บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
6 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ปรัชญา คติธรรม กวี คำคม (6)...ปรัชญาเต๋า









ความเป็นคู่

เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักว่าความดีว่าดี
ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยความรับรู้
ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยความนึกคิด

สู่ธรรมชาติ

ครอบครองความเป็นสุญตาไว้
รักษารากฐานแห่งความสงบไว้
สรรพสิ่งมากมายล้วนกำเนิดขึ้น
และดำเนินไปตามวิถี
ข้าพเจ้าได้คอยเฝ้ามองสรรพสิ่ง
กลับไปสู่ต้นกำเนิดเดิม
เพื่อพักผ่อนอย่างสงบ
เหมือนกับพืชพันธุ์
ที่เติบโตผลิดอกออกผล
แต่กิ่งและช่อใบมากมาย
ที่สุดก็ต้องกลับไปสู่รากฐานเดิม
คือปฐพีที่ให้กำเนิด
การกลับไปสู่รากฐานเดิมที่ให้กำเนิด
คือความสงบ
เรียกว่ากลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน

ตรงกันข้าม

ถ้าเพื่อจักสำแดงรูปลักษณ์ให้ดีงาม จึงไปบรรจงปั้นแต่งหรือสร้างภาพให้สวย การทำดังนี้ยังจะเรียกว่าดีงามได้อีกหรือ? ถ้าทำบุญ เพียงเพื่อหวังเอาหน้า การทำดังนี้ยังจะเรียกว่า เป็นการทำบุญได้อีกหรือ? ถ้าไม่รู้สึกว่ามี “มี” ตรงกันข้ามกับ “ไม่มี” ยากตรงกันข้ามกับง่าย ยาวตรงกันข้ามกับสั้น บนตรงกันข้ามกับล่าง เสียงดังตรงกันข้ามกับเสียงเบา ด้านหน้าตรงกันข้ามกับด้านหลัง เมื่อปราชญ์ แจ้งข้อตรงข้ามดังกล่าว เพื่อที่จะพ้นสรรเสริญนินทา เขาจึงปฏิบัติตนด้วยจิตที่ปล่อยวาง ฉะนั้น จึงไม่รู้สึกยากลำบาก ปราชญ์อบรมบ่มสอนประชาชนด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยคำพูด เขาศึกษาเรียรู้ฟ้าดินหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ย่อท้อ ปราชญ์ใช้แบบอย่างคุณธรรมแห่งฟ้าดิน คือ แม้นจะได้สร้างคุณความดีมากหลาย ก็ยังคิดว่าตนมิได้ทำอันใดด้วยเขาไม่มุ่งหวังเอาความดีความชอบ เมื่อเขาทำคุณความดีเสร็จแล้วก็ผ่านเลยไป โดยไม่เข้าครองความดีนั้น เขามีน้ำใจกว้างขวาง แม้แต่คุณความดีที่ตนทำ ก็ไม่ไปสนใจ ซึ่งกลับทำให้คุณความดีของเขาไม่ดับสูญนิรันดร์กาล

ไม่เห็นแก่ตัว

นับแต่บรรพกาล ฟ้ายังคงเป็นฟ้านี้ ดินยังคงเป็นดินนี้ จะเห็นได้ว่า อายุของมันยืนยันยาวยิ่ง ไฉนฟ้าดินจึงอายุยืนยาวเยี่ยงนี้ได้หนอ? เนื่องเพราะมันมิได้ให้กำเนิดแก่ตัวเอง แต่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง มิได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อผู้อื่น ฉะนั้นมันจึงสามารถอายุยืนยาวได้ เมื่อปราชญ์รู้หลักการเหล่านี้ เขาจึงเอาอย่างฟ้าดินโดยเอาธุระของตัวเองไว้ข้างหลัง เอาธุระของคนอื่นวางไว้ข้างหน้า แต่จิตวิญญาณของเขากลับอยู่สูงกว่าคนอื่น แม้นเขาจะเอาตัววางไว้ภายนอก แต่กายแท้ (จิตวิญญาณ) ของเขากลับเป็นอมตะนิรันดร์กาล
ปราชญ์ไม่เห็นแก่ตัว แต่กลับสามารถประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เมื่อถึงกาลสิ้นอายุ จิตวิญญาณของเขาหลุดพ้นจากสามภูมิ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ทั้งยังได้รับการกราบไหว้บูชาจากคนรุ่นหลัง นี่คือผลลัพธ์แห่งการไม่เห็นแก่ตัว

หลักแห่งการปฏิบัติตน

หลักแห่งการปฏิบัติตน พึงรู้จักเดินหน้าและถอยหลัง (หมายถึงยืดได้หดได้) การใดพอเหมาะจงหยุด อย่าทะนงหลงตน เพราะผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองเกินไป มักจะเหมือนเช่นน้ำที่ล้นแล้วไหลทะลักออกมา ได้ไม่คุ้มเสีย มิสู้ละการโอ้อวดและเชื่อมั่นเกินไป ซึ่งจะทำให้จิตสงบสบายดีกว่า
ผู้ที่โอ้อวดปัญญาความสามารถของตน อาจจะถูกคนหมั่นไส้หรือเล่นงานได้ ทั้งมิได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น ทองและหยก แม้นจะเป็นของสูงค่า แต่ก็ยังเป็นของนอกกายอยู่ดี แม้นเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มากหลาย วันใดสิ้นลมปราณก็มิอาจรักษาไว้ได้ ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญธรรม หากสามารถนำทรัพย์ที่ตนเองมีอยู่มาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณอันเป็นกายแท้ จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ผู้ที่ร่ำรวยถ้ารู้จักเอื้ออาทรไม่หยิ่งยโส คนอื่นย่อมจะยอมรับนับถือ แต่ถ้ามั่งมีแล้วหยิ่งลำพอง เห็นแก่ตัวย่องจะทำให้คนอิจฉานินทา จนอาจนำภัยมาสู่ตนได้ ฉะนั้น จึงมีแต่ผู้ประสบความสำเร็จแล้วหยุดเท่านั้นจึงจะถูกหลักแห่งเต๋า

