กว่าจะได้เป็น Manager ในอเมริกา
ขอย้อนความไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อผู้หญิงไทย ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ออกเดินหน้าหางานทำในประเทศที่ใคร ๆ ก็อยากจะมาหาประสบการณ์การทำงาน
แต่ในกรณีของเรานั้น ไม่ใช่ว่า อยากหาประสบการณ์อะไรหรอก อยากได้เงินจริง ๆ เพราะว่า ต้องส่งเสียแม่ที่เมืองไทย การมาแต่งงานกับคนต่างชาติ ไม่ใช่ว่า
เราจะให้สามีเรามาเลี้ยงดูครอบครัวของเราที่เมืองไทยด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นปกติของ ฝรั่งเขาทำกัน วัฒนธรรมในการเลี้ยงดูพ่อ แม่ ต่างกับพวกเราชาวเอเชีย
ฉะนั้น เราจะไม่หวังให้สามี มาเลี้ยงดูทั้งเรา และ ครอบครัวของเราแน่ และก็เป็นผู้หญิงที่ไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ เราก็มีสองมือ สองเื้ท้า สมองเหมือนกับพวกฝรั่ง
ทั่วไป ทำไม เราไม่ลองหางานทำดู จะได้ไม่ต้องแบมือขอ สามีอย่างดียว
และอีกประการหนึ่งที่สำคัญ สามีไม่ได้ร่ำรวย แถมติดหนี้สินมาพอตัวเลยทีเดียว ดีที่ไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน (โสดสนิท) เลยไม่ต้องกังวลเรื่องต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูก ตามธรรมเนียมฝรั่งส่วนใหญ่เขามีภาระแบบนี้กัน
ความคิด ครั้งแรก คือ อยากหางานทำ ช่วยเหลือสามี และหาเงินส่งเสียแม่ที่เมืองไทยด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ย้อนไปอีกหน่อย ตอนมาอเมริกา ใหม่ ๆ ภาษาก็ไม่ดีเอาเลย แถม ฟังฝรั่งพูดก็ไม่ออก เขาพูดเร็วจังเลย คิดในใจ แม้แต่สามีเราก็ตาม แล้วเราจะไปทำอะไรได้หนอ ทำอะไรก็ให้สามีจัดการให้ รู้สึกอึดอัด ตัวเองเหมือนกัน ในระยะเวลาแรก ๆ ซักระยะ ก็ไปเรียน ภาษาอังกฤษ ที่โบสถ์ ฝรั่ง ฟรี อีกนั่นแหละ ไม่มีเงินไปเรีน
ใน Collage กับเขา ถึงมีตังค์ ก็คงเสียเงินเปล่า อิอิ
ระหว่างที่เรียนภาษาอังกฤษ ก็ต้องขอบคุณ พี่โจอี้ สามีที่เอาใจใส่ดูแล และเป็นภาระที่ต้องส่งเสียเงินทอง ให้แม่ที่เมืองไทย อีกด้วย ซึ่งก็เป็นข้อตกลง
ระหว่างเราสองคน ถ้าเราจะตัดสินใจมาใช้ชีวิตร่วมกันที่ประเทศ อเมริกา ก็ขอให้พี่โจอี้ ส่งเสียแม่ที่เมืองไทยด้วย ระหว่างที่เรายังหางานทำไม่ได้ในตอนแรก
พี่โจอี้ก็ใจดี ทั้ง ๆ ที่ตอนแรก ก็มีคำถามว่าทำไมต้องส่งเสียเงินกลับเมืองไทย เพราะว่า ธรรมเนียมฝรั่งไม่ทำกัน ต้องอธิบายให้พี่โจอี้ฟัง จนเข้าใจ แล้วเขาก็รู็สึก
ว่า เรากตัญญู ต่อแม่ เขารู้สึกดี ก็ตกลงพี่โจอี้ จะเป็นคนส่งเสียเงินให้แม่ ที่เมืองไทย
