เพราะเรา...เพื่อนกัน...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 

เรื่องสั้น : ความรักที่ทดแทนไม่ได้ (ตอนจบ)

สมศรีนั่งเหม่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่มันยังแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึกตลอดเวลา เธอวางรูปนายช่างลง และค้นหารูปหนึ่งที่เธอรักนักหนา มันเป็นรูปของลูกชายในวัยเด็ก สดใส น่ารัก ไร้เดียงสา ในรูปเด็กน้อยกำลังชี้มือมาข้างหน้า และอ้าปาก คล้ายจะพูดคำว่า “แม่” เธอยิ้มทั้งน้ำตา
......................................................

2 ปีผ่านไป ลูกชายของเธอก็กลับมา เขาดูสูงขึ้นแต่ผอมลงไปมาก ผมก็ยาวขึ้น เขากลับมาคราวนี้ พูดน้อยลงจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับเธอ คนที่เขาพูดด้วยมากที่สุดคือน้องสาวคนโตของเขา นอกนั้นจะเป็นลักษณะถามคำ ตอบคำ แต่แค่นี้เธอก็ดีใจหนักหนาแล้ว ถึงแม้ลูกจะไม่พูดกับเธอเลยตลอดชีวิต แค่ได้มีลูกอยู่ใกล้ตัว ก็ทำให้เธอมีความสุดที่สุดแล้ว

แต่ดูเหมือนว่า ความสุขจะอยู่กับเธอไม่นานนัก

วันนั้น เธอได้ยินเสียงลูกชายกับนายช่างถกเถียงกันเสียงดังลั่น เธอรีบวิ่งไปดูเพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เธอรีบเข้าไปห้ามแล้วถามหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งพอสรุปได้ว่า เจ้าลูกชายไปขโมยเงินของนายช่างที่ใส่ไว้ในเสื้อเชิ้ตที่เขาถอดทิ้งไว้ เงินนี้เป็นเงินที่เขาต้องนำไปจ่ายเป็นค่าของในวันพรุ่งนี้ จำนวนเงินไม่มากมายนัก แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ นายช่างเกลียดคนขี้ขโมยมากที่สุด

เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอไม่อยากเสียลูกไปอีก ประกอบกับเธอโกรธนายช่างเสมอมากับเหตุการณ์ครั้งก่อน ทำให้เธอโดดเข้าปกป้องลูกชายเต็มที่ และต่อว่านายช่างที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นายช่างมองเธอด้วยสายตาเจ็บช้ำและร้าวราน และครั้งนี้เป็นเขาที่หุนหันออกจากบ้านไปท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

นายช่างกลับเข้าบ้านในตอนเช้าด้วยท่าทีอิดโรย และเปียกปอน มาถึงก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้านอนทันที เธอไม่ได้สนใจเข้าไปดู จนกระทั่งเย็น

“แม่ พ่อไม่สบาย แม่ไปดูพ่อหน่อย” เสียงลูกสาวคนกลางมาเรียก เธอจึงเดินเข้าไปดูในห้องที่เขานอนอยู่ เห็นเขานอนหน้าซีดอยู่บนเตียง แต่เมื่อแตะตัว ก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะตัวเขาร้อนมาก ท่าทางกระสับกระส่าย และไม่รู้สึกตัว เธอเริ่มร้อนใจ และนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลทันที ระหว่างรออยู่หน้าห้อง ICU เธอเริ่มภาวนาให้เขาหายเป็นปกติ นั่นนับเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่เธอรู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างจริงจัง
.......................................................