บำเพ็ญธรรมยากหรือง่าย

การบำเพ็ญธรรมจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากเพราะจิตคนพอเล่นไปภายนอก จิตและญาณก็แยกจางจากกัน ท่านสามารถคุมจิตมิให้ฟุ้งซ่าน ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้หรือไม่? ท่านสามารถชำระจิตที่ยึดมั่นถือมั่นในความโลภ ให้ใสสะอาดปราศจากจุดด่างพร้อยได้หรือไม่? เมื่อท่านได้บริหารบ้านเมือง มีรักชาติ รักประชาชนและยืดถือความสัตย์ซื่อ ยุติธรรม อย่างแท้จริงหรือไม่? เมื่อท่านเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังสามารถไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉล และปล่อยวางได้หรือไม่? หลักการเหล่านี้ แท้จริงต้องการให้ท่านเอาอย่างฟ้าดิน เพราะแม้ฟ้าดินจะให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งแต่มันก็ยังคงมิได้ถือว่าสรรพสิ่งเป็นของตน ฟ้าดินสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่โลกปานนี้ แต่ยังคงมิได้คิดว่า ตนเองเป็นเจ้าของ การกระทำของฟ้าดินเช่นนี้ เรียกว่าเป็นคุณธรรมอันสูงยิ่ง


การแสวงหาวัตถุนอกกายรูปโลกีย์ทำให้คนหน้ามืดตามัว เสียงโลกีย์ทำให้คนหลงใหล จนไม่ได้ยินเสียงแห่งธรรม เสมือนหนึ่งคนหูหนวก รสจัดทำให้คนหลงใหล รสจืดคือรสแท้ คนที่ไม่ทำการใด วัน ๆ เอาแต่ขี่ม้า ล่าสัตว์ ยิงนกประลองฝีมือ จิตใจบ้าอยู่กับการต่อสู้ ก่อให้กายใจไม่สงบจนสูญเสียจิตเดิมแท้ที่ฟ้าประทานมา คนที่มีทรัพย์สมบัติมาก มักไม่มีความอิสระ คนที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินไป มักไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงมัวหมอง นักปราชญ์รู้โทษของความโลภ จึงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย โดยไม่ไปดิ้นรนแสวงหาความสุขทางโลก ต้องการเพียงปากท้องอิ่มก็พอ เพื่อไม่ให้วัตถุนอกกายมาทำให้จิตฟุ้งซ่าน


โปรดปราน อัปยศ

ชาวโลกต่างให้ความสำคัญในความแตกต่างระหว่าง “โปรดปราน” และ “อัปยศ” ยามใดได้รับการโปรดปรานหรืออัปยศ ก็รู้สึกตื่นเต้นจนทำอันใดไม่ถูก ส่วนปราชญ์นั้นต่างกัน เขารู้สึกต่อการโปรดปรานของคนอื่น เหมือนดั่งภัยที่เรามีร่างกาย เนื่องเพราะร่างกายของคนเรากอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไฉนการโปรดปรานและอัปยศ จึงทำให้ข้าพเจ้าหวั่นกลัวเล่า?
เนื่องเพราะการโปรดปราน ก็เหมือนดั่งได้รับชื่อเสียงลาภยศ ซึ่งมิวันใดวันหนึ่งก็ต้องสูญเสียไป ส่วนอัปยศก็เหมือนดั่งถูกปลดออกจากงาน ซึ่งจักต้องถูกคนเขาหัวร่อเยาะ ไฉนการมีร่างกายจึงเป็นภัยเล่า? เนื่องเพราะเมื่อคนเรามีร่างกาย ย่อมจักมีทุกข์แห่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปราชญ์จึงถือว่าร่างกายนี้คือ ภัย ฉะนั้นจึงว่า การโปรดปรานและอัปยศเป็นภัยดุจเดียวกับที่เรามีร่างกาย
ผู้มีธรรมะแม้นเขาจะได้รับตำแหน่งที่สูงส่ง เขาก็มิได้คิดว่าเป็นเกียรติยศของตน เขาถือว่าเกียรติยศของตนก็คือเกียรติยศของชาวหล้า ผู้มีธรรมเยี่ยงนี้ เราจึงจะฝากใต้หล้ากับเขาได้
ฉะนั้น ถ้าผู้ใดให้ความสำคัญต่อร่างกายของตน โดยมิใช่เพื่อลาภยศสรรเสริญ แต่เพื่อทำหน้าที่ฉุดช่วยสัตว์โลกคนเยี่ยงนี้เราจึงจะฝากใต้หล้ากับเขาได้


คืนสู่ความบริสุทธิ์

ปราชญ์ที่แท้จริง มิได้คิดว่าตนเองเป็นปราชญ์ เช่น ท่านขงจื่อยามมีชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตอย่างปราชญ์ แต่มิได้ใช้ชื่อปราชญ์ กลับทำให้ชื่อแห่งปราชญ์ของท่านเป็นอมตะ การบำเพ็ญคุณธรรมก็ดุจกัน ไม่จำเป็นต้องไปยกยอตนเอง หากทำดังนี้ได้ ทุกคนถึงจะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแห่งเมตตากตัญญู สมมติถ้าทุกคนต่างไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมไปโกงคนอื่น คนอื่นก็จะไม่คิดเป็นโจร
หลักการดังว่านี้ บางคนอาจคิดว่าไร้สาระ ยากที่จะกล่อมเกลาจิตใจชาวโลก ฉะนั้นข้าพเจ้าขอเสนอแนะสภานกล่อเกลาจิตใจชาวโลก ฉะนั้นข้าพเจ้าขอเสนอแนะสถานที่หนึ่ง นั่นคือ ให้ตั้งอยู่ที่ความซื่อสัตย์ มักน้อยกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์


การแก่งแย่ง

ผู้ที่รับการถูกใส่ร้ายได้ ย่อมเป็นคนบริสุทธิ์ ผู้ที่รับการถูกกลั่นแกล้งได้ ย่อมเป็นคนซื่อตรง คนอ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ข้าราชการผู้มีคุณธรรม ที่ยอมใส่เสื้อผ้าเก่าและปะย่อมเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ผู้ที่มักน้อย ย่อมพอใจในสิ่งที่ตนมีตนเป็น ผู้ที่แสวงหาวัตถุทางโลก มักลุ่มหลงมัวเมา นักปราชญ์นั้นซื่อตรง ยึดมั่นแต่จิตพุทธะ สามารถเป็นแบบอย่างแก่ชาวโลก ผู้ที่ไม่ยึดอยู่กับความคิดเป็นของตนเองเป็นใหญ่ แสดงว่าเป็นคนมีเหตุผล ผู้ที่ไม่คิดว่าตนเองถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว แสดงว่ามีสติปัญญา ไม่หลงตัวเอง ผู้ที่ไม่โอ้อวดความดีของตน จึงจะเป็นคนดีแท้ เพราะเขาได้เก็บความดีไว้ในใจ ไม่รั่วไหลไปไหน ผู้ที่ไม่โอ้อวดปัญญาความสามารถของตน ถึงจะยั่งยืน เพราะเขาไม่เย่อหยิ่งถือตัว จึงได้รับการยอมรับนับถือจากปวงชน เพราะเขาไม่แก่งแย่งกับผู้ใด จึงไม่มีผู้ใดแก่งแย่งกับนับถือจากปวงชน โบราณว่า “ผู้ถูกใส่ร้าย ย่อมบริสุทธิ์” ใช่ว่าไร้สาระเสียทีเดียว ผู้ซื่อตรงยึดถือความสัตย์ ปวงชนย่อมมาสู่เขา


