|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ควบสองเรื่อง The Sea Inside/Oldboy -- หนังรางวัลกินรี
24 ม.ค. 2548
Old Boy - ในที่สุดก็ได้ดูจนได้ -- "มันเยี่ยมจริงๆ เลยจอร์จ
--- 9.25/10 ---
วืด ไม่ได้ดูเรื่องนี้หลายครั้งแล้วครับ ตั้งแต่เทอมที่แล้ว ที่กะจะดูที่ Arch Film ก็ไม่ได้ดู ไม่รู้คนจัดงานเค้าเบี้ยวหรืออย่างไร เพราะพอไปถึงก็เจอกับสภาพห้องล็อค ??? เซ็งมากๆ เลยครับ
จะมาดูที่งานนี้ ก็เห็นสต๊าฟท่านนึงบอกไม่มีซับก็เลยไม่ดูดีกว่า แต่ไปๆ มาๆ มาอ่านเจอความคิดเห็นของคนในพันทิพบอกมีซับ แต่ตัวเล็กมาก ก็เลยเซ็ง พลาดอีกแล้วหรือนี่
แต่วันนี้ก็ได้ดูจนได้ครับ สมใจอยากจริงๆ
หนังเกาหลีกระหึ่มคานส์ฝีมือการกำกับอันลือลั่นของปักชันวุกเรื่องนี้ ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกหลังจากดูอย่างไร มันมีความสมบูรณ์แบบทุกๆ ด้านเลยครับ ทั้งตัวนักแสดง, การกำกับ, บท, การถ่ายภาพ มีสไตล์มากๆครับ ดูไปยังไม่จบเรื่องก็รู้สึกอยากปรบมือให้หนังเรื่องนี้ดังๆ เลยครับ ตัวเรื่องย่อคงไม่ต้องบอกอะไรมากมายมั้งครับ โอแดซู ถูกจับไปขังในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งเป็นเวลากว่า 15 ปี เค้าพยายามทุกวิถีทางที่จะออกมาจากห้องนั้นให้ได้ และในที่สุด...เค้าก็ได้ออกมาจากห้องนั้นจนได้ โดยโดนจับใส่ชุดใหม่ แล้วโยนทิ้งไว้ยังดาดฟ้าอพาร์ทเม้นต์ --- และเรื่องราวหลังจากนี้ก็เป็นเรื่องของ การแก้แค้น และการตามล่าหาความจริงครับ ว่าใครกันที่ขังเขาไว้???
ท่ามกลางสภาวะที่ถูกกักขังไว้ ผู้กำกับแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของโอแดซู ณ ขณะนั้นได้เป็นอย่างดีครับ, วันๆ มีเพียงแค่ทีวีเพียงเครื่องเดียวเท่านั้น มันเต็มไปด้วยความกลัว ความเครียด กดดัน ต้องการอิสรภาพเป็นอย่างมากครับ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยคำถามมากมาย ว่า... ใคร? ทำไม? เพราะเหตุใดจึงจับเขามา??? ถ้าผมเจอสภาพอย่างนั้น คงบ้าตายแน่ๆครับ และพอเค้าออกมาได้ หนังก็สะท้อนให้เห็นว่า คนที่ถูกกักขัง และขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนานๆ แล้ว (แม้จะดูทีวีทุกวันก็ตาม) จะเป็นอย่างไร, โอแดซู มีพฤติกรรมแปลกๆ น่าหวาดเสียว (กินปลาหมึกเป็นๆ ผมยังจำภาพนั้นได้ติดตาเลยครับ ปลาหมึกยังดิ้นพราดๆ อยู่เลย) พูดจาแปลกๆ (สงสัยดูแต่ช่องมีสาระ ไม่ยักกะเหมือนเราที่ดูแต่ช่องบันเทิง) แถมยังมีฝีมือการต่อสู้ที่ไฮโซซ้า....(ไม่เสียแรงที่ฝึกมานาน :> )
นอกจากจะสะท้อนและสำรวจสภาพทางจิตแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีพล็อตที่น่าติดตามเป็นอย่างมากครับ, เป็นหนังที่เน้นทั้งพล็อต และอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ (และตัวผู้กำกับก็ทำได้ดีทั้งคู่ด้วยสิ) พล็อตเรื่องตอนแรกนึกว่าจะไม่หวือหวามากนัก กลับผิดคาดครับ เพราะตอนไคลแมกซ์ (สาเหตุของการขังโอแดซู) ถึงกับทำให้ผม อึ้ง ไปกับเรื่องจริงๆ, แถมเรื่องราวหลังจากนั้น ตอนที่โอแดซูบ้าคลั่ง เพราะกลัว คนที่รัก จะรู้ความจริง, เบื้องลึกเบื้องหลังความสัมพันธ์ของคนที่จับตัวโอแดซูและน้องสาวของเขา ตลอดจนเรื่องของการสะกดจิต ก็ทำให้ผม อึ้ง ทึ่ง เสียว จริงๆครับ