“หมอต้องเสียใจด้วย เชื้อไวรัสแพร่กระจายเร็วมาก และร่างกายคนไข้ก็อ่อนแอมาก หมอได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว” หมอคงพูดอะไรที่ยาวกว่านี้ แต่เธอไม่ได้ยินเสียแล้ว เธอเป็นลมล้มพับไปตั้งแต่ได้ทราบว่านายช่างได้จากเธอไปแล้ว

คงเพราะความที่เธอไม่เคยสนใจในตัวเขา และก็พอนึกได้ลาง ๆ ว่า ตั้งแต่เขาออกจากงานมา เขาเริ่มดื่มเหล้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจสุขภาพของตัวเองเหมือนเมื่อก่อน นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ร่างกายเขาอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานเชื้อโรคร้ายได้

ในงานศพนายช่าง เธอไม่ได้ร้องไห้เลยสมกับที่ได้ลั่นวาจาไว้ ไม่ใช่เพราะเธอเกลียดเขา แต่เป็นเพราะเธอไม่มีน้ำตาจะร้องแล้วต่างหาก กรมธรรม์ประกันชีวิตที่เขาทำไว้มากมายโดยระบุให้เธอกับลูก ๆ เป็นผู้รับผลประโยชน์ ทำให้เธอได้รับทราบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารักเธอมากเพียงใด แต่เธอสิ เธอไม่เคยรักเขาเลยตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ได้อยู่ร่วมกับเขามาแม้เขาจะเพียรถามหลายหน แต่เธอก็ไม่ตอบ จนท้ายที่สุดเขาก็เลิกถาม

เธอรู้สึกเจ็บจนร้าวระบบไปทั้งอก น้ำตามันคงไหลย้อนกลับไปท่วมหัวใจเสียแล้วกระมัง

เธอเริ่มกลัวกับความทุกข์ แต่คนเรามักจะเจอสิ่งที่กลัวเสมอ.....
................................................

หลังจากทำบุญเจ็ดวัน เธอกลับถึงบ้าน ลูกสาวคนโตที่เข้าไปหาพี่ชายตามปกติ ก็เดินออกมาด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง เธอรับจดหมายมาเปิดออกช้า ๆ ด้วยมืออันสั่นเทา สังหรณ์ในใจลึก ๆ บอกว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

แม่ครับ

ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้อยู่ลาแม่และน้อง ๆ เป็นเพราะผมละอายใจเกินกว่าที่จะทนพบหน้าได้ ผมนอนคิดอยู่หลายคืน จึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้ แม่จะโกรธจะเกลียดผมเพียงใดก็ได้ แต่โปรดรับรู้ไว้ว่าผมมีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนี้ มีบางเรื่องที่ผมต้องสารภาพให้แม่ได้รับรู้ไว้

หลังจากที่พ่อตาย และแม่พาผมมาอยู่กับเขา ครั้งนั้น ผมรู้สึกโกรธ รู้สึกเกลียด ที่แม่ไม่รักพ่อ พอพ่อตายไม่ทันไร แม่ก็มีผู้ชายคนใหม่ ผมแค้นใจมาก คิดอยู่ตลอดเวลาว่าแม่หักหลังพ่อ และคิดหาทางจะแก้แค้นคนที่มาแทนที่พ่อตลอดเวลา

ผมเลวมากครับ ที่ไม่เคยนึกเลยว่าการที่แม่ทำอย่างนั้น เพราะแม่รู้ดีว่าไม่สามารถเลี้ยงดูลูก 2 คนตามลำพังได้ แม่จึงต้องหาคนมาช่วยเหลือ แม้แม่จะไม่ได้รักเขาเลยก็ตาม วันที่ผมแค้นใจที่สุด ก็คือวันที่ผมทะเลาะกับเขาเป็นครั้งแรก และแม่เข้าข้างเขา วันนั้น ผมคิดว่าแม่ไม่รักผมแล้ว ที่นี่ไม่มีใครต้องการผม ผมจึงต้องหนีไปให้ไกล