เต๋าแห่งธรรมชาติ

การลดโต้เถียง ย่อมถูกหลักแห่งเต๋า ท่านดูสิ ลมพายุใช่จะพัดกระหน่ำตลอดเช้า มันก็ย่อมสงบเอง ฝนใช่จะตกตลอดวัน มันก็ย่อมหยุดเอง
ผู้ใดเล่าทำให้ลมพายุพัด? ผู้ใดเล่าทำให้ฝนตก? ก็คือฟ้าดิน ผู้ใดจะเก่งกว่าฟ้าดินได้เล่า? ฟ้าดินยิ่งใหญ่ปานนี้หากไม่คล้อยตามธรรมชาติ ก็ยังมิอาจยั่งยืน สำมะหาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราไฉนไปฝืนธรรมชาติ ไฉนไปโต้เถียงเรื่องไร้สาระ ผู้บำเพ็ญธรรม ถ้าปะคนมีธรรมะ เราก็จะใช้ธรรมะมาศึกษาและถกปัญหาธรรม ถ้าปะผู้มีคุณธรรม เราก็จะใช้คุณธรรมมาให้กำลังใจกันแลกัน ถ้าปะคนที่ผิดหวัง เราก็จะใช้เมตตาธรรมไปปลอบประโลมเขา ถ้าทำดั่งนี้ได้ เมื่อท่านอยู่กับคนมีธรรมะ คนมีธรรมะก็รู้สึกมีความสุข เมื่อท่านอยู่กับคนมีคุณธรรม คนมีคุณธรรมก็รู้สึกมีความสุข
เมื่อท่านอยู่กับคนผิดหวัง คนผิดหวังก็รู้สึกมีความสุข เต๋านั้นสุดแสนมหัศจรรย์ แต่ลางคนมิค่อยเลื่อมใสศรัทธาเต๋านัก ลางคนก็ไม่เลื่อมใสเอาเสียเลย ต่อให้ท่านอธิบายฉันใดก็ไร้ประโยชน์


ยืนด้วยปลายเท้า

ผู้ที่ยืนเขย่งเท้า โดยฝ่าเท้าไม่ติดพื้น เพื่อหวังโผล่ศีรษะ (หมายถึงเงยหน้าอ้าปาก) มักยืนไม่มั่นคง เพื่อที่ก้าวเท้ายาวเพื่อจะเดินเร็ว มักเดินไม่ไกลเท่าไหร่ก็เหนื่อย คนเห็นแก่ตัว มักหลงมัวเมา คนที่ถือเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ มักไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น คนที่ยกยอความดีของตนเอง คนมักไม่ค่อยเชื่อใจ คนที่ชอบโอ้อวดบ่อย ๆ คนมักไม่แน่ใจความสามารถของเขา เพราะเขาได้เผยข้อด้อยออกมาแล้ว ยังจะมีข้อดีอันใดอีก พฤติกรรมเหล่านี้ ในแง่ของเต๋าเปรียบดั่งท้องอิ่มแล้วมีคนเรียกท่านกินอีก ท่านยังจะกินอีกหรือ? พฤติกรรมเหล่านี้ สัตว์หรือพืชยังรังเกียจ สำมะหาอะไรกับมนุษย์เราซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ ฉะนั้น ผู้มีธรรมะเมื่อเข้าใจเหตุผลจึงไม่พึงประพฤติอีก


แข็งแกร่ง อ่อนน้อม ถ่อมตน

ผู้ที่รู้ว่า “แข็งแกร่ง” เป็นฉันใด? เขามักอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะเหตุใดเล่า? เนื่องเพราะผู้ที่วางตัวดังนี้ได้อุปมาดั่งร่อน้ำกลางหุบเขาอันอยู่ในที่ต่ำ ย่อมเป็นแหล่งรวมแห่งสยามน้ำทั้งหลาย คนที่สามารถเป็นดั่งแหล่งรวมแห่งสายน้ำ เขาย่อมเป็นคนมีคุณธรรม เหมือนหนึ่งย้อนกลับสู่สมัยเป็นทารกบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้ที่รู้ว่า “ใสสะอาด” เป็นฉันใด? เขามักทำเป็นคนโง่เพราะเหตุใดเล่า? เนื่องเพราะเขามีการอบคมบ่มจิตเป็นนิจนี้ถึงจะเป็นแบบอย่างของชาวโลก แล้วภาวะจิตของคนเยี่ยงนี้เป็นฉันใดเล่า? ภาวะจิตของเขาก็เหมือนหนึ่งกลับสู่โบราณกาลที่คนเรายังโง่ ผู้ที่รู้ว่า “เกียรติยศ” เป็นฉันใด? เขามักทำตัวต่ำต้อยเพราะเหตุใดเล่า? เนื่องเพราะผู้ที่ทำดังนี้ได้ ก็เหมือนดั่งหุบเขาที่สามารถรองรับสรรพสิ่ง เขาย่อมมีคุณธรรมสูงกว่าคนอื่น เสมือนหนึ่งท่อนไม้ที่ยังมิได้ผ่านการตัดแต่ง เพราะท่อนไม้ที่ตัดแต่งแล้ว ย่อมเป็นได้แค่เครื่องใช้อย่างหนึ่งเท่านั้น ปราชญ์ตั้งอยู่ในความซื่อตรง ก็สามารถครอบคลุมส่วนดีของเครื่องใช้ทั้งหมด ไม่เหมือนกับการทำเป็นเครื่องใช้แล้ว ซึ่งใช้ประโยชน์ได้เพียงอย่างเดียว ดังนั้น มันมิกลายเป็นเจ้าแห่งเครื่องใช้ไปหรือ? ด้วยเหตุนี้ ปราชญ์จึงยินดีที่จะยึดถือความซื่อตรงดีกว่าที่จะเหมือนท่อนไม้ที่ตัดแต่งสร้างเป็นเครื่องใช้แล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยการตกแต่งและมายาภาพ

