ข่าวฝาก "วัยทีนแสบซ่า ตามล่าแสดแก๊ง"
ทางสนพ. ปริ๊สเซส ฝากข่าวถึง เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ถึงงานที่จะมีในวันที่ 8 กค 2549 นี้นะคะ ใครว่างก็เชิญนะคะ
กำหนดงาน
งาน : วัยทีนแสบซ่า ตามล่าแสดแก๊ง วัน : วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2549 สถานที่ : เวทีกลาง ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา : 13.00 น. เปิดตัวแสดแก๊ง เวลา : 13.40 น. เปิดตัวหนังสือ 4 เล่ม โดย 4 นัก เขียน Cornelio, กัลฐิดา, จตุรดา, เทมส์ เวลา : 14.50 น. ร่วมเล่นเกมส์ลุ้นรับของขวัญเศษ หนังสือ หัวขโมยแห่งบารามอส พร้อมลายเซ็น ผู้เขียน แรบบิท พิธีกร : รชต เอี่ยมวรกุล PJ. ต๊ะ จากรายการ วิทยุ FM MAX 88.5 วิทยากร : นู๋ผักบุ้ง ผู้เขียน มาเฟียที่รัก เล่ม 1, 2 อคิราห์ ผู้เขียน นายตัวร้ายกับยัยตัวแสบ Little monkey ผู้เขียน แปลกดีนักแอบรัก เจ้าชาย Cornelio ผู้เขียน ชุลมุนวุ่นรักหอพักอลเวง, แฟนฉันเป็นยมทูต, Paparazzi กัลฐิดา ผู้เขียน เซวีน่า เลาม 1, 2 จตุรดา ผู้เขียน ลำนำแห่งห้วงธารา, คีตาเริ่ม บรรเลง เทมส์ ผู้เขียน Eternity Moon, Blueplanet แขกรับเชิญ : คุณวโรรส โรจนะ เวปมาสเตอร์ เด็กดี ดอตคอม (www.Dekdee.com)
ปล. สำหรับตัวเจ้าของบล็อค ปิดบล็อคเที่ยวเสม็ดชั่วคราว อิอิ แล้วจะเก็บลมทะเลมาฝากกันจ้า
Create Date : 30 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2549 9:54:53 น. |
|
5 comments
|
Counter : 735 Pageviews. |
|
|
|
คณะของสวาซิแลนด์
ทำเอาชาวบ้านหัวใจเกือบวาย ด้วยการประกอบพิธีโดยคุณ "Spiritualist" ในคณะ เมื่อคราวเสด็จฯ พระที่นั่งอนันตฯ ตอนที่คณะจะเสด็จกลับ คุณ Spiritualist ซึ่งได้รับเชิญให้มากับกษัตริย์สวาซิแลนด์คนนี้ก็เดินกลับมาหาในหลวง แล้วก็ตะโกนเสียงดังมาก ท่าทางขึงขังราวกับจะเข้ามาทำร้าย แล้วก็เดินจากไป ขณะที่พระองค์ท่านพระพักตร์นิ่งมาก ๆ ส่วนทุกคนในที่นั้นหน้าซีดเผือด
คืนนั้น ทหารของวังก็มาที่โรงแรมทันที เล่นเอานายตำรวจเกียรติยศของเราที่เป็นราชองครักษ์ให้กับคณะถึงกับลมใส่
แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรค่ะ ในวังสั่งให้มาสอบถามฝ่ายสวาซิแลนด์ว่า คุณหมอผีแกพูดว่าอะไร และท่าทางในขณะนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
คำตอบน่ารักมาก เค้าบอกว่า นั่นคือพิธีถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว แต่เสียดายมากที่ไม่สามารถทำได้อย่าง " ครบเครื่อง " เพราะตามปกติต้องมีชุดประจำชาติ (ซึ่งจะมีหอก และไม้เท้า) แต่โดยที่เราไม่อนุญาตให้พกอาวุธ (ยกเว้นเป็นเครื่องแต่งกายปกติของกษัตริย์ อาทิ ชุดของ king คูเวต และมาเลเซียซึ่งเหน็บกริชด้วย) จึงไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง แล้วขอโทษมาด้วย
คนที่ได้ยินเลยอมยิ้มกันไปตาม ๆ กัน
............................................................................................................
สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี
วันเสด็จฯ ไปกองทัพเรือนั้น ประชาชนมารอรับเสด็จเนืองแน่น พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์อยู่ในรถ จนคุณตำรวจเกียรติยศทูลถามว่าทรงประสงค์จะให้เอากระจกลงหรือไม่ ตอนแรก พระองค์ท่านทรงปฏิเสธ แต่ในที่สุด เมื่อทอดพระเนตรเห็นฝูงชนที่บีบเข้ามาเรื่อย ๆ รถก็เคลื่อนไปได้ช้า จึงรับสั่งให้เอากระจกลง พอชาวบ้านเห็นก็ตะโกนกันใหญ่ว่า ทรงพระเจริญ พระองค์ท่านแย้มสรวลให้ จนมีเสียงผู้หญิงคนนึงตะโกนฝ่ามาจากฝูงชนว่า " ทรงหล่อมาก ๆ "
คราวนี้พระองค์ท่านแย้มพระสรวลไม่หุบเลย
.............................................................................................
มีคนหลังไมค์มาถามเราว่า เราไปทำอะไรมาเหรอ ถึงรู้เรื่องที่เอามาเล่าเนี่ย
ก็ขอตอบละกันว่าไปเป็น " เลซอง " มาค่ะ
เลซอง ( liaison) คือเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับคณะของพระราชอาคันตุกะ ทุกคณะจะมีเลซองประจำคณะละ 2 คนขึ้นไป หลัก ๆ คือเป็นเลซองตัวพระประมุข 1 คนและผู้ช่วยเลซอง 1 คน แต่หากมีพระชายา / พระสวามีโดยเสด็จด้วยก็จะเพิ่มเลซองอีก 1 คน (ของมาเลเซียกับญี่ปุ่น มีคณะละ 4 คน เนื่องจากคณะใหญ่มาก ญี่ปุ่นมีผู้ตามเสด็จประมาณ 200 คน)
พูดถึงเลซองแล้วก็คิดถึงสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน และเจ้าหญิงแมรี่แห่งเดนมาร์ก
เกร็ดน่ารัก ๆ เรื่องนี้คือว่า ทั้งสองพระองค์เคยเป็นสามัญชนมาก่อน (ควีนซิลเวียเป็นชาวเยอรมัน ส่วนเจ้าหญิงแมรี่เป็นชาวออสเตรเลีย) และเคยเป็นเลซอง จึงได้พบกับกษัตริย์สวีเดน และเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก เมื่อท่านเสด็จฯ ไปเยือนประเทศบ้านเกิดของทั้งสองพระองค์
เอ้อ ไม่อยากบอกเลยว่าข้อมูลนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้สาว ๆ หลายคนอยากเป็นเลซองให้กับคณะ ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีนะคะว่าเป็นคณะไหน
แต่.. เสียใจด้วยจ้า คณะนั้น เค้าจัดเลซองผู้ชายให้แล้ว (ฮือ เสียดาย)
.............................................................................................................
บรูไนกับมาเลเซีย
คืนวันที่ 12 ราว ๆ 2 ยาม เห็นจะได้ เจ้าหน้าที่สถานทูตบรูไน 3 คน มาที่โรงแรม Shangri-La และได้ขอพบเลซองมาเลเซีย แล้วก็บอกว่า ควีนบรูไนมีของมาถวายองค์รายา ประไหมสุหรี อากง (ควีนมาเลเซีย) ต้องถวายให้ได้ในคืนนั้น
ของนั้นเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลเล็ก ๆ มี scotch tape พัน ๆ อยู่ ดูแล้วไม่เรียบร้อยเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าหน้าที่บรูไนมีเอกสารมาให้เซ็นรับอย่างดี และยืนยันต้องถวายให้ได้
โชคดีว่าขณะนั้น ทรงประทับเสวยพระกระยาหารมื้อดึกอยู่ ยังไม่เข้าบรรทม ราชเลขาธิการมาเลเซียจึงได้นำของดังกล่าวเข้าไปถวายโดยใส่พาน แต่มิได้แกะห่อออกดู จึงทรงรับสั่งให้แกะห่อ
เอ่อ ทายสิคะว่าของในห่อที่ดูไร้ค่ามาก ๆ คืออะไร
มันคือ เครื่องเพชรค่ะ เครื่องเพชรอันใหญ่เบ้ง ประกอบด้วยพัชราวลัย (สร้อยคอ) กุณฑล (ต่างหู) และกำไลข้อพระกรอีก 1 คู่
( ปาดเหงื่อ 1 ที) งานนี้ เลซองเกือบซวยค่ะ เธอสารภาพกับดิฉันว่า คิดว่าจะแอบเอาไปโยนทิ้งอยู่แล้ว เพราะสภาพของห่อดีกว่าห่อขนมไข่หงส์นิดเดียว !