มันเป็นความคิดที่โง่มาก และเพราะความโง่ครั้งนั้น แม่คงไม่รู้ว่า ผมต้องพบเรื่องอะไรบ้าง มันเลวร้ายเสียจนผมไม่อยากจะพูดถึง ผมโทษว่าเป็นความผิดของเขา และพาลโกรธแม่ที่ทำให้ชีวิตผมต้องตกต่ำอย่างนี้ หลังจากหมดเรื่องเลวร้าย ผมก็คิดได้ว่าผมต้องกลับไปแก้แค้นคนที่ทำให้ชีวิตผมย่ำแย่ลง ผมกลับบ้าน และทำตัวเหลวไหลไปเรื่อย ครั้งนี้แม่เข้าข้างผม คงเป็นเพราะแม่ไม่อยากเสียผมไปอีก แต่มันก็ทำให้ผมได้ใจ และคิดหาหนทางแก้แค้นตลอดเวลา แล้วผมก็ทำสำเร็จ

วันนั้น ผมตั้งใจขโมยเงินเขา และให้เขาจับได้ ผมแกล้งถกเถียงกับเขาเพื่อจะดูว่าแม่จะเข้าข้างใครอีก จะเป็นเหมือนครั้งก่อนไหม แล้วก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้ แม่เข้าข้างผม และทำให้เขาเจ็บปวด ผมรู้สึกสะใจอย่างมากที่ทำให้เขาเสียใจได้ แต่สิ่งที่ผมไม่เคยคิดเลยก็คือ ผมทำให้แม่และน้อง ๆ ต้องเสียใจไปด้วย

ผมมารู้ทีหลังว่าเขารักแม่มาก สิ่งที่เขาทำไว้ให้ สิ่งที่น้องเล่าให้ผมฟัง มันทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างมากมาย มากเสียจนผมไม่อาจอยู่สู้หน้าใครได้ และผมรู้สึกว่า ผมได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ผมเป็นต้นเหตุให้ผู้ชายที่ดีคนหนึ่งต้องตายไป ผมทำให้แม่เสียใจ

แม่ครับ ผมไปจากแม่เพื่อชดใช้ความผิดที่ผมทำไว้ แต่ผมสัญญาว่าผมจะไม่คิดสั้นเด็ดขาด ชีวิตของผมที่เหลือจากนี้ ผมขอชดใช้กรรมทั้งหมดที่ผมได้กระทำไป ผมคงไม่ใช่ลูกที่ดีนัก แต่ผมอยากบอกแม่ว่า ผมขอโทษ หากชาติหน้ามีจริง ผมขอมาเกิดเป็นลูกแม่อีกครั้งนะครับ

สุดท้ายนี้ พี่ขอฝากแม่ไว้กับน้อง ๆ ทุกคนด้วย

กราบแทบเท้าแม่

ลูก

.............................................

จิตรายืนอยู่ที่ประตูนี้นานแล้ว ภาพของแม่ที่นั่งอยู่ในห้องกับกองรูปเก่า ๆ และจดหมายที่ยับยู่ ด้วยผ่านการเปิดอ่านและคราบน้ำตามาไม่รู้กี่ร้อยหน ชินตาเสียจนเธอไม่สามารถก้าวล่วงเข้าไปในห้องนั้นได้ เพราะอาจรู้สึกถึงความเป็นส่วนเกินได้ดี แม่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่พี่ชายหนีออกจากบ้านไปเป็นครั้งที่ 2 จวบจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว เธอไม่รู้ว่าพี่ชายไปอยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ชายได้ชดใช้กรรมหมดหรือยัง แต่หากการทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ เสียน้ำตา นั่นคือกรรม สิ่งที่พี่ชายทำไปจะไม่กลายเป็นการเพิ่มกรรมให้ตัวเองหรอกหรือ

เธอไม่อาจปลอบประโลมใจอะไรแม่ได้ ความรักที่เธอและน้องสาวทั้ง 2 ทุ่มเทให้ มันเพียงแค่พยุงให้แม่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เธอไม่เคยคิดน้อยใจ เพราะเข้าใจดีว่าแม่บอบช้ำกับความรักมากขนาดไหน โดยเฉพาะความรักที่มีให้ลูก อ้อมแขนที่เธอกอดแม่ ความรักที่เธอทุ่มให้ ไม่ว่ามันจะมีปริมาณมากสักเท่าใด ก็ไม่สามารถทดแทนความรักและอ้อมกอดที่แม่โหยหาจากคนเพียงคนเดียวได้เลย

จิตราหันไปมองแม่อีกครั้งก่อนปิดประตูลง และหันหลังกลับเดินมาอย่างช้า ๆ ปล่อยให้แม่ได้จมอยู่กับอดีต ความรัก ความเจ็บปวดและการรอคอย ที่ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ และมันคงจะเป็นอยู่เช่นนั้นอีกนานเท่านาน....




