บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ปรัชญา คติธรรม กวี คำคม (31)...ในความสงัด







ระวี ภาวิไล : เขียน

-1

น้ำใสในลำธาร
ละลายไหลมาจากหิมะอันปกคลุมยอดเขาสูงไกลออกไป
ณ ที่นี้ มันกรากกระทบโขดหิน
ฟองฝอยสาดซ่าสู่อากาศ
เป็นประกายในแดดอ่อนรุ่งอรุณ
วันใหม่มาถึงแล้ว....

สรรพชีพเพิ่งตื่นจากความหลับ
นกยังไม่ร้อง
มีแต่เสียงน้ำซัดเซาะโขดผาดังซ่า

ฟ้าสีครามอ่อนไม่มีเมฆ
ไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงรายเหนือพื้นหญ้าราบริมธาร
กิ่งก้านแผ่นิ่ง
ใบไม้ไหวน้อยๆ
ในสายลมอ่อน
ต้องแสงอรุณเป็นสีเขียวเรืองวาววับงามจับตา

ผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะกิ่งไม้นิ่ง
อาบเอิบแสงแดดอุ่น
อีกครู่หนึ่งก็โผบิน
ปีกสะท้อนทอแสงอรุณเป็นประกายดังทองเปลว

ธรรมชาติเปล่งสำเนียงปราโมทย์
รับอุบัติกาลแห่งวันใหม่
ชีวิตใหม่เริ่มแล้ว...
หลังจากความตายของวันวาน

นิ่งอยู่ ณ สถานที่นี้....
กาลอุ่นด้วยแสงอรุณ
จิตเอิบอาบในโชติสว่างแห่งความวิเวก


-2
สถานสงบในโลกลดลงทุกวันแต่พอยังค้นพบ
ความสงัดในจิตเกิดได้ยากกว่านัก
แม้สำเนียงภายนอกเงียบลง
แต่เสียงภายในยังกึกก้องฟุ้งซ่านเต็มที่
จิตใจโลดแล่นตามสิ่งมาสัมผัส
และแม้เมื่อภายนอกเลือนรางไปแล้ว
จิตก็ยังขบเคี้ยวซากแห่งอดีต
คือความทรงจำไม่ลดละ

ความอยากแยกผู้อยากออกจากสิ่งอันน่าใคร่
เกิดการดิ้นรนโลดแล่นเข้าหา
อัตตาเกิดขึ้น...
กาลเวลาเกิดขึ้นเมื่อใด
ความอยากสิ้นไป
อัตตาและกาลเวลาย่อมไม่ปรากฎ
ความสงัดแท้จริงเกิด
เมื่อความอยากทั้งหลายสิ้นลง

เพื่อการปรากฎของความสงัดอันยิ่ง
จิตจะต้องถูกชะล้าง
จากฝุ่นผงอันได้เกาะทับถมอยู่นานนับศตวรรษเสียก่อน
ประสบการณ์แห่งอดีต
ไม่ว่าปวดร้าวหรือหวานล้ำ
หยาบหรือประณีตจำต้องปล่อยวาง

จิตจะต้องปล่อยวางสิ่งทั้งหลายอันเคยใฝ่หา
สร้างสมและยึดมั่นไว้
เป็นต้นว่าทรัพย์สาร อำนาจ
ชื่อเสียงเกียรติคุณ สิ่งอันรักใคร่
ความรู้และแม้ความดีความชั่ว
เราจะต้องผ่านความตาย
แม้ชีพยังเต้นอยู่

ในความสงัดอันยิ่ง
ชีวิตและความตายกลมกลืนกัน
โลกและธรรมแยกไม่ออกจากกัน
ชั่วขณะจิตปรากฎเป็นนิรันดร

-3
โดยผิวเผินดูคล้ายว่า....
การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์และในโลก
เป็นไปเพราะอำนาจแห่งสารวัตถุ
พลังงานและสสาร....
ดำเนินบทบาททั้งในการสร้างและทำลายล้าง
ก่อให้เกิดความสุขและทุกข์แก่มวลมนุษย์และสัตว์

แท้จริงนั้น....
จิตเป็นผู้สร้างและทำลายความดีความชั่ว
แผนการ อุดมคติ ลัทธิ ความเชื่อ และศาสนา
เกิดในจิต...
ทุกข์และสุขในโลกจึงอุบัติขึ้นจากจิต

จิตเหมือนวานร
ไม่ชอบนิ่งไม่อยู่สุข
จับต้องลูบคลำอารมณ์อยู่เสมอ
คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งที่พอใจและไม่พอใจ
ฟุ้งซ่านโลดไปมา
งุ่นง่านพลุ่งพล่าน
ผูกมัดไว้ก็ดิ้นรนไม่ยอมหยุด
เมื่อหมดแรงเข้าก็ซบเซาหาวนอนทันที