อย่าฝืนลิขิตฟ้า

ถ้าไปแย่งชิงใต้หล้าเพื่อสนองกิเลสของตน ข้าพเจ้าว่ามิอาจเป็นไปได้เพราะว่าใต้หล้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งมิใช่ว่าผู้มีกำลังเข้มแข็งก็สามารถยึดครองได้ มิใช่ว่าผู้ฉลาดก็สามารถควบคุมได้ ผู้ที่คิดใครใช้กำลังทางทหารไปยึดครอง ผลสุดท้ายล้วนต้องพบกับความล้มเหลว ผู้ที่คิดใคร่ไปยึดครองหมายผลประโยชน์ตน เบื้องสุดท้าย ล้วนต้องลิ้มรสความผิดหวังอันแสนเจ็บปวด เพราะแม้ว่ามนุษย์จะเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ก็หนีไม่พ้นหลักแห่งความจริง เช่นว่า เมื่อท่านคิดจะเดินอยู่ข้างหน้าแต่ปรากฏว่ายังมีคนเดินอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านคิดจะเดินอยู่ข้างหลังคนอื่น ก็ปรากฏว่ายังมีคนเดินตามหลังท่าน เมื่อท่านคิดจะเป็นคนเข้มแข็งที่สุด ก็ยังมีคนเข้มแข็งกว่าท่านเพราะร่างกายของคนเราย่อมมีวันเสื่อมสลาย ถ้าท่านหาบของหนัก มิช้าก็จะเหนื่อยและต้องวางของที่หาบลง เมื่อปราชญ์รู้สัจธรรมนี้ เขาจึงไม่คิดทำในสิ่งที่เกินกำลัง หรือคิดโอ้อวด หรือคิดทำในสิ่งที่เกินจำเป็น


ชีวิตอันอมตะ

รู้จักแยกแยะความดีหรือชั่ว แสดงถึงความฉลาด รู้จักสำรวจข้อบกพร่องของตัวเอง และยอมรับว่าตัวเองผิด แสดงถึงมีเชาว์ปัญญา
สามารถรบชนะคนอื่นได้ แสดงว่าท่านมีความสามารถ แต่มิได้แสดงว่าท่านเป็นคนเข้มแข็งตลอดไป เพราะวันนี้ท่านรบชนะคนอื่น ภายหน้าคนอื่นย่อมต้องคิดหากลวิธีต่าง ๆ มารบชนะท่านจนได้ ฉะนั้นการรบชนะคนอื่นจึงมิใช่วิถียั่งยืน มีแต่การชนะตนเอง แก้ไขปรับปรุงตัวเองเท่านั้น ถึงจะเป็นผู้เข้มแข็งที่สุด เพราะคนเรามีกำลังไม่เกินร้อยชั่ง แต่ถ้าสามารถตั้งอยู่ใน ‘เมตตาธรรม’ ถึงจะเป็นชัยชนะอันยั่งยืน ผู้ที่รู้จักพอ ในจิตใจเขากลับไม่ขาดแคลน เมื่อไม่ขาดแคลนก็คือไม่จน เมื่อไม่จนก็คือรวย ผู้ที่ทำงานโดยการฝืนใจ จำต้องอาศัยขวัญกำลังใจเพราะถ้าขาดขวัญกำลังใจ ก็เหมือนผู้ล้มเหลวที่ละทิ้งกลางคัน บุคคลทำการใดพึงตั้งอยู่ในหลักแห่งการสร้างตน (ความดี) ถึงจะเป็นวิถียั่งยืน เมื่อถึงมรณะกาล แม้กายเนื้อแตกดับ แต่จิตวิญญาณ (กายทิพย์) จักสู่สวรรค์ นี้ถึงจะเป็นชีวิตอันอมตะอย่างแท้จริง


ถึงที่สุดย่อมย้อนกลับ

สรรพสิ่งในโลกหล้า เมื่อถึงที่สุดย่อมย้อนกลับ “หยาง” ถึงที่สุดย่อม “อิน” อินถึงที่สุดย่อมหยาง เป็นต้น หลังจากจันทร์แรมก็จันทร์เพ็ญ จันทร์เพ็ญแล้วก็จันทร์แรม เฉกเช่น ฉินซึฮ่องเต้สร้างกำแพงหมื่นลี้ วาดหวังจักครองความยิ่งใหญ่ตลอดกาล แต่พฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นการฝืนหลักธรรมชาติ จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน สิ่งใดฝืนหลักธรรมชาติ โดยใช้การบีบบังคับ ย่อมมิอาจทำได้ หรือคิดใครใช้วิธีผิดกฎหมายไปปลิดชีวิตคน ก็ย่อมมิอาจเป็นไปได้ อย่าดูแคลนคนลางคนที่ภายนอกแลดูอ่อนแอ แท้จริงอ่อนแอถึงจะสามารถเอาชนะแข็งแรง เช่น ปราชญ์มักทำตัวอ่อนแอและต่ำต้อย ซึ่งกลับทำให้เขาประสบความสำเร็จตลอดกาล บุคคลพอ***งเต๋า ก็มักขาดจุดยืน เปรียบดั่งเรือขาดเข็มทิศ ย่อมหลงทิศทาง หลา***งน้ำย่อมตาย
อาวุธยุทโธปกรณ์ของชาติ อย่าได้นำออกมาอวดแสดง ซึ่งอาจเกิดมหันตภัยได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องเพียรพยายามคิดค้นสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่ามาข่มขู่ เมื่อนั้นสงครามก็ยากจะหลีกเลี่ยง


ความมีเกิดจากความไม่มี

สรรพสิ่งล้วนเกิดดับเปลี่ยนแปรตลอดเวลา วงจรเหล่านี้ ล้วนเกิดจากเต๋า ซึ่งท้ายที่สุดก็ยังคงต้องคืนสู่ความสงบ ดั่งเช่นลม แม้นมันจะพัดรุนแรงปานใด แต่ไม่ช้าก็ต้องคืนสู่ความสงบอยู่ดี หรือเช่นฝน แม้นมันจะตกหนักแต่ไม่ช้าก็ต้องหยุดตกอยู่ดี สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนเกิดจาก “ความมี” (ไทเก๊ก) แต่ “ความมี” นี้ ก็ยังต้องเกิดจาก “ความไม่มี” (บ้อเก๊ก)

อ่อนชนะแข็ง

สิ่งที่อ่อนนิ่มที่สุดในโลกคือ “น้ำ” แม้น้ำจะอ่อนนิ่มแต่สามารถทะลุทะลวงแผ่นดินและภูผา หรือจะใช้อากาศที่ไร้รูปมาอุปมาอุปไมย อากาศสามารถบรรทุกดวงดาวต่าง ๆ ฉะนั้นพลังของสิ่งที่อ่อนและไร้รูปร่างเหล่านี้ จึงมักชนะสิ่งที่แข็งแกร่งและมีรูปร่าง เช่น ปราชญ์เป็นคนอ่อนโยน เขามักใช้ตัวเองทำเป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าใช้คำพูดสอนหรือการศึกษาใด ๆ หรือเช่น มารดาแห่งโลกเป็นคนอ่อนแอ แต่ผู้ใดเล่าที่ไม่ใช่เกิดจากครรภ์มารดา พลังของสิ่งที่อ่อนและไร้รูปดูผิวเผินเหมือนดั่งไร้ประโยชน์ เนื้อแท้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่เหลือแสนเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงแจ้งคุณประโยชน์ของความว่างเปล่าการสอนที่ไม่ต้องใช้คำพูดเหล่านี้ แท้จริงมีคุณประโยชน์มากหลาย อาทิ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล พัฒนาการของสรรพสิ่ง ล้วนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้