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2549
8 comments
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2549 11:45:11 น.
Counter : 638 Pageviews.

 

อ่านแล้วเศร้าจัง

ความรู้สึกบางอย่าง บางครั้งมันก็ติดอยู่ในใจของเราไปชั่วชีวิต ทำอย่างไรก็ไม่มีวันลืม

 

โดย: Bond Man 10 พฤศจิกายน 2549 16:44:30 น.  

 

คุณทิวลิปฯคะ ขอโทษที่มาช้า เพิ่งจะเห็นหลังไมค์ค่ะ เลยรีบเข้ามาดูก่อน แต่ยังไม่มีเวลาอ่านเลย วันเสาร์อาทิตย์นี้ยุ่งจริงๆ ค่ะ ไม่อยากรีบอ่านเรื่องของคุณ ไม่ใช่ไม่อยากอ่านนะคะ อยากอ่านที่สุด และอยากอ่านอย่างเป็นนักอ่านที่ดีด้วยน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นขอเวลาเรานิดนะคะ คิดว่าพรุ่งนี้งานอาจจะซาตอนช่วงเย็นๆ หรือหัวค่ำ จะรีบเข้ามาอ่านทันทีเลยค่ะ และขอบคุณที่หลังไมค์มาบอกด้วยนะคะ

 

โดย: galdewis 12 พฤศจิกายน 2549 17:49:57 น.  

 

งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดนิดนึง เลยรีบแว่บเข้ามาอ่านต่อค่ะ ดีนะ ที่คุณทิวลิปฯ ยังไม่มา เลยทำให้เราดูไม่สายไปนะ แฮ่ะ แฮ่ะ

เป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดกับคนอ่านนะคะ อ่านจบแล้วก็รู้สึกว่า ตัวแม่ก็ยังคงทำผิดซ้ำๆ ต่อไปอีก โดยยังไม่รู้จักหยุดคิดอยู่ดี แล้วก็รู้สึกว่า บ้านนี้เขาไม่พูดอะไรให้เข้าใจกันบ้างเลยหรือไง ความไม่เข้าใจกัน มันถึงทำให้เรื่องมันบานปลายเลยเถิด ถึงขั้นโศกนาฏกรรมได้ถึงขนาดนี้

 

โดย: galdewis 12 พฤศจิกายน 2549 21:33:43 น.  

 

คุณbm เรื่องบางเรื่องก็ยากที่จะลืมเลือนจริง ๆ

 

โดย: ทิวลิปสีน้ำเงิน 13 พฤศจิกายน 2549 8:33:04 น.  

 

คุณgaldewis ยังไงก็ต้องรอคุณอยู่แล้ว ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ และก็รู้สึกดีใจมากที่คุณรับในสิ่งที่เราอยากจะสื่อได้ ต้องยอมรับว่าคุณเป็นนักอ่านตัวจริงเลยล่ะ และแสดงว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จพอสมควรทีเดียว

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสั้นในแนวเรื่องเล่าที่จะข้ามขั้นตอนรายละเอียดต่าง ๆ ไป จับแต่ประเด็นสำคัญ ยังไงจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องหน้าค่ะ(ถ้าสามารถเข็นออกมาได้นะคะ) แล้วจะส่งข่าวไปบอกค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ

 

โดย: ทิวลิปสีน้ำเงิน 13 พฤศจิกายน 2549 8:38:35 น.  