จิตถือเอาซากแห่งอดีตเป็นอาหาร
สร้างอนาคตขึ้นจากภูตแห่งอดีต
สิ่งทั้งหลายที่จิตสร้างขึ้นไม่จีรัง
ไม่ว่าจะสวยสดงดงามเพียงใด

จงประกอบด้วยสติและปัญญา
พิจารณาให้ชัดเจนและให้รู้ทันภาพลวงทั้งหลาย
...ที่จิตสร้างขึ้น

-4
โลกโหดร้ายไร้เมตตา
เพราะมนุษย์ทะเยอทะยานและบูชาความสำเร็จส่วนตัว
ชิงดีชิงเด่น
และแก่งแย่งสิ่งพึงปรารถนา

โลกลุกเป็นไฟ
เพราะมนุษย์แสวงหาอำนาจและใช้อำนาจ
โลกเปอะเปื้อนด้วยคาวเลือด
เพราะโลภ โกรธ และเกลียดชัง

โลกร้อนด้วยพยาบาทและอิจฉาริษยา
โลกนี้มืดมน หลงเมาในความยิ่งใหญ่ของตนเอง
เพื่อนลวงใช้เพื่อนในนามมิตรภาพ
หญิงชายใช้กายและใจของกันและกันในนามของความรัก
อาจารย์แสวงหาศิษย์เพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณ
และศิษย์อาศัยชื่ออาจารย์หากิน

นักปฎิวัติทำลายพันธการของประชาชน
เพื่อสวมขื่อคาตราใหม่ให้
และมนุษย์ตัดสินความขัดแย้งด้วยกำลัง
ประหัตประหารกันในนามของสันติภาพ

จงพิจารณาหยดน้ำบนใบบัว
ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน ไม่ยึดถือ
เมื่อาทิตย์ขึ้นสูง สาดแสงจ้า
หยดน้ำก็ระเหยหายไป

-5
คนจำนวนมากไม่อาจอยู่เงียบ
และเพ่งพินิจจิตของตนอย่างถ้วนถี่ได้
เพราะเขากลัวจะได้พบความมืดทึบและโฉดเขลาภายใน
บุคคลไม่กล้าพิจารณาความเสื่อมโทรม
และร่วงโรยของกายและใจตนอันเป็นไปตามกาล
เพราะไม่อาจเผชิญกับความไร้ค่าของชีวิต
อันดำเนินไปด้วยความกระตุ้นเตือน
และบำรุงบำเรอความอยาก

เพื่อปกปิดความยากไร้ภายใน
มนุษย์จะสะสมทรัพย์สมบัติความมั่งคั่งในโลก
เพื่อกลบเกลื่อนความว่างเปล่าและไร้คุณค่าของชีวิต
เขาแสวงหาอาภรณ์ภายนอกมาประดับ
โดยสวมหัวโขนแห่งเกีรยติ
อันสมมุติขึ้นมานานาประการ
เป็นต้นว่า ยศศักดิ์ ตำแหน่ง และปริญญา...

-6
ดอกหญ้ากระจิดริดที่บานสะพรั่งอยู่มากมายริมถนน
ดูไม่มีความสำคัญอันผู้ใดผู้หนึ่งจะต้องเอาใจใส่
บางครั้งมันถูกบดขยี้โดยเท้ามนุษย์และล้อรถยนต์
ในบางฤดูมันแห้งเหี่ยวและตายไป
แต่บัดนี้...
มันกลับมาชูก้านขยายกลีบเกสรรับแสงแดดอีก
เมื่อเข้าพิจารณาใใกล้ชิด
เราจะได้เห็นความประณีตและวิจิตรพิสดารของมัน
อันฝีมือมนุษย์ไม่อาจทำเทียมได้

ดอกหญ้าเหล่านี้
มีความงามอันไม่โอ้อวด
มันเผยให้เห็นโลกอันเอิบอิ่มบริสุทธิ์
มันอุทิศตนเองชูช่อส่งกลิ่นไปในอากาศ
มันไม่หวงกันน้ำหวานไว้จากแมลงผึ้ง
มันไม่สะสมเพราะมันดำรงอยู่ในโลกอันไร้ความกังวล
อันมีปัจจุบันดำรงอยู่นิรันดร

จงเรียนรู้การดำรงชีวิตแห่งความจริง
จากดอกหญ้าริมถนนเหล่านั้น.

