Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
พื้นที่วังน้ำเขียว กับความอยุติธรรมของใคร?????


รู้สึกเหนื่อยกับชีวิตจัง...
ตั้งแต่พื้นที่วังน้ำเขียวเกิดปัญหาขึ้นมา
มีความรู้สึกว่าแก่ขึ้นอีกหลายปี ...และโดยเฉพาะช่วงนี้
ที่มีคำสั่งจับ 152 รีสอร์ต และบ้านพักหรู โดยอ้างคำอธิบดีว่า "จะไม่จับชาวบ้าน"แต่สิ่งที่เขากระทำ กับสิ่งที่ออกสื่อไปนั้นมันกลายเป็นคนละเรื่องกัน
เอาอะไรมาวัดนะหรือ...เอาบ้านตัวเอง กับ ลูกบ้านอีกคนหนึ่งวัดไง...

เพราะที่บ้าน กับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งติดเป็น 2 หลัง ใน 152 รายชื่อนั้น!!!ลักษณะบ้านของเพื่อนบ้าน เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ 2 หลังอยู่กันสองคนผัวเมีย ในขณะที่บ้านปลูกดอกไม้...แต่ก็ยังโดนจับกับเขาด้วย
ข้างบ้าน เป็นบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่อยู่ติดกันกับด่านป่าไม้กลับไม่โดนจับ

"แล้วอย่างนี้จะถามหามาตรฐานในการเข้าจับกุมดำเนินคดีกับ ...แมว...ที่ไหน"

แน่นอนเลยว่าหากตั้งคำถามกับชุดเข้าจับกุม..เขาต้องโบ้ยไปยัง "กรม" ซึ่งเป็นผู้ออกคำสั่งในขณะที่ป่าไม้ชั้นเล็ก ๆ เป็นผู้รับคำสั่งมาปฏิบัติ...

ถามว่า เข้าใจในการเข้าจับไหม...ส่วนหนึ่งเข้าใจ ....

เข้าใจในที่นี้หมายถึงเข้าใจเจ้าหน้าที่ ๆ เข้ามาทำการจับกุม ว่าได้รับคำสั่งอันใดมาก็ปฏิบัติไปเช่นนั้นหัวหน้าสั่ง ลูกน้องก็ต้องปฏิบัติก็ถูกต้อง ถามว่าจริง ๆ เค้าอยากทำไม ..ก็ไม่อยาก ป่าไม่พื้นที่เองเข้าใจสภาพความ
เป็นมาเป็นไปของพื้นที่เป็นอย่างดี และป่าไม้ที่ถูกดึงเข้ามาช่วยงานนี้เอง บางคนก็อยู่ในพื้นที่ ๆ มีปัญหาเช่นเดียวกันกับอำเภอวังน้ำเขียว

แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกิดความ ...ไม่เข้าใจ...

นั่นเพราะ มันไม่มีมาตรการแน่นนอนในการจับกุม ในพื้นที่เดียวกัน จับหลังหนึ่ง แต่อีกหลังหนึ่งไม่จับหมายความว่าอะไร....และสิ่งที่ไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีกคือ

หากประกาศพระราชกฤษฏีกาอุทยานแห่งชาติทับลาน ในปี 2524
ประกาศพระราชกฤษฏีกาจัดตั้งอำเภอวังน้ำเขียวในปี 2535 ซึ่งก่อนหน้านั้นอำเภอวังน้ำเขียวเป็น ตำบลซึ่งขึ้นอยู่กับ อำเภอปักธงชัยและอย่างนี้ "กระทรวงมหาดไทย" จัดตั้งหมู่บ้าน จัดตั้งอำเภอได้อย่างไร...!!!!
หากอ้างถึงพระราชกฤษฏีกา ของอุทยาน และ พระราชกฤษฏีกาการจัดตั้งอำเภอ ทั้งสองกฤษฏีกามีพระนามาภิไทยทั้งสองฉบับศักดิ์และสิทธิ์จึงน่าจะเท่าเทียมกัน (หากอ้างกฤษฏีกาการจัดตั้งอุทยาน)
และในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไม กรม และ กระทรวง ทั้งสองถึงไม่คุยกันให้รู้เรื่อง เสียก่อน ที่จะลงมาจับชาวบ้าน ซึ่งเข้ามาอยู่ในพื้นที่เพราะกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ประกาศจัดตั้งหมู่บ้านและอำเภอ...เป็นความผิดของชาวบ้านในพื้นที่ใช่ไหม...ที่เข้ามาอยู่คำถามที่ตามมา ทำไม.....กระทรวงมหาดไทย ทำนิ่งเฉย ปล่อยให้ชาวบ้านเดือนร้อนกันทั่วกับความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ...


ถ้าจะมีคนภายนอกสักหลาย ๆ คนเกิดความเข้าใจว่าคนที่เดือดร้อนที่สุด คือพวกสร้างรีสอร์ต ..ได้โปรดเข้าใจเสียใหม่ว่า...!!!!พวกเขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน แต่ไม่อดตายหอก (คือเขาก็เดือดร้อนแต่น้อยกว่าชาวบ้าน)

แต่เป็น....ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำต่างหากที่จะตาย.....เขาไม่ได้ทำการเกษตร ไม่ได้หาเช้ากินค่ำ แต่เขามีรีสอร์ตเป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่เสียหาย แต่เพราะมีรีสอร์ตในพื้นที่ ชาวบ้านถึงมีชีวิตความเป็นอยุ่ที่ดีขึ้น ในบางราย รับจ้างเป็นแม่บ้าน เป็นพ่อครัว เป็นคนทำสวน แต่ทันทีที่มีปัญหา ปัญหาการว่างงานก็เกิดขึ้น โจรก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

...แต่ที่บอกว่าเขาเดือนร้อนน้อยกว่า ก็เพราะ รีสอร์ต เป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่เน่าไม่เสีย ถ้าไม่ถูกรื้อทุบ (ถ้าคดีจบก็ต้องรื้อและทุบอย่างที่เป็นข่าว) ในขณะที่ชาวบ้านชาวบ้านที่ปลูกผัก ปลูกดอกไม้ ขายของไม่ได้ก็เน่าเสียกันไป ทุนรอนที่ลงไปก็หายไปกับผลผลิตที่ขายไม่ได้หรือเน่าเสียนั้น ส่วนพวกที่หาเช้ากินค่ำ มีลูกเมียคอยแบมือขอเงินในทุกเช้า
วันไหนพ่อและแม่ไม่ออกไปทำงานก็ไม่มีเงินมาซื้อข้าวกิน...

