เช้าวันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ คงจะเป็นวันแห่งความสุขเสมอเหมือนทุกปี เพราะเป็นวันเกิดของแม่แต่เช้าวันนี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากเมืองไทย พร้อมเสียงสะอื้นว่า "ยายเสียแล้ว"ยายสิ้นลมตอน 8.40 น. ยายเป็นพระแก้วยิ่งใหญ่สำหรับแม่ วันนี้แม่ไม่มีพระแก้วขวัญแล้ว เหลือไว้แต่พระคุณให้ลูกหลานได้รำลึกถึงสืบต่อไปภาพของยายยังแจ่มชัดในความทรงจำของฉันเสมอมา มันหลั่งออกมาพร้อมน้ำตาแห่งความอาลัย นี่ยายจากเราไปแล้วจริงๆเหรอ ฉันทำอะไรไม่ค่อยถูก มันหวิวๆ ขาดสติ แต่ยังมีสามีอยู่ข้างๆ คอยปลอบและบอกว่า คุณต้องกลับบ้านไปส่งยายนะ ยายไปดีแล้วฉันบินกลับทันที จุดหมายอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่ นัดเจอกันกับป๊า กับน้องๆที่บินจากกรุงเทพก่อนหน้าฉัน พวกเราเดินผ่านประตูบ้านยาย ที่คุ้นเคย แต่คราวนี้ไม่มียายมาคอยรอกอดรับพวกเราเหมือนทุกครั้งอีกแล้วฉันตรงเข้าไปกอดแม่ก่อน ฉันกอดแม่แน่น อยากให้รู้ว่ายังมีพวกลูกอยู่ตรงนี้ด้วยกันฉันไม่ได้เห็นหน้ายาย เพราะยายนอนอยู่ในโลงไม้กลางบ้าน มีแต่รูปยายยิ้มรับเราอยู่ บ้านถูกคลุมตกแต่งไปด้วยผ้าดำ มีเสียงปี่พากย์บรรเลงคลออยู่ตลอด นี่สินะคือบ้านศพ งานของยายเรียบง่ายตามที่ยายสั่งเสียไว้ ขอให้เก็บยายไว้แค่ 3 วัน จากนั้นให้เผาแล้วเอาเถ้ากระดูกไปฝังไว้ใกล้กระดูกของคุณตา ถึงแม้จะเรียบง่ายยังไงฉันก็พบว่าคนที่มาร่วมงานของยายนั้นมากมายจริงๆ ทุกคนมาร่วมลงแรง ร่วมอนุโมทนาจิตส่งยายร่วมกันเมื่อยายยังอยู่นั้น งานบุญ งานศพบ้านไหนก็ไม่เคยขาดที่จะไปช่วย ฉะนั้นบุญต่อบุญที่ยายว่าคงเป็นด้วยประการฉะนี้ฉันมีโอกาสได้ลายายเมื่อเขาเปิดโลงให้ขออโหสิกรรมก่อนจะนำร่างยายขึ้นเมรุ ยายดูเหมือนคนหลับสนิท ใบหน้าของยายสวยเหมือนเมื่อยายมีลมหายใจ ฉันจับไปที่เท้าเย็นๆ ของยาย กราบลายาย ขอให้ยายไปดีพวกฉันผูกผันกับยายมาก เราเรียกยายว่า "อุ๋ย" เป็นสรรพนามตามทางเหนือ ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่กับยายตลอด แต่ช่วงวัยเด็กจนก่อนทำงานนั้นทุกๆเวลาปิดภาคเรียน ป๊าม๊าจะส่งฉันกับน้องๆ ให้มาอยู่กับตายายที่ทางเหนือเสมอ ฉะนั้นยายจึงเหมือนแม่ของเราทุกคน ท่านรักและดูแลอย่างใส่ใจ ไม่เคยต้องการอะไรตอบแทน พวกเรามีความสุขกับกองทราย ได้วิ่งเก็บมะม่วงยามเมื่อลมพัดแรงก่อนฝนมา ได้ตกจ่ำล่อปลาในลำคลองสายเล็ก ท้ายหมู่บ้านตกเย็นยายจะมาคอยตามหาเรา เรียกกลับบ้านไปกินข้าว