ยังมีหลายสิ่งที่หนังเรื่องนี้มีดี ทั้งการถ่ายภาพ การดำเนินเรื่อง ที่มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก (มุมกล้องแปลกๆ ดี แต่สวยและโดดเด่นนะ) ,บทสนทนา ที่แอบฮา และมีสไตล์มาก (พวก I can, I cant นี่เจ๋งดีครับ นอกจากนี้ยังมีคำพูดเก๋ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ไม่ว่าจะเป็นกรวดหรือเม็ดทราย สุดท้ายมันก็ต้องจมน้ำเหมือนกันหมดแหละว้า..."), และที่สำคัญเป็นอย่างมากอีกสิ่งหนึ่งคือ ฉากโหดๆ ที่อดหวาดเสียวแทนไม่ได้ (ไม่ได้มีภาพพวกนี้มากนักครับ แต่...แต่ละครั้งที่มีฉากพวกนี้ ก็ถึงกับอึ้ง+เหวอไปเลยครับ) อย่างฉากกินปลาหมึกสดอันสุดแสนจะฮือฮา(ที่ได้กล่าวไปตอนต้นแล้ว) หรือจะเป็นฉากถอนฟันที่ถึงกับทำให้ผมเสียวฟันแทนตัวนักแสดงเลย
ไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว นอกจาก ชอบมากๆครับ จบลงที่ประโยคที่พูดไปแล้วดีกว่า -- หนังเรื่องนี้เด่นทั้งพล็อต (Plot) และอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ (Emotional)
ป.ล. เกือบลืม ดูเรื่องนี้ไป ก็อดเปรียบเทียบความคิดของตัวละครเรื่องนี้กับ The Sea Inside ไม่ได้ เรื่องนึง ตัวละครเอกอยากจะตายเหลือเกิน, แต่เรื่องนี้ กลับแสดงให้เห็นความต้องการมีชีวิตอยู่ของคน (มีประโยคนึงที่โดนมากครับ ที่พูดประมาณว่า -- Even though I'm not a beast, Don't I have the right to live ) คนเรา ช่างแปลกจริงหนอ....
The Sea Inside -- หนังยอดเยี่ยมรางวัลกินรี
23 ม.ค. 2548 เวลา 23.30 น.
--- 8.5/10 ----
ความจริงกะจะไม่ดูหนังแล้ว เพราะพรุ่งนี้มีเรียน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เค้าเอาหนังมาฉายอีกรอบ ก็เลยตัดสินใจดูละกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆครับ
ความจริงหนังก็ค่อนข้างประเด็นซ้ำๆ นะครับ เรื่องราวที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของ Ramon ชายพิการวัยกลางคน ที่เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปเป็นระยะเวลากว่าสามสิบปี ความต้องการเพียงหนึ่งเดียวของเขาตอนนี้ ก็คือ ความตาย อ่านๆ ดูแล้ว รู้สึกเหมือนกันไหมครับว่า ประเด็นคล้ายๆ กับเรื่อง The Barbarian Invasions เลย (หนังรางวัลกินรีและออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมปีที่แล้ว) ประเด็นนี้ถ้าจะให้พูดถึงคงยาวน่ะครับ เมื่อกี้พิมพ์ the other side
ยาวไปหน่อย เลยขี้เกียจพิมพ์เรื่องนี้แล้ว แหะๆ
ไม่รู้สิครับ ประเด็นนี้ค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนมาก ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนผมไหม แต่สำหรับผมแล้ว ตอนนี้ ผมคิดว่าชีวิตคนเรานั้นมีค่ามากๆๆๆๆ แต่..... หากผมต้องยืนอยู่ในจุดเดียวกับที่ Ramon ประสบ มันก็ไม่แน่ครับ ผมอาจจะคิดแบบเดียวกับ Ramon ก็เป็นได้
เรื่องนี้เป็นการสะท้อนและเจาะลึกให้เราเห็นถึงหลากหลายทรรศนะของผู้คนเกี่ยวกับประเด็นอันบอบบางนี้ ยกตัวอย่างเช่น