คนที่ไม่ได้สัมผัส ไม่คลุกคลีกับคนพวกนี้ไม่มีเข้าใจ อย่างลึกซึ้งหรอก เพราะพวกคุณคือคนที่มองแต่วงนอก...มองแล้วได้แต่เบ้ปาก
พูดมาก เขียนมาก ทำเหมือนผู้รู้มาก มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ใช่สิ...พวกคุณบางคนที่เป็นเช่นนั้นถือว่าโชคดี ทำบุญมาดีที่ไม่ต้องเกิดมามีชีวิตแบบพวกเขา ที่ปากกัดตีนถืบในทุกวันที่ยังหายใจได้อยู่!!!


คนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือ
กลุ่มใช้แรงงาน....ตั้งแต่มีข่าว ตั้งแต่หัวหน้าอุทยานถูกย้าย และตั้งแต่มีคำสั่งห้ามสร้างอะไรก็แล้วแต่ในพื้นที่ คนพวกนี้ต้องอพยบออกนอกพื้นที่ไปทำงานใช้แรงงานกันในหลายที่ บางส่วนที่ได้สัมผัส ลงไปทำงานใช้แรงงานกันที่ภาคใต้ ไปเหมือนคนตายทั้งเป็น เพื่อหวังหาเงินส่งให้ลูกให้เมียที่นี่ได้มีชีวิตรอดต่อไป และคน ๆ นั้นกลับมาเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ !!!! ในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์เพราะอะไรนะหรือ...แค่ตกจากตึกชั้นที่ยี่สิบสามเท่านั้นเอง....ความหวังนั้นกลายเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยมีจริง...สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย และอีกสองปากสองท้องจะทำอย่างไร...นี่คือสิ่งที่เป็นชีวิตจริง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่
ซึ่งคนนอกพื้นที่ไม่มีวันรู้ เพราะมัวแต่ประณานว่าเราเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่า....ทั้งที่ป่ามันไม่เคยมีอยู่จริง....มันถูกสัมปทานโดยป่าไม้เป็นคนอนุมัติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 แล้วคร้าบพี่น้อง
แล้วมันก็ไม่เคยมีการปลูกป่าโดยป่าไม้ มีแค่ภาคเอกชน และชาวบ้านที่ร่วมมือร่วมใจกันปลูกป่าขึ้นมา คนเถ้าคนแก่ที่ยังมีชีวิตอยู่
เป็นพยายานมีชีวิตที่ยังคงเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้คนรุ่นนี้ได้ฟัง รวมถึง 1 ใน 12 คนเป็นคนได้รับสัมปทานทียังมีชีวิตอยู่นั่นด้วย....


คนกลุ่มที่สองเกษตรกร...
คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มที่ปลูกพืชผัก ผลไม้ ดอกไม้ จัดเป็นกลุ่มที่ถูกตราหน้าว่า "หาประโยชน์จากพื้นที่ของรัฐ" ข้อหาหนักกว่าบุกรุก (เค้าบอกมา
)เกิดคำถามขึ้นมาว่า...งั้นพวกที่เปิดร้านขายของ ซึ่งรับผลผลิตมาขายในอำเภอก็ควรจะต้องผิดด้วยใช่ไหม...(ใช่) เพราะตลาด ร้านค้าก็รับซื้อของจากพวกที่ผลิตจากพื้นที่ของรัฐ มองง่าย ๆ ก็คือ "รับซื้อของโจร" ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วมันเป็นกฏตายตัว มีผู้ผลิต มีผู้ขาย มีผู้ซื้อ หมุนกันไปเป็นวงกลม หากจะผิดก็ต้องจับกันทั้งระบบนั่นล่ะ

และกลุ่มเกษตรกรเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมื่อครั้งที่ วังน้ำเขียวขึ้นข่าวหน้าหนึ่งบ่อย ๆ พวกพืชผัก จะกระทบมากที่สุด เพราะไม่ทันตั้งรับกับกระแสสังคมที่เกิดขึ้น การเสพข่าวด้านเดียว เสนอข่าวด้านเดียวของสือ ทำให้คนบางประเภทเกิดอาการต่อต้านถึงขั้นรณรงค์ไม่ให้มาเที่ยว (ช่างคิดได้ วังน้ำเขียวไม่ใช่พื้นที่เดียวที่มีปัญหาแบบนี้โว้ยยย) ประณามหยามหมิ่นคนวังน้ำเขียววว่าเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่าทั้งที่ไม่เคยรับรู้ความจริงเลยว่า สิ่งทีเกิดขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้าเหา โครตพ่อโตรตแม่มันเกิดอะไรขึ้นมาก่อน พอฟังข่าวก็ประนามกันสนุกปาก...ใช่ครัาบพี่น้อง พ่อแม่ญาติติโกโหติกาท่านไม่ได้เกิดที่นี่ ไม่ได้มีชีวิต มีลมหายใจที่นี่ ไม่ได้ใช้แผ่นดินที่นี่กลบหน้า ...แต่สักวันหนึ่งล่ะถ้ามันเกิดกับตัวท่าน ๆ จะย้อนคิดว่า สิ่งทีคนวังน้ำเขียวถูกประณามราวกับเป็นฆาตกรฆ่าคนตายทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย รู้สึกอย่างไร

ส่วนพวกแม่ค้าที่ตลาดใหญ่ ไม่รับพืชผักจากวังน้ำเขียวด้วยกระแสของสื่อที่ประโคมข่าวกันอย่างสนุกสนานมือในการนั่งเทียนเขียนและถือว่ามีมีไมค์ในมือยัดใส่ปากพูดได้หมด....พูดให้ประหนึ่งคนวังน้ำเขียวเป็นพวกบ่อนทำลายชาติ (ทั้งที่พวกบ่อนทำลายชาติตัวจริงเสียงจริงมันตายห่ากันสักคนไหม เปล่าเลยมันลอยหน้าลอยตาอยู่กันเต็มประเทศ) แต่ไม่เคยพูดถึงโจรในชุดสีเขียวที่บุกเข้ามาราวกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง....