............................................................................................................................................................................................................................
speech ประวัติศาสตร์ที่จับใจคนทั้งโลกขององค์สุลต่านแห่งบรูไนค่ะ
ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว ท่านได้ทรงขอข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเตรียมการยกร่าง และคำถามที่ถามกันมากมากเหลือกเกินว่าใครคือผู้ยกร่าง
ผู้ร่างก็คือ องค์สุลต่านนั่นเองค่ะ
ยืนยันจากเจ้าหน้าที่โต๊ะบรูไนของกระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเนี่ยแหละเพราะเธอเป็นคนให้ข้อมูลท่านไปเองค่ะ และท่านทรงยกร่างเองและรัฐมนตรีต่างประเทศ เพียงเตรียมเป็นประเด็นสั้น ๆ ( pointers) ให้ทราบว่าทรงปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกับความเอาพระทัยใส่ของในหลวงของเรา ที่ทรงรับสั่งแสดงความยินดีกับองค์สุลต่านที่พระชายาชาวมาเลเซียมีประสูติกาลพระโอรสเพียง 1 สัปดาห์ก่อนเสด็จมาประเทศไทย อยากจะบอกว่า ภาษาอังกฤษที่ใช้นั้น ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย เป็นภาษาที่แสนจะง่าย ธรรมดาสามัญ แต่เมื่อประกอบกันขึ้นเป็น speech แล้ว กลับซาบซึ้งกินใจอย่างยิ่ง
.......................................................................................................................................................................................................................
พ.ต.ท.เชิดชาย ชมธวัช วัย 64 ปี นายตำรวจเกษียณ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับพระราชทานวโรกาสให้เข้าเฝ้าพระประมุขแห่งญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
คุณลุงเชิดชาย เล่าย้อนเวลาเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ยังรับราชการในตำแหน่ง รองผกก.หน.สภ.อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน
ได้พบว่าในพื้นที่ อ.ขุนยวม มีข้าวของเครื่องใช้ของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกหลงเหลืออยู่กระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก เลยมีความคิดริเริ่มที่จะรวมรวมสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์เหล่านี้รวมกันไว้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง จึงเริ่มสะสมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นนับแต่นั้นมา
คุณลุงก็ได้รับหนังสือเชิญจากสถานทูตญี่ปุ่น โดยมีข้อความเชิญตัวคุณลุงเองและภรรยาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ในวันที่ 13 มิ.ย. โดยข้อความทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษและเขียนชื่อคุณลุงเป็นภาษาไทย และเจ้าหน้าที่ก็ได้มอบภาพถ่ายของทั้งสองพระองค์ให้กับคุณลุงด้วย
หน้าที่ได้จัดลำดับให้ผมเข้าเฝ้าเป็นลำดับที่ 3 จากผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากว่า 40 คน เมื่อได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิอากิฮิโตได้สัมผัสมือกับผมและตรัสผ่านล่ามว่ารู้สึกขอบคุณ และขออภัยที่ทำให้ผมต้องเดินทางมาไกลและตรัสว่าในนามของประชาชนชาวญี่ปุ่นและในนามของประมุขของประเทศญี่ปุ่น ขอขอบคุณที่ได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นมาและฝากความระลึกถึงชาวบ้าน 3 คนที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาด้วย ซึ่งในการพูดคุยพระองค์ทรงมีอัธยาศัยอย่างไมตรีและไม่ถือตัวสร้างความปีติให้กับผมและภรรยาอย่างที่สุด โดยการเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา สมเด็จพระจัรพรรดิอากิฮิโตได้พระราชทานจอกเงิน ที่มีตราราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ให้กับผมและภรรยาด้วย "
คุณลุงเชิดชาย ยังบอกด้วยว่า พิพิธภัณฑ์สงครามโลกมีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นและคนไทยที่ผ่านพ้นประวัติศาสตร์ร่วมกันโดยเฉพาะเส้นทางเดินทัพที่พาดผ่าน อ.ขุนยวม เรียกกันว่าเป็น " เส้นทางโครงกระดูก " โดยขณะนั้นทหารฝ่ายพันธมิตรได้ปิดล้อมกองทหารญี่ปุ่น ตั้งแต่เมืองโอคิมาของอินเดียตอนใต้ ไล่ลงมาผ่านอิรวดีของพม่าและเข้าสู่ภาคเหนือของไทยที่ อ.ขุนยวม ซึ่งยุกธการปิดล้อมครั้งนั้นได้ทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
และเนื่องในปีนี้เป็นปีมงคล คุณลุงจึงตั้งใจถวายพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระจักรพรรดิอากิฮิโตแห่งญี่ปุ่น และปฏิญาณว่า จะตั้งใจดำเนินการสะสมสิ่งของในอดีตรวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้สนใจศึกษาต่อไปด้วย
.........................................................................................................................................................................