ทั้ง ๆ ที่พี่โจก็เรียนพึ่งจบปริญญาโท งานก็ยังไม่ได้เป็นหลักแหล่ง แต่เราสองคนก็สู้มาด้วยกัน ตังแต่วันแรก ที่เราแต่งงานไม่ว่าจะทุกข์ จะสุข เราจะประคองชีวิตคู่ไปด้วยกัน แต่งงานกันใหม่ ๆ ไม่มีแม้แต่อพาร์ตเม้นต์ เป็นของเราเองน๊ะ ต้องอาศัยเพื่อนพี่โจอี้อยู่ กัน ตอนปีแรก เราสองคนลำบากกันพอสมควร จำได้มีอยู่ครั้งหนึ่ง เงินไม่พอใช้ พี่โจต้องไปขอยืมเงินเพื่อน มาใช้ในเดือนนั้น ซึ่งเราก็ยังไม่ได้ทำงานอะไร เห็นพี่โจอี้แล้วรู้สึก สงสารจริง ๆ ทำงานอยู่คนเดียว เลี้ยงดูเรา และส่งเงินให้แม่ที่เมืองไทยด้วยทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว เราจะมาอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้แล้วน๊ะ สงสารพี่โจอี้ เลยคิดว่า จะออกหางานทำ ด้วยภาษาที่มีอยู่น้อยนิด ก็ตาม
รถก็มีคันเดียว พี่โจต้องใช้ไปทำงาน แล้วเราจะออกหางานทำยังงัย โชคดีที่มีเพื่อนคนไทย คนหนึ่ง ซึ่งก็คบกันมา ปีนี้ 6 ปีแล้ว เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ต้องขอขอบคุณ มากจริง ๆ ที่คอยช่วยเหลือ ขับรถมารับ ส่ง ตอนไปเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยกัน พอเอ่ยปาก บอกว่าจะหางานทำ ก็อาสา ขับรถ พาตระเวณ ไปหางานด้วยกัน ซึ่ง บางทีก็พากันหลงทาง
แรกเลยที่คิดจะสมัครงาน คิดถึงร้านอาหารไทยก่อนอื่นเลย ก็โทรถาม บ้าง เดินเข้าไปสมัครเลยก็มี แต่ก็ไม่ได้รับการใยดี แต่ก็เข้าใจเจ้าของร้าน ว่าเราพึ่งมาอยู่ใหม่ ภาษาไม่เก่ง แต่แหม....ขอล้างจานก็ได้ ก็ยังไม่มีใครใจดีรับเราเข้าทำงานเลยซัก ร้านเดียว ทำให้ หมดกำลังใจเหมือนกัน
แต่ก็ทำให้เรามีกำลังใจต่อสู้ที่จะเดินหางานทำต่อไป เคยเขียนบันทึกไว้แล้ว ในบันทึกเก่า ๆ จากวันที่เริ่มสมัครงาน เมื่อ 5 ปีที่แล้วใครอยากอ่านก็เชิญคลิกเข้าไปนะคะ จะได้อ่านเรื่องราวเปิ่น ๆ ของเราเอง
ขอบอกว่าเรื่องราวการสมัครงานครั้งแรกกับฝรั่ง นี่ หินเอาเรื่อง แต่ผ่านวันนั้นมา วันนี้ก็ทำงานมา ครบ 5 ปีเต็ม แล้วคะ และที่นี่เองเป็นงานแรกในอเมริกา และก็เป็นงานปัจจุบัน ที่ได้ไต่เต้า จนได้มาเป็น " ผู้จัดการแผนก " เป็นหัวหน้าฝรั่งตาน้ำข้าว อย่างเต็มความภาคภูมิใจ
วันนี้ พอก่อน ใครผ่านเข้ามาอ่านเดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน หากมีเวลา จะเขียนบันทึกต่อ อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำของตัวเอง กว่าจะได้มาเป็น Manager
นี่ต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ของผู้หญิงไทยตัวเล็ก ๆ จะได้ก้าวมาทำตำแหน่ง ผู้จัดการแผนก ที่มีลูกน้องเป็นฝรั่ง มันน่าภูมิใจเหมือนกันน๊ะเนี่ย......
Create Date : 19 เมษายน 2553 |
|
8 comments |
Last Update : 19 เมษายน 2553 23:58:59 น. |
Counter : 942 Pageviews. |
|
|
|