ถ้ากรมป่าไม้และอุทยานจะอ้างถึง พรบ.ปี 24 กันจริง ๆ ถามจริงเหอะ มติ ครม. ปี 41 ที่ทำการสำรวจแนวเขตใหม่มีผู้เซ็นชื่อรับรองตั้งแต่ผู้ว่า ยันป่าไม้ ยันอธิบดี เจ้าหน้าที่อำเภอ รวมถึงมีสำรวจลงเดินพื้นที่ในปี 2543 ร่วมกับชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้าน งบประมาณหลายสิบล้านทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ว่าอุทยานรู้ตัวว่า "ผิด" ที่ทำการประกาศพื้นที่ทับที่อยู่ของชาวบ้าน....(คิดได้เลยว่ามันมีวาระซ้อนเร้นอีกมากในพื้นที่) และพอวัดแนวเขตเสร็จทางอุทยานก็ปล่อยทิ้งไว้จนกระทั้งมาถึงปีที่แล้ว ถูกเซ้นกริ๊กเดียวยกเลิกโดยรัฐมนตรีขี้ตั้วคนหนึ่ง....(มึงผลาญภาษีประชาชนได้สุด ๆ มากนรกจะกินกะบาลเข้าสักวัน)

เหมือนกรมป่าไม้ กับ กรมอุทยาน กำลังเดินถอยหลังเข้าคลอง ทำนอง...เอา...ไดโนเสาร์ขึ้นนั่งเก้าอี้ ....บ้านเมืองมันสร้าง มันผลาญงบ มันมีทุกอย่างอยู่ในพื้นที่แล้ว แต่ทั้งสองกรม บอกว่า จะใช้แผนที่ปี 24 ...เข้าจับกุม ข้อหาบุกรุกฯ แล้วถามจริง ๆ เหอะว่า ด่านป่าไม้ในพื้นที่มีกี่ด่าน ????? บ้านเมือง ไฟฟ้า ประปา มันไม่ได้สร้างกันในสองวันเสร็จ นะท่าน...ถ้ามันจะผิดก็ควรจะบอกกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...

แล้วเราก็จะได้คำตอบจากทาง สองกรมมาว่า...."คนของข้าพเจ้าไม่พอ"

อืม....แม่งตอบกันได้แบบโง่ ๆ มาก คนไม่พอ แต่คนของพวกท่าน วิ่งเข้าวิ่งออก มาตลาด คนของพวกท่านพิการ หรือถึงมองไม่เห็นว่าบ้านเมืองกำลังสร้าง รัฐบาลรณรงค์ให้เกิดการท่องเที่ยว ได้รับงบประมาณให้สร้างถนน มีไฟทาง มีปะปา มีโทรศัพท์ มี3G ทุกอย่างมาถึงตรงจุดนี้แล้ว พวกท่านคิดได้ยังไงว่าจะย้อนกลับไป เป็นถนนดินแดง เต็มไปด้วยฝุ่น ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ...คิดได้ยังไงกัน...

แล้วท่านคิดได้ยังไงกันว่า จะสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง....ในขณะที่จะทุบรีสอร์ตบ้านพัก เพื่อกลับไปเป็นป่า....!!!!

เอาแค่ว่าปีหนึ่งปีหนึ่ง ท่านดูแลรักษาป่า ไม่ให้คนตัด ให้ดีก่อนดีกว่าไหม...
ดูแลให้เจ้าหน้าที่เองไม่ทำตัวเป็นทากคอยดูเลือดดูเนื้อทรัพยากรให้ดีก่อนดีกว่าไหม...
เมื่อก่อนนี้ ตรงที่อยู่เนี่ย ไฟป่าลงทุกปี ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่อุทยาน หรือป่าไม้เข้ามาช่วยดับไฟ
มีแต่ชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟ...ท่านสั่งสอนลูกน้องท่านให้ทำหน้าที่ให้ดีให้สมกับเป็น "ป่าไม้" ก่อนดีกว่าไหม...


ก่อนที่ท่านจะมานั่งสั่งบนโต๊ะในห้องแอร์เย็น ๆ มองแผนทีแล้วชี้ว่ามันผิด ท่านเคยแหกหูแหกตาดูไหมว่า พื้นที่ตรงนี้
เป็นอะไรมาก่อน

...พ่อของแผ่นดินให้พระบรมราชโชวาทกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้อ่านแล้วจับใจมากมาย ว่า...
"....เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน
แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง..."

และ

"...การปลูกป่าไม่ควรนำเอาที่ดินที่ราษฏรอาศัยอยู่แล้วมาปลูกป่าควรนำไป
ปลูกในพื้นที่ ที่เป็นป่าเสื่อมโทรมและควรปลูกต้นไม้หลากหลายพันธ์...."

แต่มีป่าไม้สักกี่คนล่ะที่ทำได้อย่างที่ "พ่อ" พูด...


แต่สำหรับคนวังน้ำเขียว....คนภายนอกเคยรู้ไหมว่า...ป่าไม้ที่ถูกสัมปทานไป ใครเป็นคนให้สัมปทาน...และเคยรู้บ้างไหมว่า ผืนป่าเขาแผงม้านั่น ป่าไม้ หรือ ชาวบ้านและภาคเอกชนใครเป็นปลูกป่า...

ถ้าท่านทำได้ คงไม่ต้องเดือดร้อนย้ายลูกเมียหนี เพราะระแวงว่าจะมีคนไปทำอะไรหรอกท่าน...คนวังน้ำเขียวไม่ใช่คนใจร้าย...
ถ้าไม่โดนกระทำก่อนจนทนไม่ไหวก็คงไม่มีใครนึกอยากมานั่งเฝ้าถนน 304 เปิดเป็น hotel 304 (ถึงทำแล้วรัฐบาลมันก็เอาตาเขเก ๆ ไปมองทางอื่น แล้วจะเลือกมันเข้าไปเป็นรัฐบาลทำไมว่ะ...)ถึงสองวันหรอก ถึงจะมีสื่อออกไปว่าได้รับตังค์ค่าจ้าง แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ตรูก็ยังไม่ได้ตังค์สักบาทเดียว น้ำมันก็ออกเอง อะไรเอง นักข่าวก็พยายามเหลือเกินที่จะยัดไมค์ใส่ปากชาวบ้านถามว่าได้เงินไหม คำตอบที่ได้ไป คือไม่ได้มาด้วยใจ แต่คำตอบนั้นไปถูก"บิดเบือน"ในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่า...ถูกจ้าง...


อีกประการหนึ่ง ท่านผู้นำประเทศทั้งหลาย ....หากพวกท่านคิดจะเล่นเกมการเมืองกัน กรุณาเถิดอย่าได้ดึงประชาชน เข้าไปร่วมเกมของท่านเลยเพราะมันแสดงขาดสักยภาพการเป็นผู้นำที่ถดถอยลงคลอง เข้าไปในยุคไดโนเสาร์เข้าทุกที จะกินจะฮั๋วจะทำอะไร เมิงทำไป แต่ของร้องว่าเมิงช่วยประชาชนอย่างที่ควรทำหน่อยได้ไหม ทำหน้าที่คนที่"ถูกเลือก" หน่อยได้ไหม....อย่าให้คนที่เลือกพวกท่านเข้าไปเกิดเสียดาย เสียความรู้สึกมากไปกว่าที่เป็นตอนนี้เลย