- ฝ่ายพี่ชาย นั้นคิดว่าน้องชายตัวเองช่างแสนโง่เหลือเกิน เค้ามักโกรธ โมโห ต่อต้าน และไม่ต้องการให้น้องของตนกระทำการอันโง่เขลาเหล่านั้น - ส่วนหลานชายวัยรุ่นที่ยังไม่ประสาเรื่องโลกมากนัก (แถมบางทีเค้าก็แอบคิดว่า ลุงเค้าก็เป็นแค่ชายที่ลุกออกจากเตียงไปไหนมาไหนไม่ได้ ไม่ได้มีประโยชน์หรือคุณค่าอะไรเลย, มั้ง? ถ้าแปลไม่ผิด) แต่ก็ยังคงคอยช่วยเหลือลุงมาโดยตลอด - ในส่วนของภรรยาพี่ชายผู้แสนดีก็เห็นว่า ถ้ามันเป็นความปรารถนาของเค้า ก็จงปล่อยให้เค้าทำเถอะ เธอไม่ขอออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น - หรือจะเป็นตัวบาทหลวงที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับ Ramon ที่พยายามใช้หลักธรรมคำสอนของพระเยซูมาเหนี่ยวนำให้เค้าเห็นว่า "ชีวิตนั้น แท้จริงแล้วมิได้เป็นของเรา เป็นของพระเจ้าต่างหาก" (ต้องขอโทษด้วยนะครับ ถ้าหากประโยคที่แปลผิดพลาดไป) - และสิ่งที่หนังค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ก็คือความคิดของตัวเอกอย่าง Ramon ซึ่งเค้ามีความเห็นและเน้นจุดยืนว่า เขาต้องการจบชีวิตลงอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี (Dignity) และหากเขาต้องการความตาย เค้าก็สมควรจะได้รับมัน เพราะ Life is a right, not an obligation
เฮ่อ....เรื่องความเป็นความตายนี่ช่างซับซ้อนเหลือเกินครับเหลือเกินครับ
เอาเถอะครับ ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้ก็ได้เลือกสะท้อนทุกประเด็นออกมาได้อย่างชาญฉลาด ผ่านแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะสองตัวละครสำคัญที่ไม่พูดถึงเห็นจะไม่ได้อย่างจูเลีย -- "ทนายสาว" -- ที่เธอก็มีปัญหาเกี่ยวกับขาเช่นเดียวกัน -- ทนายคนนี้มาเพื่อช่วย Ramon แต่ไปๆ มาๆ ตัวเธอเองก็ต้องประสบปัญหาที่คล้ายๆ กับ Ramon จนทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว Ramon มีความรู้สึกเป็นเช่นไร, และตัวโรซ่า -- หญิงสาวจาก Boiro (มั้ง?) ที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความรักมาโดยตลอด (ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ character ของเธอในเรื่องเลยครับ เพราะผมคิดว่าในเรื่องเธอค่อนข้าง sensitive มากๆ,มากจนน่ารำคาญน่ะครับ) เธอพยายามชักจูงให้ Ramon เชื่อว่า แท้จริงแล้ว การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ช่างงดงามนัก
สองตัวละครนี้ ทำให้เรื่องราวของราม่อนดูมีสีสันมาก เพราะเป็นตัวละครที่คอยสนับสนุนและขัดแย้งในแนวความคิด Euthanasia (การฆ่า / ตายอย่างสงบ) ของราม่อน เป็นหญิงสาวที่ราม่อนมีความผูกพัน และมีความรักด้วย (แม้ตัวจะพิการแต่ใจไม่พิการ ร้ายจริงๆ นะ คุณราม่อน), แต่นิยามความรักของเค้า ที่เค้ายืนยันเสมอมา ฟังๆ แล้วก็น่าขันนะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าชีวิตของเค้าจมอยู่กับเรื่องของความตายมากแค่ไหน เพราะเค้าเน้นย้ำเสมอว่า คนที่รักฉัน/คนที่ฉันรัก คือคนที่ช่วยให้ฉันตายได้