นิ่งสงบ

ผู้ประสบความสำเร็จใหญ่หลวง มักเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ผู้ที่วางตัวเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของปวงชน ในสายตาของปราชญ์ ผู้สร้างคุณความดี แม้นเขาจะเหมือนว่างเปล่า แต่ในจิตใจกลับไม่มีสิ่งใดขาดแคลน เฉกเช่นคนซื่อคนตรง แต่กลับมีทุกสิ่งอย่าง แล้วคนมากสติปัญญาเล่า? ก็เหมือนดั่งจิตใจปราชญ์ที่มักน้อยและไม่ทำในสิ่งไร้สาระ แต่ในสายตาของคนทั่วไป กลับคิดว่าพวกเขาช่างโง่บรม ผู้ที่รู้ลึกซึ่งในเรื่องของจักรวาล ควรที่จะอธิบายได้ดีที่สุด แต่เขากลับรู้อยู่แต่ในใจยากจะอธิบาย หรือบางครั้งทฤษฎีที่เขาพูด คนอื่นอาจฟังไม่รู้เรื่อง ดังนั้นนักพูดจึงอาจเหมือนคนพูดน้อยก็ได้ยามคนกำลังโกรธ แม้นอุณหภูมิในกายจะขึ้นสูง แต่ย่อมเป็นอยู่ไม่นาน ก็เหมือนดั่งฝนตกหนัก เมื่อฝนผ่านไปก็ยังคงต้องสงบอยู่ดี


ใต้ฟ้ามีเต๋า ไร้เต๋า

เมื่อใต้ฟ้ามีเต๋า (ธรรม) บ้านเมืองก็มีความสุข ทุกคนต่างรู้จักพอ เมื่อนั้นสามารถที่จะใช้ม้าศึกมาทำงานในไร่นายามใดใต้ฟ้าไร้เต๋า ทุกคนละโมบโลภมาก เมื่อนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงสงครามและความวุ่นวาย เหตุนี้จึงทำให้ม้าและทหารต้องล้มตายก่อนนอกเมือง บาปใดไม่ใหญ่เท่าความโลภ ภัยใดไม่ใหญ่เท่าความไม่รู้จักพอผู้ที่รู้จักพอ เนื่องจากไม่แสวงหาวัตถุนอกกาย กลับได้รับจิตเดิมแท้อันล้ำค่าที่อยู่ในกายตนเอง ดั่งนี้ยังจะมีอะไรให้โลภอีกเล่า ?


การถ่อมตน

ทะเลได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งน้ำ เนื่องเพราะมันอยู่ในที่ต่ำสุด จึงสามารถรองรับน้ำจากสายธาราทั้งหลายไม่ว่าสะอาดหรือสกปรก ฉะนั้นจึงได้เป็นราชาแห่งน้ำ ปราชญ์สามารถอยู่สูงกว่าคนอื่น เพราะปากกับใจตรงกัน และสุภาพอ่อนโยน ถ้าท่านคิดใคร่เป็นผู้นำ ท่านก็ต้องยกย่องคนอื่นคนอื่นถึงจะยกย่องท่าน ถ้าท่านดูหมิ่นคนอื่น คนอื่นก็จะดูหมิ่นท่านปราชญ์รู้หลักการเหล่านี้ แม้เขาจะมีสถานะสูงแต่เขาก็ยังถ่อมตนอยู่เสมอ ทำให้คนที่มีสถานะต่ำหว่าไม่รู้สึกกดดัน ปราชญ์อยู่นำหน้าผู้อื่น ประชาชนย่อมให้ความยอมรับนับถือและสนับสนุน


อ่อนแข็ง

คนขณะมีชีวิต ร่างกายอ่อนนุ่ม หลังจากตายแล้วร่างกายจึงเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ สรรพสิ่งก็ดุจเดียวกัน เช่น ต้นไม้ ต้นหญ้า ขณะมีชีวิตก็อ่อนนิ่ม มีแต่ตายแล้วเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นแข็ง จากหลักการข้างต้น แสดงให้รู้ว่าผู้ที่ยืดอยู่กับความแข็งกร้าวดื้อรั้น ก็คือ คนที่ใกล้จะตาย คนที่ยอมอ่อนและลดราวาศอก ถึงจะเป็นการเดินสู่เส้นทางอันนิรันดร์ ประเทศที่กระหายสงคราม ชอบอวดแสดงกำลังทางทหาร ย่อมไม่ได้รับชัยชนะ ดั่งเช่นต้นไม้ขนาดใหญ่ มักจะถูกโค่นล้ม คนที่ชอบอวดตัวเป็นอันธพาล มักจะถูกคนรังเกียจดูหมิ่นดูชัง คนอ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมจะได้รับการยอมรับนับถือ


ประโยชน์ของความอ่อน

สิ่งที่อ่อนนิ่มที่สุดในโลก ไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าน้ำ แม้ว่าน้ำจะอ่อนนิ่ม แต่ถ้ามีของแข็งแกร่งใดโจมตีมันสุดท้ายมันย่อมชนะอยู่ดี เช่น โยนก้อนหินลงในน้ำ ก็จะถูกมันกลบไว้ ไฟเจอน้ำก็จะดับ ดินเจอน้ำก็จะอ่อนตัว ไม้แช่ในน้ำก็จะเปื่อย เหล็กกล้าแช่ในน้ำก็จะขึ้นสนิม ไม่ว่าน้ำจะอยู่ที่ใดความอ่อนของมันย่อมไม่มีเปลี่ยนแปร ดังกล่าวข้างต้น เป็นทฤษฎีที่แสดงว่าอ่อนสามารถชนะแข็ง ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทุกคนต่างก็รู้ดี แต่น้อยคนนักท่าสามารถฝึกแบบน้ำ นักปราชญ์กล่าวไว้ว่า “คนที่สามารถรองรับความสกปรกและอัปยศของคนทั้งประเทศได้ ถึงจะชื่อว่าเป็นเจ้าของประเทศ” “สามารถรับภาระในเภทภัยของประเทศได้ ถึงจะชื่อว่าเป็นราชาแห่งใต้หล้า” ถ้อยคำถ่อมตัวฉะนี้ ก็คือความอ่อนโยนอันแท้จริงของปราชญ์