อาบน้ำ ชีวิตช่วงนั้นไม่รู้เหนื่อย สนุกอย่างเดียว ตกดึกก็เข้านอนมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ให้เราได้ยิ้ม หัวเราะกับภาพวันวารทุกครั้ง ยามเมื่อเล่าสู่กันฟังพอเริ่มทำงาน ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบเราก็ต้องห่างจากยาย แต่ยังคงโทรศัพท์ถึงกันเสมอ ถ้าเราไม่ว่าง ยายก็จะลงมาหาหลานที่กรุงเทพฯ พร้อมข้าวใหม่ จากผืนนาบ้าง น้ำพริกแกงบ้าง หรือลำไยจากในสวนท้ายบ้านของยายภาพของยายยังแจ่มชัด ยายไว้ผมม้วย ผมของยายยาวเกือบกรอมข้อเท้าเวลาปล่อยลงมา ฉันชอบบอกยายว่าน่ากลัวๆ เวลายายสางผมก่อนชโลมด้วยน้ำมันมะกอก ยายได้แต่หัวเราะ ยายไม่เคยดุด่าว่าใคร ยายใจดีที่สุด ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของยาย ใครเห็นก็เย็นตา ยายจึงเป็นที่รักและเคารพของทุกคน ที่มีโอกาสได้รู้จักยายก็คือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่เป็นคนสำคัญสำหรับลูกหลาน ผู้หญิงคนนี้เข้มแข็ง อดทนต่อความยากลำบากได้เสมอ และจากโลกนี้ไปพร้อมความรักจากพวกเรา ยายจะไม่เจ็บ ไม่ทุกข์อีกแล้วถ้าอยู่บ้านยายจะนุ่งผ้าซิน กับยกทรงผ้าฝ้ายเต็มตัวเหมือนสายเดียวแต่ดูยังไงก็ไม่เซ็กซี่ แต่อบอุ่นเจนตาเพราะนั่นคือ....คุณยายฉันเจอยายครั้งสุดท้ายก่อนจะย้ายมาอยู่ฮ่องกง เมื่อเดือนเมษาช่วงสงกรานต์ เหมือนทุกปีที่เราไปหายาย ก่อนจะลากลับบ้านยายจะผูกข้อมือให้พรทุกครั้งยายว่า "เออ...สงสัยนี่จะเป็นสุดท้ายที่จะได้พรให้หลานละหนอ" ฉันว่า "ไม่หรอก ยายยังแข็งแรงอยู่เลย อยู่ด้วยกันอีกนาน แต่ห้ามเข้าสวนไปคนเดียวเน้อ อย่าดื้อนะจ้ะ"ยายว่า " คนเรามันไม่พ้นกรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เอาล่ะ มายายขอให้หลานไปอยู่ที่ไหนหนใด ก็ขอให้มีคนรัก คนเมตตา มีความสุขอยู่เย็นเป็นสุขคุณพระรักษาเน้อ"ฉันว่า "สาธุ สาธุ ยายต้องรักษาสุขภาพนะ แล้วหนูจะมาหาใหม่"ยายก็ได้แต่ยิ้มๆ ลูบหัวฉัน ฉันเองน้ำตาก็ไหลรู้สึกเหมือนจะไม่เจอยายอีกนาน ฉันกอดยายเพื่อลา นับว่าเป็นการลาจากอย่างแท้จริงถ้าสวรรค์มีจริง ฉันเชื่อเหลือเกินว่าผลแห่งกรรมดีที่ยายกระทำ ย่อมส่งผลบุญให้ยายอยู่ในชาติภพที่ดี ช่วยดูแลยายของหนูให้ท่านมีความสุขบนฟ้าด้วยเถอะหมดเวลาของยายบนโลกนี้ ยายคงเหนื่อยและอยากพักซะที คุณตาคงมารับยายไปอยู่ด้วยกันแล้ว*** สุดท้ายฉันอยากบอกว่า ยายจ๋า...หนูรักยายจ๊ะ ***ยายจากไปไม่ไกล ขอบฟ้าที่ยายอยู่ คงใกล้แค่ใจเราเองเท่านั้น