นอกเหนือจากแนวคิดหลักอันทรงคุณค่าที่หนังนำเสนอแล้วนั้น ยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่ดีมากๆของหนัง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพที่ผมชอบภาพสองช็อตในเรื่องนี้มากๆ, ช็อตแรกก็คือตอนที่ตัวราม่อนคิดถึงตอนที่เค้าบินไปเรื่อยๆ จนไปถึงทะเล ตื่นตาตื่นใจมากๆครับกับฉากนี้ สวย และ เห็นภาพของจินตนาการที่สะท้อนถึงความรู้สึกของราม่อน ณ ขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกของการต้องการเป็นอิสระ, การถวิลหาสิ่งที่เค้าเฝ้าคิด เฝ้าฝันอยู่ทุกวันคือการออกไปยังโลกกว้างภายนอก (แม้เค้าจะต้องการตายก็ตาม), อีกช็อตนึงก็คือตอนที่เค้าประสบอุบัติเหตุ จนทำให้พิการนั่นแหละครับ ภาพที่ค่อยๆ จมน้ำ จนเหมือนจะไร้ซึ่งวิญญาณนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจริงๆครับ มันสวยมากๆๆ อีกทั้งยังทำให้เรารู้ถึงความรู้สึกของคนใกล้ตายได้เป็นอย่างดี
อีกส่วนที่ผมชอบ ก็คือ จังหวะการนำเสนอของเรื่องนี้ครับ หนังค่อยๆ เล่าเรื่อง แต่ไม่เยิ่นเย้อ พร่ำเพรื่อ หรือเร้าอารมณ์ผู้ชมมากจนเกินไป ส่วนไหนที่ไม่สำคัญกับ Theme ของเรื่อง ผู้กำกับก็แทบจะไม่ให้ความสำคัญเลย เช่น เรื่องราวระหว่างเค้ากับ คนรักคนก่อนหน้า ก่อนที่เค้าจะเป็นอัมพาตเป็นยังไง (ให้เห็นแค่รูปและเรื่องราวเล็กน้อยเท่านั้น) เป็นต้น
แต่.....ผมก็ไม่ได้ชอบเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ด้วยเนื้อหาเครียดๆ ปรัชญาหนักๆ และซ้ำๆ อย่างนี้ ดูมากๆ ก็เอียนเหมือนกันครับ ยังโชคดีอยู่อย่างที่การนำเสนอครั้งนี้ ผู้กำกับฉลาดที่จะเจาะลึกเรื่องราวความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็เลยพอโอเคหน่อย, อีกอย่างที่ผมไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ฉากจบครับ ไม่รู้สิครับ ผมว่าฉากสุดท้ายค่อนข้างสำคัญกับหนังมาก แต่ผมไม่ค่อย อิน ครับ ผมคิดว่าหากจบลงที่ ความตาย ในฉากก่อนหน้า น่าจะดีกว่านี้ (แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ประเด็นหรือเรื่องราวที่หนังต้องการนำเสนอก็ไม่จบสิ??? ไม่รู้แฮะ)
เครียดครับ ดูเรื่องนี้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ นี่ก็เป็นหนังดีอีกเรื่องที่คุณๆ ไม่ควรพลาดครับ
Create Date : 24 มกราคม 2548 |
Last Update : 4 เมษายน 2548 10:31:53 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1534 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: keyzer วันที่: 24 มกราคม 2548 เวลา:23:58:43 น. |
|
โดย: joblovenuk วันที่: 25 มกราคม 2548 เวลา:3:03:07 น. |
|
โดย: เลิฟแอดดิค IP: 161.200.255.161 วันที่: 25 มกราคม 2548 เวลา:19:46:41 น. |
|
โดย: it ซียู วันที่: 26 มกราคม 2548 เวลา:8:41:39 น. |
|
โดย: Dr Syntax IP: 202.44.231.8 วันที่: 26 มกราคม 2548 เวลา:13:57:14 น. |
|
โดย: it ซียู วันที่: 26 มกราคม 2548 เวลา:15:42:22 น. |
|
โดย: Yoh IP: 202.29.48.251 วันที่: 3 มิถุนายน 2548 เวลา:15:50:02 น. |
|
โดย: เจ็บใจ คนรักโดนรังแก IP: 58.10.163.62 วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:12:15:38 น. |
|
| |
|
it ซียู |
|
|
|
|
แต่ก็มีเรื่องงานกับเรื่องสอบเข้ามาจนอดจนได้