ปรัชญาของปราชญ์

คำพูดตรงไปตรงมา ย่อมไม่รื่นหู คำพูดประจบสอพลอ แม้รื่นหู แต่ใช่ว่าเกิดจากความจริงใจ จึงไม่น่าเชื่อถือ คำพูดดี ๆ เพราะ ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดยาว การพูดยาวใช่ว่าเป็นคำพูดที่ดี ผู้แสวงหาความรู้แจ้ง ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางโลกมาก การมีความรู้ทางโลกมาก กลับจะเป็นอุปสรรคต่อความรู้แจ้ง นี้คือหลักการของปราชญ์ที่ว่า “ยึดมั่นหนึ่งเดียวหมื่นเรื่องจบ” การมีความรู้ทางโลกมาก ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้รู้แจ้งเพราะการแสวงหาวัตถุนอกกาย ยิ่งหายิ่งไกล ยิ่งหายิ่งหลงไม่มีทางได้พบคำตอบที่แท้จริง ปราชญ์ไม่จำเป็นต้องแสวงหาความรู้ทางโลก หรือวัตถุนอกาย เขาเพียงแต่อุทิศพลังของตนช่วยเหลือคนโดยไม่หวังผลตอบแทน ปราชญ์ดั่งฟ้าที่ให้แต่คุณประโยชน์แก่สรรพสิ่ง ปรัชญาของปราชญ์ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติไม่แก่งแย่งกับใคร


//writer.dek-d.com/ospymobo/writer

1. ความเข้าใจเบื้องต้น

นอกจากสำนักขงจื่อแล้ว สำนักเต๋าถือเป็นอีกหนึ่งสำนักความคิดที่มีอิทธิพลต่อปรัชญาและวัฒนธรรมจีน ปรัชญาสำนักนี้ก่อกำเนิดขึ้นในยุคคลาสสิกของจีนเช่นเดียวกับปรัชญาสำนักขงจื่อคือยุคชุนชิวและจั้นกั๋ว (ยุคฤดูไม้ผลิ-ฤดูใบไม้ร่วง และยุคสงครามระหว่างรัฐ 722-221 ก่อนคริสต์ศักราช) สำนักเต๋าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปรัชญาเหลา-จวง (Lao-Zhuang Philosophy) เพราะอ้างอิงเนื้อหาปรัชญาจากคัมภีร์หลักของสำนักนี้คือ เต๋าเต๋อจิง (มักเรียกอีกอย่างว่า “คัมภีร์เหลาจื่อ”) และ จวงจื่อ อีกทั้งเพื่อแยกแยะความคิดทางปรัชญาออกจากพวกนิตินิยม (Legalism) ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นที่นำความคิดของสำนักเต๋ามาปรับใช้ ที่เรียกว่าแนวคิด “หวง-เหลา” (Huang-Lao) และแยกออกจากสำนักเต๋าใหม่ (Neo-daoism) ในยุคสมัยหลังราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีลักษณะของความเป็นศาสนาเต๋าและได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา หัวข้อสารานุกรมนี้จึงเน้นให้ความเข้าใจปรัชญาของสำนักเต๋าในยุคคลาสสิกเท่านั้น

คำว่า “สำนักเต๋า” (เต๋าเจีย) ไม่ได้มีที่มาจากการเรียกสำนักความคิดที่มีผู้ก่อตั้งสำนักอย่างชัดเจน เหมือนอย่าง “สำนักขงจื่อ” “เต๋าเจีย” เป็นคำที่ซือหม่าเชียนนักประวัติศาสตร์จีน (200 ปีก่อนคริสตศักราช) ได้จัดกลุ่มสำนักปรัชญาจีนเป็น 6 สำนัก คือ สำนักขงจื่อ (หรูเจีย ) สำนักเต๋า สำนักมั่วจื่อ (ม่อเจีย ) สำนักหยินหยาง สำนักนิตินิยม (ฝ่าเจีย) และ สำนักหมิง (หมิงเจีย) เกณฑ์การแบ่งของ ซือหม่าเชียนยึดตามข้อเสนอเรื่องศิลปะในการปกครอง มิได้แบ่งตามนักปรัชญาผู้ก่อตั้งสำนัก เนื่องจากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นแนวคิดหวง-เหลาซึ่งตีความปรัชญาของเหลาจื่อในมุมมองของนักนิตินิยม มีอิทธิพลในสมัยนั้น นักประวัติศาสตร์จึงนึกถึงเนื้อหาความคิดของหวง-เหลาเป็นหลักเมื่อใช้คำว่า “เต๋าเจีย” แต่ทั้งนี้ได้กำหนดให้เหลาจื่อ (600 ปีก่อนคริสตศักราช) และจวงจื่อ (ประมาณ 375-300 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นนักปรัชญาคนสำคัญของสำนักเต๋า และได้จัดหวยนานจื่อ (ประมาณ 140 ก่อนคริสตศักราช) และเลี่ยจื่อ (ประมาณคริสตศักราช 400) เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ในสำนักนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักของการเรียกแนวคิดนี้ว่า “สำนักเต๋า” เป็นเพราะปรัชญาสำนักนี้ให้ความสำคัญกับมโนทัศน์ “เต๋า” (วิถีหรือมรรควิธีที่แท้) เป็นหลักมากกว่าสำนักอื่น แม้ว่านักปรัชญาจีนยุคคลาสสิกต่างมุ่งหาคำตอบว่าอะไรคือ “เต๋า” หรือมรรควิธีที่แท้ แต่ทั้งขงจื่อและมั่วจื่อต่างเน้นให้คำอธิบายต่อมโนทัศน์ “เต๋า” ในเชิงเป็นวิถีมนุษย์เป็นหลัก ในขณะที่สำนักเต๋ามองมโนทัศน์ “เต๋า” เป็นสามลักษณะคือ 1) เต๋าในฐานะเป็นวิถีมนุษย์หรือสังคม 2) เทียนเต๋า หรือวิถีธรรมชาติ และ 3) เต๋าอันยิ่งใหญ่ (Great Dao) หรือสรรพสิ่งที่กำเนิดขึ้นและดำเนินไปในจักรวาลทั้งหมด สำนักเต๋าเน้นให้ความสำคัญกับเต๋าในแบบที่สองและสามซึ่งเป็นความเป็นจริงในเชิงอภิปรัชญา โดยมองว่าการที่มนุษย์จะดำเนินชีวิตได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับเต๋าอันยิ่งใหญ่จะต้องเข้าใจความเป็นจริงของวิถีธรรมชาติและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก ในขณะที่สำนักขงจื่อเน้นเต๋าที่เป็นวิถีมนุษย์หรือจริยธรรมเป็นหลัก การที่สำนักเต๋าถกเถียงกับสำนักขงจื่อในเรื่องความ หมายของ “เต๋า” กับ “เต๋อ” (คุณธรรมหรือพลัง) นั้น มิได้ถกเถียงกันในแง่การให้ความหมายเชิงภววิทยา แต่ถกเถียงกันในแง่ว่ามนุษย์ควรจะตอบสนองหรือมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับมนุษย์ ปรากฏการณ์ และสิ่งอื่นใดในโลกที่เป็นบริบทแวดล้อมและสัมพันธ์กับเรา สำหรับสำนักเต๋า “เต๋า” จึงมิใช่เป็นเพียงความจริงบางอย่างที่ถูกค้นพบ หากแต่เป็นทั้งทางที่เราเดินตามและทางที่เราถูกปล่อยไปตาม ดังที่จวงจื่อกล่าวไว้ว่า “อันวิถีทางจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการเดินทาง” (ปกรณ์, 2540: หน้า 36)