"อำนาจพอมีแล้ว ก็ทำให้คนบางคนลืมตัว...ลืมว่าตัวมีหน้าที่ต้องทำอะไร...และบางครั้งยังทำให้ลืมตัวตนตัวเองไปเลย ใส่หน้ากากจนเคย จนลืมไปว่าหัวโขนก็คือหัวโขน พอถอดหัวโขนออกมา ท่านก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าแผ่นดินไม่กี่ตารางเมตร ยามท่านตายก็เท่านั้น เอาอะไรไปได้หรือเปล่า...ในเมื่อมีโอกาสที่ประชาชนหยิบยื่นให้เข้าไปเป็นปากเป็นเสียง ก็ช่วยยยยยยยยยทำหน้าที่ ให้มีชื่อจารลึกไว้ในทางที่ดีงามให้คนจดจำท่านได้ดีกว่าไหม.... หรือท่านอยากจะดังเพียงแค่ข้ามปีแล้วตายไปโดยถูกประมาณลืมเลือนกับวันเวลา...ไปเลือกเอาเหอะท่านผู้มีอำนาจในมือทั้งหลาย"

อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้เลย

...ป่าไม้จ้าง ลูกจ้างป่าไม้นอกเวลาทำงานให้มาทุบ ริ้อ "ศาลเจ้านาจา"
เรื่องนี้ก็มีวาระซ่อนเร้น คือ เจ้าของที่ (เรียกว่านายเอ) แล้วกัน อนุญาตให้ นายบี เข้ามาอยู่อาศัย ทำศาลเจ้า เมื่อปี 41 โดยศาลเจ้านี้
เกิดขึ้นจากการร่วมมือร่วมใจ แรงศรัทธา ลงเงินกันสร้างขึ้นมา แต่วันหนึ่ง นายเอ เกิดอยากได้ที่คืน เพราะกลัว นายบีจะฮุบที่ไป
(คาดว่า) พอเห็นวังน้ำเขียวมีกรณีการรื้อทุบ โดยป่าไม้ เขาก็เลยอาศัยมือป่าไม้เข้ามาให้ช่วยรื้อทุบ ไล่ให้ด้วย ประจวบกับ
ป่าไม้ชุดเข้ารื้อถอนบ้านกุลลวณิชย์คงกลัวจะโดนหักคอตาย (คาดว่านะ) เลยไม่มีใครกล้าเข้าทุบรื้อ

จนกระทั่งวันนี้ ....มีชุดปฏิบัติการ ที่อ้างว่า ได้รับมอบหมายจาก นายเอ เจ้าของที่ สั่งให้เข้ามาจัดการรื้อทุบ โดยที่นายบี ไม่อยู่
ในศาลเจ้า พวกที่เข้ามาอ้างเพียงคำพูด ไม่มีเอกสารยืนยัน ไม่มีอะไรสักอย่าง..มีแต่บอกว่าให้คุยกับหัวหน้าผม...(ซึ่งก็ไม่รู้เป็นใครแต่มารู้ที่หลังว่าเป็นหัวหน้าป่าไม้ซึ่งนักข่าวตามติดอยู่ตลอดเวลา) เค้าทุบรื้อเสร็จไปหนึ่งหลัง มีคนเข้ามาดูในพื้นที่ ประมาณ 7 คน

แน่นอนว่า คนต้องไปดู เพราะเป็นศาลเจ้า เป็นที่สักการะของคนในหมู่บ้าน และบ้านข้างเคียง ไม่แปลกหรอกที่จะไปดู และไม่ได้ไปขัดขวางด้วยยืนดูกันเฉย ๆ นี่แหละ และเจ้าของที่ก็ไปแจ้งความหลังได้รับโทรศัพท์ว่ามีคนเข้ามารื้อศาลเจ้า ตำรวจมาถึงก็โทรคุยกันกับห้วหน้า(ที่อ้างสักพัก)

ไม่นานเลย ...หัวหน้าป่าไม้ทับลานวิ่งรถเข้ามาพร้อมนักข่าว อืมมม....ไหนคุณบอกว่า เป็นการจ้างรื้อระหว่าง นายเอ กับ นายบี แล้ว หัวหน้าป่าไม้มาเกี่ยวอะไรด้วย (ถึงเขาจะจ้างลูกจ้างป่าไม้ก็จริงแต่มันนอกเวลาทำงานนะคร้าบ ) แล้วมันทำให้น่าคิดไหมล่ะว่าในพื้นที่นี้มีวาระซ้อนเร้นอะไรแอบแฝงอยู่

ถ้ามันเป็นอย่างที่หัวหน้าป่าไม้บอกว่าไม่เกี่ยวกับเขา ไม่เกี่ยวกับป่าไม้ทับลาน ...แล้วคุณมาทำไม...ในเมื่อคนที่มาดู มีแค่สิบกว่าคน แล้วก็ยืนดูพร้อมตั้งคำถาม ถามหาเอกสารในการเข้ารื้อถอน แต่มันไม่มี....เพราะคำพูดว่าคดีจบแล้ว...(เออกรูเข้าใจ กรูถึงไม่ได้ขัดขวางกันไง)

แต่ที่คนเข้าไปดูและตั้งคำถามคือ ...เมิงให้เวลาเข้าขนย้าย หาที่สร้างศาลเจ้าหน่อยได้ไหมว่ะ...(แล้วมึงจ้างป่าไม้รื้อเนี่ยมึงคิดว่าจะได้พื้นที่คืนใช่ป่ะหรือมึงนายเอไปตกลงอะไรกันไวเหรอถึงได้รีบขนาดนี้) เป็นคำถามที่ทุกคนในที่นั้นถามกัน

แล้วไอ้ที่น่าขำ คือ พวกรับจ้างรื้ออ่ะหยุดรื้อไป ตั้งแต่ชาวบ้านมาได้สิบกว่าคน ไปนั่งกินข้าว แต่พอ หัวหน้าป่าไม้มา พร้อมนักข่าว เขาก็จัดฉากโดยการเรียกไอ้พวกที่นั่งกินข้าวนั่นล่ะ ให้รีบไปรื้อ ไปทุบ โชว์หน้ากล้อง (เอออ เมิงทำเหมือนทุกครั้งที่เมิงทำนั่นล่ะกรูปลงแล้ว)

สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้มันรื้อไป...แต่ถ้ากลับไปใครจะตาย หรือรถจะตกเขาทราย ก็ไม่รู้ตัวใครตัวมันเหอะ...(อันนี้ชาวบ้านตรงนั้นเค้าตะโกนออกมา)


เหนื่อย!!!!!
มาก!!!!!


ที่ต้องมาตกอยู่ในภาวะหวาดระแวงอย่างนี้ กลัวว่า นั่ง ๆ นอน ๆ ทำงานอยู่ในบ้านแล้วพวกนี้จะบุกเข้ามาเหมือนที่ทำ
กลางคืนก็ปิดตาไม่สนิท เพราะไม่รู้ว่า พวกนั้นจะบุกเข้ามาเหมือนที่ทำกับสองรีสอร์ตไหม ...
และที่สำคัญคือ...จะโดนทำร้ายร่างกายเหมือนที่คนเฝ้ารีสอร์ตนั่นโดนหรือเปล่า....
ตกลงนี่คือคนไทยกับคนไทยใช่ไหมที่ทำร้ายกันเอง....