แม่ค้าผลไม้ที่เจ้าชายแห่งลักเซมเบิร์ก ได้เสด็จฯเยี่ยมชมตลาด และทรงลองเสวยทุเรียน ซึ่งคุณแม่ค้า สาว 2 พี่น้อง เจ้าของร้าน " นันท์-น้อย " เล่าถึงความประทับใจและระทึกใจต่อเจ้าชายหนุ่มว่า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังขายผลไม้อยู่หน้าร้าน ปรากฎว่าบริเวณหน้าตลาด อตก.มีผู้คนคึกคักผิดปกติ เลยรู้ว่ารอชมพระบารมีของเจ้าชาย คุณแม่ค้าและน้องสายก็ตื่นเต้นดีใจ ที่มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาชมตลาด
( ขอแทรกค่ะ) แถมการเสด็จครั้งนี้ ท่านทรงพระดำเนินมาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มายังตลาด คิดดูว่าทั้งร้อนทั้งไกลขนาดไหน
คุณแม่ค้าเล่าอย่างเห็นภาพว่า " มาถึงพระองค์ท่านก็เลี้ยวมาที่ร้านของดิฉันทันที พระองค์ทรงหยุดมองทุเรียนที่วางขายอยู่หน้าร้าน ซึ่งดิฉันก็บอกกับล่ามของพระองศ์ว่า สามารถชิมได้ พระองค์มีท่าทีสนใจ และยิ้มแย้มที่ได้เห็นทุเรียน แต่ทางผู้ติดตามบอกว่าพระองค์ไม่สามารถชิมได้ เพราะเกรงว่าจะท้องเสีย แต่พอล่ามได้บอกกับพระองค์ว่า แม่ค้าอยากให้ชิม พระองค์จึงตรัสว่าจะลองชิม แล้วผู้ติดตามก็ได้ให้ดิฉันเช็ดมีดให้สะอาด แล้วเอาไม้มาให้พระองค์จิ้มเสวย แต่ปรากฎว่าพระองศ์ทรงใช้มือหยิบเสวย พร้อมชมว่า อร่อยมากๆ "
คุณแม่ค้าเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มปลื้ม ก่อนจะบอกว่า " เสวยทุเรียนเสร็จ ดิฉันก็ถวาย มังคุดให้เสวยต่อ ซึ่งพระองค์ก็ชอบมากอีกเช่นกัน ดิฉันเลยบอกผู้ติดตามว่าจะขอถวายผลไม้ให้ได้ไหม แต่ทางผู้ติดตามบอกว่า จะขอซื้อ เพราะถ้าถวาย ก็กลัวว่าแม่ค้าจะขาดทุน เพราะต้องซื้อเป็นจำนวนมาก "
เท่านั้นแหละ เธอถึงยอมใจอ่อน ตัดใจขายทุเรียนให้พระองค์ท่านไป 4 กิโล ราคา 1 พันบาท แล้วก็แถมผลไม้อย่างอื่นให้ด้วย
คุณพี่แม่ค้าเล่าตอนนี้อย่างปลื้มสุดๆ อีกว่า " พระองค์ท่านถามดิฉันว่าทำไมต้องให้ฟรี ดิฉันบอกว่าพระองค์เป็นแขกของในหลวง พระเจ้าแผ่นดินที่ดิฉันเคารพรักมาก เมื่อพระองค์มาเยือนประเทศไทย มาเป็นแขกของพระเจ้าแผ่นดิน ดิฉันก็ต้องต้อนรับให้ดีที่สุดเช่นกัน พอล่ามแปลให้ฟัง พระองค์ท่านก็ทรงยิ้มแย้ม "
หลังจากวันนี้ คุณพี่แม่ค้าก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น เพราะวันถัดมา จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ของบุคคลผู้ไม่คุ้นเคย โทรมาหา และบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.บางซื่อ พอรู้เท่านั้นแหละ คุณพี่แม่ค้าต๊กกะใจ " นึกว่าพูดอะไรออกไป "
แต่ปรากฎว่า คุณพี่ตำรวจนายนั้น โทรมาบอกว่า " คืนนั้นเจ้าชายทรงนอนไม่หลับ เพราะยังคิด และประทับใจในคำพูดที่ดิฉันมีต่อพระเจ้าแผ่นดิน และปลื้มใจที่มีประชาชนชาวไทยรักในหลวงมากมายขนาดนี้ "
.... โอย ฟังแล้วปลื้มหัวใจเจ้าค่ะ
คุณพี่แม้ค้าเลย ตบท้ายว่า ที่เจ้าชายทรงเสด็จฯ มาเสวยทุเรียนที่ร้าน ดิฉันรู้สึกดีใจมาก และถือเป็นวาสนาว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เคยมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งเสด็จมา ดิฉันว่าประชาชนของประเทศลักเซมเบิร์กบางคน ยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านเหมือนดิฉัน ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ท่านเสด็จมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง " คุณพี่แม่ค้าว่างั้น ... ฮึ โชคดีกว่าอิฉันอีกนะคุณพี่ หุหุ