การที่สำนักเต๋าเน้นการหวนกลับคืนสู่วิถีธรรมชาติและดูเหมือนมีท่าทีปฏิเสธสังคม พวกอัตนิยม (egoism) และกลุ่มที่หลีกลี้สังคม จึงถูกจัดให้เป็นพวกสำนักเต๋าด้วย แต่ทั้งนี้ยังเป็นพวกเต๋าแรกเริ่มซึ่งยังไม่ได้พัฒนาความคิดเกี่ยวกับมรรควิธีอย่างชัดเจน นักปรัชญาของสำนักเต๋าที่พิจารณาและให้คำตอบเชิงปรัชญาอย่างลุ่มลึกต่อปัญหาการจัดระเบียบสังคม การปกครอง และวิถีปฏิบัติในการดำเนินชีวิตซึ่งเป็นปัญหาหลักในปรัชญาจีนยุคคลาสสิก คือ เหลาจื่อ และจวงจื่อ แม้ว่าทั้งคู่จะสนใจต่อความเป็นจริงสูงสุดหรือ “เต๋า” เหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างบางประการที่มีนัยสำคัญต่อการศึกษาปรัชญาของทั้งสอง คือ ทั้งเหลาจื่อและจวงจื่อมี “คู่สนทนา” หรือเป้าหมายในการถกเถียงโต้แย้งแตกต่างกัน การพิจารณาปัญหาเชิงปรัชญาบางประการจึงแตกต่างกันไปด้วย รวมทั้งวิธีการเขียนคัมภีร์ก็แตกต่างกัน เหลาจื่อเขียนเต๋าเต๋อจิงเป็นบทกวีสั้นๆ ในลักษณะรำพึงรำพันผู้เดียว และมุ่งวิพากษ์วิจารณ์หลักการปกครองของสำนักขงจื่อที่ให้ความสำคัญกับจารีต วัฒนธรรม และคุณธรรมต่างๆ เป็นหลัก ในขณะที่จวงจื่อเสนอปรัชญาของตนผ่านเรื่องเล่าที่ในบางบทมีการสนทนาถกเถียงกัน และมีการใช้ภาษาที่เต็มไปด้วยวรรณศิลป์ทั้งอุปมาอุปไมย ปฎิบท และเรื่องเล่าในเชิงขบขัน ประชดประชัน อีกทั้งจวงจื่อมุ่งถกเถียงประเด็นเรื่องภาษา ความรู้ และความจริงกับนักปรัชญาสำนักแห่งนามอย่างโดดเด่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งฮุ่ยจื่อ

สิ่งที่ควรพึงใส่ใจอีกประการหนึ่งเมื่อศึกษาปรัชญาสำนักเต๋าคือ การมีกรอบความคิดว่าสำนักขงจื่อและสำนักเต๋ามีเนื้อหาความคิดที่ตรงข้ามกันเหมือนขั้วหยิน-หยาง ภาพของสำนักเต๋าที่มักเข้าใจกัน คือเป็นแนวคิดที่วิพากษ์และเป็นส่วนเสริมปรัชญาสำนักขงจื่อ สำนักเต๋าจึงมักถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่เน้นการไม่ตอบสนอง ให้ความสำคัญกับเพศหญิง รักความสันโดษ เน้นพัฒนาจิตวิญญาณ มีลักษณะเป็นรหัสยลัทธิ และยึดถือวิถีชีวิตเฉกเช่นศิลปิน รวมทั้งมีท่าทีเชิงอนาธิปไตย วิมัตินิยม สัมพัทธนิยม และปฏิเสธสังคม ในทางตรงกันข้าม สำนักขงจื่อมักถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่เน้นการสั่งสอนคุณธรรม ยึดถือขนบจารีต และให้ความสำคัญกับการปกครองโดยอำนาจของกษัตริย์และขุนนาง การมีกรอบความคิดว่าสองสำนักนี้มีเนื้อหาความคิดที่ตรงข้ามกันเหมือนขั้วหยิน-หยาง เป็นการทำลายความเข้าใจที่ลึกซึ้งและซับซ้อนต่อปรัชญาทั้งสองสำนักนี้ อันที่จริงแล้วทั้งสองต่างมีพื้นฐานความคิดบางอย่างที่มีร่วมกันหรือใกล้เคียงกัน อาทิเช่น ทั้งสองสำนักต่างเน้นเรื่องการขัดเกลาการฝึกฝนตน และมองการดำเนินชีวิตในเชิงสุนทรีย์ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการแสวงหามรรควิธีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในโลกนี้มากกว่ามุ่งหาความเป็นจริงที่เป็นนามธรรมและอุดมคติ อีกทั้งยังยอมรับลักษณะเฉพาะและความสำคัญพื้นฐานของบุคคลในการมีส่วนร่วมกำหนดโลก โดยเล็งเห็นความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกของสิ่งแวดล้อมและบริบทที่ปัจเจกบุคคลนั้นสัมพันธ์ด้วย เดวิด ฮอลล์ และโรเจอร์ เอมส์ (Hall and Ames, 1998) เสนอว่าทั้งสองสำนักต่างเน้นแนวคิดเรื่อง “ความอ่อนน้อม” (deference) กล่าวคือ สำหรับสำนักขงจื่อ แนวคิดนี้สะท้อนผ่านคุณธรรม ซู่ หรือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ในขณะที่สำนักเต๋าแนวคิดเรื่องการอ่อนน้อม จะสะท้อนผ่าน อู๋เหวย หรือการกระทำโดยไม่กระทำ