-7
อดีตคือภูตพเนจรในหมอกแห่งความทรงจำ
อดีตอันไร้ปัญญาย่อมผูกรัดและฉุดกระชากปัจจุบัน
อดีตที่ไม่ยอมตายตามสภาพธรรม
สร้างภาพหลอนแห่งอนาคตขึ้นด้วยความกระหาย
...และคร่ำครวญหาสัมฤทธิผล

อดีตผ่านไปแล้วและตายแล้ว
จะไม่กลับมาอีกแม้ขณะหนึ่ง
เมื่อจิตกอดรัดภูตอันหลอกหลอนอยู่
บุคคลย่อมจมอยู่ในกองทุกข์

ไร้สันโดษ....
มนุษย์เทียบปัจจุบันกับอดีต
และฝันถึงอนาคตอันไม่มีอยู่
เขาหยุดดำรงชีวิต
ซึ่งมีจริงก็เฉพาะขณะปัจจุบัน
นัยน์ตาเขาบอดต่อความงดงามของปัจจุบัน
อันมิรู้สิ้นสุด....
เขาดำรงชีวิตในความตายและความฝัน
...แม้มีลมหายใจอยู่

เมื่อไร้สันโดษ
จิตก็ไร้ความสงบ
วิเวกย่อมไม่เกิด
จิตปั่นป่วนดังทะเลฤดูมรสุม
แสงดาวแสงเดือนไม่อาจสะท้อนที่พื้นผิวน้ำอันเป็นคลื่น
สภาพล้ำลึกแห่งห้วงเวลาไม่อาจปรากฎ

ตราบที่ปัจจุบันยังปรากฎ
เพียงประตูจากอดีตไปสู่อนาคต
จิตยังถูกจองจำไว้ในข่ายแห่งการเวลา
อันความอยากเป็นผู้ถักร้อย
เมื่อใดความอยากความกระหายทั้งหลายสิ้นไป
สันโดษจะปรากฎความหมายแท้จริง
เป็นการเห็นประจักษ์คุณค่าของปัจจุบัน

จงสลัดหลุดจากพันธนาการแห่งเวลา....

-8
วันหนึ่งข้างหน้า
ลมหายใจจะหยุดเข้าออก
จิตจะเลื่อนเข้าสู่สภาพที่ไม่อาจรู้มืดหรือสว่าง
กายนี้จะแตกสลาย

ดินกลับเป็นดิน
น้ำกลับคืนสู่ลำธารและห้วงสมุทร
ลมหายใจลอยขึ้นสู่บรรยากาศ
ความร้อนซาบซ่านแผ่ไปในเวหา

แต่เดือนดาวก็ยังไม่ปรากฎในราตรี
และเมื่อรุ่งอรุณ
กลีบเกสรของดอกหญ้าก็จะคลี่ขยายรับแสงแดด
รากของมันจะหยั่งลึกลง
ดูดความหล่อเลี้ยงจากซากผุพังเบื้องล่าง
บทบาทแห่งชีวิตทั้งหลายก็จะยังดำเนินไปในเวทีมหึมา
...แห่งโลกภพ

ปรมนูในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ทั้งหลาย
ยังคงสั่นสะเทือนและแผ่รังสี
จักรวาลานุจักรวาล
จะก่อขึ้นในกาลอวกาศและเปลี่ยนแปร
สรรพชีพจะเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสลาย
อารยธรรมเกิดและเสื่อม
อาณาจักรอุบัติและวิบัติ
สรรพสิ่งดำเนินไปในวังวนแห่งสังขารธรรม

สรรพสิ่ง.....
จะเป็นวัตถุหรือจิต
หยาบหรือละเอียด
ดีหรือชั่ว......
หากมีปัจจัยให้เกิด
ย่อมแปรเปลี่ยนดับสลายไปตามกาล

สิ่งใด ดำรงอยู่เอง
ไร้ปัจจัย ไม่เป็นของบุคคล
ไม่เป็นบุคคล พ้นกาลเวลา
ย่อมดำรงอยู่นิรันดร


เกี่ยวกับผู้เขียน



ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล

สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโททางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยแอเดอเลด และปริญญาเอกดาราศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ประเทศออสเตรเลีย

เริ่มเป็นอาจารย์เมื่ออายุเพียง 19 ปีเศษ ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 จนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2529

มีผลงานทางดาราศาสตร์เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ เคยร่วมประชุมและรับเชิญทำงานวิจัย ในต่างประเทศหลายครั้ง มีผลงานค้นคว้าทางดาราศาสตร์ ลงพิมพ์ในนิตยสารต่างประเทศ และเป็นที่อ้างอิงของนักดาราศาสตร์ในต่างประเทศ

ศึกษาค้นคว้าด้านศาสนาและปรัชญา เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม อาทิ คุณค่าชีวิต ,รู้สึกนึกคิด ,ชีวิตดีงาม ,บุปผาชาติแห่งชีวิต , ความสงัด , เพ่งพินิจ , เรื่องชีวิต , หัวใจพุทธศาสนา ฯลฯ และผลงานที่แปลตีพิมพ์แล้ว เช่น ปรัชญาชีวิต , ปีกหัก ,หิ่งห้อย , สาธนา , ทรายกับฟองคลื่น ฯลฯ


เรื่อง บ้านจอมยุทธ์





Create Date : 15 มกราคม 2554
Last Update : 15 มกราคม 2554 12:29:16 น. 0 comments
Counter : 2485 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.