คิดวนไปวนมาจนเครียดอีกรอบ......
เข้าใจว่า คงไม่ใช่นัทคนเดียวที่ประสาทกินแบบนี้ ชาวบ้านในพื้นที่เองก็รู้สึกประสาทกินไม่ต่างกัน

หมอ รพ.เองก็ยังยอมรับว่า ตอนนี้ชาวบ้านเป็นโรค เครียด กันเยอะ ต้องไปหาหมอขอยากินกันก็มาก

เพราะปัญหา
ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งมันเป็น "ปลายเหตุ" ที่ ทั้งสอง "กรม" มาแก้กันที่ตรงนี้
ตรงชาวบ้าน "ยัดเหยียด" ความผิดเต็มตีนให้ชาวบ้านทังหมด...แต่ความผิดของตัวเองที่ละเลยหน้าที่กลับไม่ถูกพูดถึง
ก็คงจริงอย่างที่เค้าว่า "ความชั่วของตัวเองใครจะพูด"


มาถึงตรงนี้แล้ว ทำไมแต่ละฝ่ายไม่นั่งจับเข่าคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับพื้นที่ ๆ พัฒนาแล้วอย่างนี้ ...บ้านเมืองสร้างมาจนถึงขนาดนี้แล้ว
รัฐบาบสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ได้ขนาดนี้แล้ว...แต่ ป่าไม้ และอุทยาน...พร้อมที่จะเข้ารื้อ ทุบ ทำลาย จับกุม...


ถ้าต้องการทำเช่นนั้นก็อย่าทำแบบสองมาตรฐานเลย เพราะหากพวกท่านอ้าง ปี 24 ท่านก็คงต้องจับรื้อทุบ บ้านเรือน ทั้งห้าตำบล ของ
อำเภอวังน้ำเขียว ไม่เว้นแม้ที่ว่าการอำเภอ อบต. สถานีตำรวจ และโรงพยาบาล....ท่านต้องจับให้หมดไม่ใช่เลือกปฏิบัติจับเป็นตัวอย่างเช่นที่กำลังทำ....
ซึ่งการทำอย่างนี้มันไม่ได้ให้ผลดีกับใครทั้งนั้น...ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มานั่งคุยกันเรื่องพื้นที่วังน้ำเขียว ...แต่กลับเป็นพวกไดโนฯ เข้าจับรื้อทุบทำลายอย่างเดียว....แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ท่านจะเอาประชาชนวังน้ำเขียวทั้งหมดไปไว้ที่เขมรหรือไง....

และรัฐบาลก็ควรออกมาแก้ปัญหานี้ได้แล้วไม่ใช่มัวแต่นั่งแต่งหน้าแต่งตัวสวยอยู่ในทำเนียบไปวัน ๆ จะรอจนป่าไม้ กับประชาชนยิงกันตายใช่หรือเปล่าท่านถึงจะออกมา....!!!!!

ปล.1 ไข่ที่ได้กินฟรีทุกเดือน ได้รับบริจาคจากซีพีน่ะ..ทำให้ซีพีรอดไม่โดนจับใช่ไหม...
ปล. 2 แล้วถ้าเหตุการณ์แบบนี้ไปเกิดในพื้นที่ของเชียงใหม่ ...คุณปูนิ่มจะลุกขึ้นมาทำอะไรไหม....หือ....
ปล.3 ถ้ามีรัฐบาลแบบนี้แล้วตอบคำถามประชาชน ซึ่งยื่นหนังสือเรื่องวังน้ำเขียวไปทุกกรมทุกอง ทุกที่ แล้วยังเงียบ ไม่ได้ จะเป็นรัฐบาลไปทำไม รัฐมนตรีต่าง ๆ พากันเงียบเมื่อพูดถึงประเด็นวังน้ำเขียว...มันเพราะอะไร...รัฐบาลควรมีคำตอบอที่แน่ชัดออกมาได้แล้ว หรือจะรอให้ป่าไม้ยิงประชาชนได้ถึงจะออกมาแก้หน้ากัน หือ....!!!!






Create Date : 07 มกราคม 2555
Last Update : 9 มกราคม 2555 11:11:13 น. 13 comments
Counter : 1190 Pageviews.

 
อ่านดีๆ แล้วจะพบว่าสิ่งที่เขียนขัดแย้งกันเอง

แล้วที่แน่ๆคือเรื่องพระราชกฤษฎีกา ที่มีศักดิ์เท่ากัน

ถ้าอ่านหนังหนังสือกฎหมายก่อนจะไม่เขียนแบบนี้ออกมานะ


โดย: เหนื่อยใจ IP: 58.11.113.215 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:15:27:27 น.  

 
อ่านแล้วก็น่าเห็นใจ แต่ถ้าเห็นด้วยป่าคงหมด อยากถามว่าตอนครอบครองโดยไม่ผ่านสำนักงานที่ดิน มันไม่ผิดปกติหรือ ?


โดย: รามโรม IP: 223.207.228.239 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:17:55:05 น.  

 
เห็นใจมาก และมั่นใจว่าคนจำนวนมากคงไม่เข้าใจ นัทต้องเหนื่อยแน่ๆ อยู่แล้ว แต่อย่าท้อเพราะความไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยของคนอื่น

ปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยมานานแล้ว และการแก้ปัญหาของสังคมไทยเราเป็นแบบ "ขอไปที" เป็นส่วนใหญ่ พอเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย คนใหม่ก็ลุกขึ้นมารื้อรอยปุปะที่คนเก่า "แก้" เอาไว้ เป็นแบบนี้มาหลายรอบหลายที่เต็มที

คนส่วนใหญ่ไม่ได้มานั่งสนใจหรือเรียนรู้ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ของสังคม

คนส่วนใหญ่ไม่ใช่เขาหวังร้าย เขาก็เป็นคนดี หวังดีต่อสังคม แต่คนส่วนใหญ่อีกนั่นแหละ ตัดสินข้อมูลที่ตัวเองรับ ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตัวเอง หลายครั้ง ก็เป็นการมองแง่มุมเดียว และขาดความพยายามที่จะเข้าใจภาพรวมทั้งหมด

เราคิดว่านัทแจงประเด็นไว้ครอบคลุมแล้ว แต่คนอ่านน้อยคนนักที่จะตั้งใจอ่านทุกย่อหน้า อย่าแปลกใจ และอย่าท้อ ถ้าเราได้เขียนตรงนั้นไว้แล้ว แต่คนอ่านไม่เห็น ไม่สนใจ

เรื่องวิธีการแก้ปัญหาของภาครัฐ ส่วนตัวไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคนที่เคยทำงานเกี่ยวข้องกับชุมชน จะคุ้นเคยกับลักษณะการทำงานแบบนี้ของภาครัฐ (คุ้นมานาน) แต่ที่ส่วนตัวผิดหวังคือกับสื่อ

รู้สึกไปเองหรือเปล่า เมื่อก่อนเคยมีคนวิชาชีพสื่อที่สนใจความเป็นจริงในพื้นที่ สนใจไปคุยกับชาวบ้านแบบเจาะลึก บางคนไปร่วมกินนอนกับชาวบ้านในพื้นที่เดือดร้อน และกล้าที่จะนำเสนอความเป็นจริงในพื้นที่

ทำไมรู้สึกว่าในยุคสิบปีให้หลังมานี่ ได้เห็นได้ยินตรงนี้น้อยจัง หรือสังคมมันเปลี่ยนไปมากแล้ว หรือเราตามไม่ทัน?