 

สบายดีนะคะคุณทิวลิป หายหน้าหายตาไปนานเลยคะ มัวแต่ออกกำลังกายแล้วก็มีเรื่องวุ่นๆเล็กน้อยช่วงนี้คะ

อ่านเรื่องแล้วเศร้าจังคะ ชีวิตคนเรามักไม่สมดุลย์อย่างนี้อ่ะคะ เรามักนึกถึงคนที่ไกลตัวเรามากกว่าคนที่ใกล้ตัวเสมอคะ เศร้า

 

โดย: Lilly (supremeking ) 13 พฤศจิกายน 2549 10:38:45 น.  

 

คุณลิลลี่ อย่าเศร้าเลย ไปออกกำลังกายกันดีกว่า

วันนี้ทิวลิปจะไปเต้น body jam สักหน่อย ลืมไปอวดคุณว่าเดี๋ยวนี้เต้นเก่งกว่าเดิมเยอะเลย แถมไม่ปวดเมื่อยแล้วด้วย พอดีช่วงนี้ยังไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการออกกำลังกายก็เลยยังไม่ได้เขียน แต่ก็แวะเข้าไปบล็อกคุณบ่อย ๆ หลายครั้งที่คอมเม้นท์แล้วเครือข่ายก็ error ซะงั้น เลยดูเหมือนห่างหายไป ตอนนี้เครือข่ายดีขึ้นแล้ว คงแวะไปได้บ่อย ๆ ค่ะ

ปล. เห็นคุณออกกำลังกายเยอะขนาดนี้ นึกว่าจะตัวอวบอ้วนซะอีก เห็นในรูปหุ่นดีจังค่ะ

 

โดย: ทิวลิปสีน้ำเงิน 13 พฤศจิกายน 2549 13:43:43 น.  

 

ปกติ..ถ้าพี่จะเขียนเรื่องเศร้า ๆ ทำนองนี้ได้
แสดงว่าช่วงของชีวิตช่วงนั้นจะต้องมีความสุขมาก ๆ จนกระทั่งพินิจ พิเคราะห์ เหตุของทุกข์สักสาเหตุหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วถ่ายทอดให้ใครสักคนได้ฟัง

เป็นการย้ำเตือนตัวเองน่ะค่ะ ว่า.. ทุกข์-สุข เป็นของคู่กัน ไม่สมควรจะหลงระเริงเมื่อเรามีความสุขมาก ๆ กับชีวิต ฟังดูดีจังเนอะ.. เหมือนพี่ไม่เคยใช้ชีวิตอย่างประมาท..

แหะ แหะ แต่ก็นั่นแหละ การวางแผนชีวิตจะดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมด้วย

เอาล่ะสิ.. อ่านต่อยิ่งฟังเหมือนคนแก่บ่น

ที่ลากแม่น้ำมาไม่รู้กี่สายเนี่ย.. เพียงแค่อยากถามทุกข์-สุขน่ะค่ะ .. ทิวลิปฯ สบายดีไหม

พี่มาอ่านเรื่องสั้นนี้ช้า.. ข้ามปีเลยล่ะ ก็อย่างที่เราคุยกันเสมอมาไง.. พี่มักเป็นเช่นนี้เสมอ ๆ

ไม่ว่ากันนะ

วันนี้..มีโอกาสค่ะเตร็ดเตร่ทั่วบ้านทิวลิป .. เดินจนทั่ว จนฉ่ำใจ แต่ยังไม่หายคิดถึง

แล้วค่อยมาอีกก็แล้วกันค่ะ

 

โดย: สีน้ำฟ้า 8 มกราคม 2550 18:34:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ทิวลิปสีน้ำเงิน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




.....คนเราทุกวันนี้ใช้ชีวิตหมดไปกับกาลเวลาที่ผันผ่าน จนลืมที่จะมองหาความงดงามและความอ่อนโยนในชีวิต หลายคนเพียรค้นหา และหลายคนไม่มีวันพบเจอ.....
Friends' blogs
[Add ทิวลิปสีน้ำเงิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.