี้คือสุดยอดการแสดงฟ้าประทานของ Jamie Foxx ครับ
แล้วก็เป็นการทำความรู้จัก Ray Charles ศิลปินที่ผมก็ไม่รู้จักมาก่อนเหมือนกัน แต่พอดูหนังได้ยินเพลงแล้วก็รู้จักบางเพลง บางเพลงก็คุ้นๆ

เอาเป็นว่า ผมว่า Jamie Foxx คือสุดยอดของการแสดงปีนี้แล้วจริงๆ...และกำลังจะไปซื้อ Soundtrack มาฟังเหมือนกันล่ะ
 
 

โดย: Dr Syntax วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:4:00:15 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

it ซียู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]








Google




ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
[Add it ซียู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com