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำถูกหรือผิด ที่เอาลิ้งก์นี้ไปเผยแพร่ ที่คิดคือแค่ว่า ถ้าสื่อบอกเล่าไม่ครบ คนในสังคมไทยควรมีโอกาสรับฟังข้อเท็จจริงในแง่มุมอื่นๆ ที่ต่างไปจากสื่อกระแสหลักด้วย จะได้ไม่กลายเป็นฟังความข้างเดียว

แต่เราก็ลืมนึกไปว่า การ "ได้ยิน" กับการ "ตั้งใจฟัง" มันไม่เหมือนกัน

ถึงตอนนี้ เราก็หวังแค่ว่า จะยังมีคน "ตั้งใจฟัง" อยู่บ้าง (หวังไว้ก่อน จะผิดหวังหรือเปล่าไว้ค่อยว่ากันอีกที)

เพราะประเด็นหลายอย่างในสังคมไทยมันมีหลายแง่มุม ยิ่งมีคนมองเห็นแง่มุมหลากหลายเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อสังคมไทยมากขึ้นเท่านั้น


โดย: คุณพีทคุง (พิธันดร ) วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:21:01:39 น.  

 
ขอบคุณนะ้เฮียที่อ่าน "อย่างตั้งใจ" เพราะถ้ามันไม่ถึงที่สุดแล้วมันคงเขียนออกมาไม่ได้ขนาดนี้
ตอนเอาลงบล็อคก็คิดแล้วว่า จะต้องโดนแบบที่โดน เพราะเคยมีคนบอกว่าให้เอาไปลงที่ พันทิพฯ
แต่ที่ไม่เข้าไปเพราะมีพวกที่ไม่เข้าใจอยู่เยอะมากก พูดจนเรากลายเป็น "ฆาตกร" ไปเลย...เหอะๆๆๆ

เรื่องกฏหมายอ่ะนัทก็ไม่เข้าใจหรอกนะ..(เพราะไม่ได้จบกฏหมายไม่ได้เรียนและไม่ได้เป็นทนาย เป็นแค่คนเขียนหนังสือและคนปลูกดอกไม้) สิ่งที่เขียนคือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจาก งานประชุม เวทีที่เข้าร่วม ที่มาจากคนหลาย ๆ คนระดมความคิดมาคุยกัน
ได้ยินจากชาวบ้านที่ตะโกนด่าสื่อ และรัฐบาล รวมถึงมาจากแรงงานในหมู่บ้านที่ต้องไปงานศพเขา
เพราะต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่แล้วเหลือแค่่ร่างไร้ลมหายใจกลับมา....
ซึ่งคนที่ "ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ได้ประสบกับตัวเอง" ไม่มีทางเข้าใจ
อาจจะเขียนวนไปวนมาบ้าง นั่นก็เพราะ เขียนมาจากความรู้สึกข้างใน
ที่ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว....ได้แค่นั่งรอวันเข้าจับของพวกนั้น...
ไม่ได้ว่าที่จะมาจับ...เพียงแต่ "หวาดกลัว" "คลางแคลง" การกระทำของพวกเขา
เข้าใจว่าลูกน้องทำตามนายสั่ง...แต่บางครั้งการกระทำมันก็เกินไป

อย่างคนข้างบนที่บอกว่า "ถ้าเห็นด้วยป่าคงหมด" แล้วไอ้ป่าที่หมดคุณรู้บ้างไหมว่าเกิดจากอะไร
กลับไปอ่านดีๆ แล้วคุณจะรู้ว่าป่าหายไปไหน...
ถ้าถามว่า "ครอบครองโดยไม่ผ่านสำนักงานที่ดิน" คุณคงไม่เคยเจอกรณีแบบนี้ เพราะการมีที่ดินใน
ครอบครองบางครั้งก็ไม่ต้องผ่านสำนักงานที่ดินหรอก ..และกรณีนี้ก็ไม่ใช่เกิดขึ้นที่นี่เพียงที่เดียว
หากคุณติดตามข่าวของพื้นที่ ๆ มีปัญหาแบบวังน้ำเขียวคุณจะรู้ว่า คำถามของคุณ...ซื่อมากมาย
(ไม่ได้ว่า เพราะแต่ก่อนนัทก็คิดว่าการมีที่ดินต้องผ่านที่ดินเท่านั้น)
ถึงได้บอกไงว่า ไม่ใช่คนพื้นที่ไม่มีวันเข้าใจ...ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องที่ดินมากมายเกินกว่าจะมี
แค่สำนักงานที่ดิน....
ถึงบอกไงว่า...คนอื่นเค้าโชคดีที่ รางวัลที่หนึ่งเรื่องที่ดิน ไม่ได้ไปตกที่พวกเขาบ้าง...เพราะหากเกิดเหตุการณ์
แบบนี้กับพวกเขาบ้าง เขาจะเข้าใจว่าความรู้สึกหมดหวัง ท้อแท้ หาทางออกไม่ได้แล้ว ในตอนที่เขียนบทความบทนี้ขึ้นมา...
เพราะมันสะสมมาตั้งแต่ข่าววังน้ำเขียวดังขึ้นมาแล้ว...!!!!

นาทีนี้แล้วถึงจะท้อแท้ ไม่อยากทำอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ยังต้องลุกขึ้นมาทำมาจัดการ
เพราะ ลูกบ้าน...ที่อยู่ ที่โดนด้วยกันจะทำยังไงถ้าเราซึ่งเป็นผู้นำเค้าท้อแท้ขึ้นมาเสียก่อน
ก็ได้แค่บ่น ระบายความรู้สึก และอยากให้ได้รู้ก็แค่นั้น....

เพราะเพื่อนบางคน...มันชอบถามว่า "เฮ้ยบ้านถูกทุบหรือยัง"...
มันอาจจะฟังดูขำ ๆ สำหรับคนที่ไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ปัญหามันหาทางออกไม่ได้ฟังคำถามนี้
แทบอยากจะทุบเพื่อนทิ้งไปเลย... บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อเพื่อนพวกนี้ด้วย...

ที่เขียนขึ้นมาไม่ได้ต้องการให้เห็นด้วย ...หรือคล้อยตาม แค่อยากเสนออีกแง่มุมหนึ่งให้
ได้อ่านได้รับรู้ ไม่ได้รู้กฏหมาย ไม่ได้เก่งอะไรมาย แค่เขียนตามความรู้สึก และคำพูดที่ได้ยินเท่านั้น!!!!
หากใครอ่านแล้วไม่พอใจก็แล้วแต่ท่าน...
ใครอ่านแล้วจะจับผิดอะไรก็แล้วแต่ท่าน...
หรือใครอ่านแล้วจะ "รณรงค์" ต่อต้านวังน้ำเขียวก็ตามใจท่าน...

เพราไม่ว่าท่านจะรู้สึกอะไรก็ตาม...คนเขียนก็เข้าใจ เพราะคนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่..ก็เป็นธรรมดา
ที่จะรู้สึกร้อย พัน ความคิด....และวังน้ำเขียวก็ไม่ได้จบเพียงเพราะพวกท่าน "ไม่พอใจ" จับผิด" "หรือต่อต้าน"
มันก็แค่ความรู้สึกของคนที่อยู่ที่นี่มาเพียงแค่สิบปี...แต่รู้สึกรักที่นี่ และคิดว่าจะใช้แผ่นดินที่นี่กลบหน้าก็แค่นั้น

และที่สำคัญ....
แค่อยากให้เข้าใจเสียใหม่ว่า..."เราไม่ใช่พวกตัดไม้ทำลายป่า พื้นที่ ๆ ที่เข้าอยู่อาศัยกันตั้งแต่สมัยโครตพ่อโครตแม่ของคนท้องถิ่น
ก็ไม่ได้หักล้างถางพง แต่มันเป็นเพราะที่นี่ถูก "สัมปทาน" โว้ยยยยยย"


โดย: เปียร์รุส วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:21:41:48 น.  

 
มันน่าจะมีข้อตกลงใหม่ที่ทำให้รัฐและชาวบ้านอยู่่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข(ดูเป็นอุดมคติเกินไปไหม)

ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการไล่รื้อ ถอนทุบ รู้สึกว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไงๆมันก็เกิดแล้ว แต่ละฝ่ายน่าจะนั่งคุยกันแบบเปิดใจกว้างๆประนีประนอม มองหลายแง่หลายมุม เอาใจเขามาใส่ใจเรา

จากที่เคยไปวังน้ำเขียวมา เห็นมีนักท่องเที่ยวต่างชาิติมากันเยอะ ก็น่าจะมีรายได้เข้าประเทศทางนี้(นี่พูดถึงในกรณีที่เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านทับซ้อนกับพื้นที่ป่ามานาน เกิดมาแล้วเป็นหลายสิบปี ไม่ได้สนับสนุนให้เอาพื้นที่ป่ามาทำประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวหมดนะคะ)

ชาวบ้านก็มีรายได้มีงานทำ ทางป่าไม้ก็จะหมดกังวลกับปัญาหาเรื้อรังเนิ่นนานจะได้มีเวลาไปดูแลป่าที่ยังไม่มีปัญหา ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกก็มีบทเรียนมาแล้วนี่

เราก็จะได้ก้าวไปข้างหน้าได้เสียที ไม่ใช่ก้าวขาข้างหนึ่งไป แต่อีกข้างยังถูกสิ่งรกๆเรื้อๆรั้งไว้อยู่

อ้อ...ข้อตกลงใหม่ๆเนี่ยก็ไม่ควรเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษด้วยนะคะ

แต่ก็นะ...นกนั่งพิมพ์ นั่งพูด เนี่ยมันง่าย ทำจริงๆมันยังมีเงื่อนไข วาระซ่อนเร้นอีกหลายอย่าง ก็เป็นห่วงนะอย่างที่คุยกันนั่นแหละ


โดย: นกค่ะ IP: 110.49.248.8 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:22:48:40 น.  

 
ขออนุญาตยกมือถาม ขอความรู้จากคุณเหนื่อยใจนะคะ (ไม่รู้จะออกนอกเรื่องไปไหม)

ที่คุณเหนื่อยใจบอกว่า "พระราชกฤษฎีกา ที่มีศักดิ์เท่ากัน"

...คือหมายความว่าพระราชกฤษฏีกาอุทยานแห่งชาติทับลาน ในปี 2524 และ
พระราชกฤษฏีกาจัดตั้งอำเภอวังน้ำเขียวในปี 2535 ไม่ได้มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน เพราะ ทั้งสองฉบับออกโดยอาศัยอำนาจที่ต่างกันหรือเปล่าคะ

จากที่สงสัยแล้วไปค้นมา พบว่า พระราชกฤษฏีกามี ๒ ประเภท
๑.ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ

๒.ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ

แล้วพระราชกฤษฏีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญจะมีศักดิ์สูงกว่าหรือเปล่าคะ (นี่คิดมั่วๆเองจากการที่รธน.เป็นกฎหมายสูงสุด)

แล้วพระราชกฤษฏีกา ๒ ฉบับข้างต้น (พระราชกฤษฎีอุทยานแห่งชาติทับลาน ในปี 2524 และ
พระราชกฤษฏีกาจัดตั้งอำเภอวังน้ำเขียวในปี 2535)เป็นประเภทไหนบ้างคะ

มีความรู้เรื่องกฎหมายน้อยมาก หากเข้ามาอีกรอบรบกวนคุณเหนื่อยใจช่วยตอบหน่อยนะคะ หรือช่วยลงlink ให้ไปตามอ่านก็ได้ค่ะ ไปค้นในกูเกิลมันเยอะมาก (อาจใช้keyword ผิดก็ได้)


โดย: นกค่ะ IP: 110.49.248.8 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:23:22:56 น.  

 
บ้านควรเป็นสถานที่ที่รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดในโลก ดังนั้น การที่เราอยู่ในบ้านของเราด้วยความรู้สึกหวาดผวา เกรงว่าจะโดนทำร้าย เกรงว่าใครจะมาทำลาย คงเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายเอามากๆ

อ่านที่เขียนมาทั้งหมด เข้าใจความรู้สึกได้เป็นอย่างดีเลยครับ

พี่เองก็ไปอยู่ป่าอยู่ดอยมานาน ไม่ได้ติดตามข่าวสารทางวังน้ำเขียว เลยไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางเท่าไร

แต่ปัญหาที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขตจนถึงขั้นเหลิงอำนาจก็มีให้เห็นในทุกที่พื้นที่อยู่แล้ว เขาถึงว่า อำนาจ หากใช้เป็นก็จะเกิดประโยชน์ แต่หากใช้ไม่เป็นก็จะเกิดโทษอย่างมหันต์

แต่อย่างไรเสียเราก็เป็นคนตัวเล็ก ตะโกนเสียงดังเกินไปจะเกิดภัยกับตัว คนตัวเล็กต้องตะโกนในแบบของคนตัวเล็ก คนตัวใหญ่เขาก็ตะโกนในแบบของคนตัวใหญ่ คนตัวเล็กขืนตะโกนเกินตัว หลอดลมก็อาจพังได้ในไม่ช้า

ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา รู้จักเลือกที่จะเงียบ เลือกที่จะตะโกน

คนตัวเล็กหากเลือกใช้เสียงให้ถูกที่ถูกเวลา เสียงเล็กๆ ก็อาจดังก้องไปทั้งหุบเขาได้ฉันใด คนตัวใหญ่ ถ้าเลือกใช้เสียงไม่ถูกที่ถูกเวลา เสียงใหญ่ๆ ก็อาจดังแค่เพียงโยนเหรียญลงตุ่มได้ฉันนั้น

เราไม่ใช่ตาสีตาสา เรามีต้นทุนทางสังคม ทำอะไรต้องพิจารณาให้จงหนัก อย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล


โดย: วรบรรณ วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:12:39:16 น.  

 
เห็นด้วยกับมะระ พี่ว่าใจเย็นๆ

อยากระบายก็ระบายไป แต่ว่าหาก
บางคนอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเขา อย่าเอาความคิดคนอื่นมาเป็นอารมณ์

เอาเวลานั้นมา ค่อยๆคิดแก้ หาทางออกดีกว่ามาต่อกรกับคนไม่เข้าใจ


พี่ว่าเอาระเบิดไปปาบ้านข้างๆเลยดีกว่า พวกป่าไม้จะได้มองเห็น





โดย: พิญาดา IP: 223.205.98.45 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:20:48:57 น.  

 
ลองอ่านบทความนี้ดูนะพี่ มี 3 ตอนจบ จะได้รู้ว่าใครที่เป็นคนเลวกันแน่

//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000113973

//article.wn.com/view/WNATee374b4e62ef021a3bdc1224bf09a982/

//article.wn.com/view/WNATfde8ab8a2c587318f4b4168cd3837d10/


น่าจะถึงเวลาแล้วที่ชาววังน้ำเขียวร่วมมือกัน ขอความยุติธรรม

เป็นกำลังใจให้คร้าาาา


โดย: เจ๊หนูชาวสวน IP: 49.0.111.108 วันที่: 12 มกราคม 2555 เวลา:11:08:03 น.  

 
ขออนุญาต ส่งกลอนมาให้กำลังใจ

-Invictus-

Out of the night that covers me,
Black as the Pit from pole to pole,
I thank whatever gods may be
For my unconquerable soul.

In the fell clutch of circumstance
I have not winced nor cried aloud.
Under the bludgeonings of chance
My head is bloody, but unbowed.

Beyond this place of wrath and tears
Looms but the Horror of the shade,
And yet the menace of the years
Finds, and shall find, me unafraid.

It matters not how strait the gate,
How charged with punishments the scroll.
I am the master of my fate:
I am the captain of my soul.

-William Ernest Henley

source://www.poemhunter.com/poem/invictus/



โดย: green IP: 173.48.203.249 วันที่: 16 มกราคม 2555 เวลา:8:37:37 น.  

 
พี่อ้อย...โหดมากอ้ะ น่ากลัว...ววว....ว


โดย: od8jt IP: 110.49.250.45 วันที่: 17 มกราคม 2555 เวลา:21:55:26 น.  

 


โดย: ปลายอ้อย วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:21:34:50 น.  

 
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะมีวิธืแก้ไข แต่ไม่น่ายุบรีสอตร์ พวกคุณคิดว่าเค้าใช้เงิน แค่ บาท สองบาทสร้างเหรอ


โดย: ขาจอน IP: 180.180.101.74 วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:11:49:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เปียร์รุส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




In Rememberกองความทกข์ทับถมกองพะเนินเหมือนกองหิมะขาวโพลนตรงหน้าแต่..มันจะแตกต่างกันตรงที่ เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น กองหิมะก็จะละลายกลายเป็นน้ำไป...แต่ความทุกข์ที่เกาะกุมแนบแน่นอยู่ชิดติดเนื้อใจนั้น...วันใดถึงจะหายเจ็บปวดและ...ทรมานเสียที



:::คำเตือน:::ขอสงวนสิทธิ์ใด ๆ ตามกฎหมาย ในการทำคัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของนิยาย เรื่องสั้น ในบล็อคแห่งนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ หากผู้ใดกระทำการคัดลอกหรือนำไปโพสในเวปอื่น ๆ หรือบล็อค โดยมิได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.กฏหมายลิขสิทธิ์

:::แจ้งข่าว:::
10 ส.ค. 57 อัปฯ นิยาย

เรื่อง : ตราบเวลามิอาจกั้นรัก บทที่ 1

สวัสดีค่ะ หล้งจากห่างหายไปนานมากกกับ การเขียนนิยายในบล็อค พยายามเจียดเวลามาจัดการงานค้างในไหดองค่ะเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ คนไหนยังคงจำกันได้และแวะเวียนมาอ่าน ลงคอมเม้นให้ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจล่วงหน้าค่า... ^_^

ขอบคุณค่ะ
นัท
เปียรุส / ปรานต์ปัณฑ์
วังน้ำเขียว โคราชค่ะ




:::บอกเล่า::: ห้องที่งดการให้กุญแจ คือ

ฝากฟ้าถามดาวถึงข่าวคราวความรัก

เกลียวใจใยรัก (หัวใจที่ปลายฝัน)

ก็แค่ใครคนหนึ่งซึ่งคิดถึงเธอ

ทะเลทรายลายดาว

เรื่องสั้นขนาดยาว Season Of Love

เรื่องสั้นขนาดยาว Project Love & Kiss

ริ้วทรายใต้ตะวัน

เรื่องสั้นขนาดยาว Silver Fall's รสรักกรุ่นหัวใจ

หัวใจเพื่อรักความรักเพื่อลืม

มหรรณพแสงจันทร์

นิยายที่อยู่ในห้องที่ใส่กุญแจหาอ่านได้ตามร้านหนังสือนะคะ

ขอบคุณค่ะ

นัท...เปียรุส /ปัณณธร


รวมผลงานของเปียรุส , ปรานต์ปัณฑ์

ผลงานเดี่ยว



รวมเล่มกับนักเขียนท่านอื่น



Season Of Love

โดย ปัณณธร (เปียร์รุส)



Friends' blogs
[Add เปียร์รุส's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.