อย่างไรก็ตาม สำนักเต๋าและสำนักขงจื่อ มีความแตกต่างบางประการที่มีนัยสำคัญเช่นกัน พวกเต๋ามองว่า สำนักขงจื่อเข้าใจมรรควิธีว่าเป็นวิถีแห่งมนุษย์ ซึ่งเป็นการมองโลกโดยแบ่งแยกมนุษย์กับธรรมชาติออกจากกันอย่างชัดเจน สำนักเต๋าจึงโต้แย้งสำนักขงจื่อว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับโลกธรรมชาติเท่าที่ควร จึงได้เน้นการขัดเกลาและฝึกฝนตนในบริบทของวัฒนธรรมหรือโลกมนุษย์เป็นหลัก แต่สำหรับสำนักเต๋า การขัดเกลาฝึกฝนตนมิใช่กำหนดอย่างง่ายดายภายในบริบทของโลกมนุษย์ การดำรงอยู่ของมนุษย์ในกระบวนการทั้งหมดมิใช่จะถูกกำหนดโดยลดทอนเป็นเพียงคุณค่าและเป้าหมายของมนุษย์เท่านั้น หากแต่จะต้องถอดถอนมนุษย์จากการเป็นศูนย์กลางในการกำหนดคุณค่า ความหมาย และหลักปฏิบัติต่างๆ แล้วมีชีวิตอย่างกลมกลืนกับกระบวนการของโลกธรรมชาติ


2. มโนทัศน์สำคัญของปรัชญาสำนักเต๋า
2.1 เต๋า
แม้ว่า “เต๋า” จะเป็นคำที่ใช้ทั่วไปในยุคคลาสสิกเพื่อสื่อถึง “วิถี” “หนทาง” และ “การนำทาง” แต่สำนักเต๋าใช้คำนี้เพื่อสื่อถึงความเป็นจริงสูงสุดที่เป็นกระบวนการอันเป็นพลวัตของโลกทั้งหมด และสื่อถึง “วิถี” ธรรมชาติ สำนักเต๋ามองโลกว่าไร้ระเบียบและเป็นที่รวมความเป็นไปได้ของแบบแผนต่างๆ การเข้าใจโลกจึงมิใช่การเข้าใจผ่านกฎวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆได้โดยอยู่บนโลกทัศน์ว่ามีความจริงสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวที่อธิบายทุกสิ่งได้ (the One behind the many) การเข้าใจ “เต๋า” จะต้องเข้าใจผ่านกรอบความคิดเฉพาะบางกรอบ (เต๋อ) เสมอ ทั้งนี้เป็นเพราะสำนักเต๋ารวมทั้งปรัชญาจีนยุคคลาสสิกทั้งหมด ไม่ได้มองจักรวาลในลักษณะที่มีต้นกำเนิดมาจากอำนาจของผู้สร้าง (creation ex nihilo) และทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่และดำเนินภายในกฎเดียว (single-ordered world) หากแต่มองว่าโลกธรรมชาติคือที่รวมทุกสรรพสิ่ง ( วั่นอู้) ซึ่งไม่อาจแยกออกจากกันได้ และมีกระบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นไปเอง ( จื้อหราน) โดยไม่ต้องมีกฎสากลหรือผู้กระทำภายนอกเป็นตัวกำหนด ด้วยเหตุนี้ ความต่อเนื่องที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ของสรรพสิ่งจึงทำให้ “เต๋า” เป็น “หนึ่ง” เดียว ส่วนความแตกต่างของสรรพสิ่งในโลกทำให้ “เต๋า” มีความหลากหลาย และความเปลี่ยนแปลงในโลกทำให้ “เต๋า” เป็นกระบวนการที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การที่นักปรัชญาจีนยุคคลาสสิกมองว่าเวลาไม่แยกออกจากปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ทำให้แนวคิดเรื่องการเป็นอมตะ ไม่ใช่ประเด็นที่นักปรัชญาจีนสนใจ การหาความเป็นจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาอย่างที่เพลโตหาในโลกของแบบ ไม่ปรากฏในปรัชญาจีนยุคคลาสสิก ด้วยเหตุนี้ “เต๋า” จึงไม่ใช่ความเป็นจริงเหนือกาลเวลาที่แยกต่างหากจากโลก หากแต่เป็นกระบวนการของการกลายหรือการแปรเปลี่ยนภายในโลกทั้งหมด การที่สำนักเต๋าเสนอให้เราหวนกลับสู่ “เต๋า” หรือต้นกำเนิดของสรรพสิ่งจึงมิใช่การทำตัวให้อยู่เหนือกาลเวลา หากแต่คือการหลอมรวมกับพลังและที่มาของความเปลี่ยนแปลงในโลก

การที่ทั้งเหลาจื่อและจวงจื่อมองว่า “เต๋า” เป็นความเป็นจริงสูงสุดที่ยากจะหยั่งถึงและไม่สามารถให้นามได้ มิใช่หมายความว่ามนุษย์ไม่อาจเข้าใจความเป็นจริงนี้ได้เลย หากแต่เหลาจื่อและจวงจื่อต้องการย้ำเตือนว่าการเข้าใจ “เต๋า” ไม่อาจเข้าใจผ่านภาษาได้ทั้งหมด แม้ว่าทั้งคู่จะเข้าใจข้อจำกัดของภาษาในการสื่อความหมายของ “เต๋า” ก็จริง แต่ในเมื่อจำเป็นต้องใช้ภาษาสื่อความ ทั้งสองจึงใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์เพื่อให้ผู้คนเข้าใจความเป็นจริงนี้ได้มากที่สุด สำหรับเหลาจื่อ “เต๋า” จะปรากฏผ่านกระบวนการกลายสภาพ (process of becoming) ของการมีสภาวะ (being) และไร้สภาวะ (non-being) กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งจะต้องดำเนินไปสู่ภาวะตรงข้ามเสมอ เช่น จากมืดไปสว่าง จากฤดูร้อนไปสู่ฤดูหนาว เป็นต้น ภาวะตรงข้ามนี้ไม่ใช่ขั้วขัดแย้งหากแต่เป็นภาวะที่อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ดังเช่นในเต๋าเต๋อจิงบทที่ 2 กล่าวถึงความน่าเกลียดอุบัติขึ้นเพราะมนุษย์รู้จักความสวย ความชั่วอุบัติขึ้นเพราะมนุษย์รู้จักความดี และบทที่ 11 กล่าวถึงประโยชน์ของ “การไร้สภาวะ” ว่าหากไม่มีความว่าง หม้อย่อมไม่อาจนำไปใส่น้ำได้ ล้อที่ไม่มีช่องรูของดุมล้อ ย่อมไม่อาจใช้งานได้ เป็นต้น การที่เหลาจื่อใช้ปฎิบทในเต๋าเต๋อจิง เช่น รูปที่ไร้รูป สดับฟังแต่มิอาจได้ยิน เป็นต้น ก็เพื่อสื่อให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดคงอยู่ในสภาวะใดๆ นั้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มีรูปย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะไร้รูปและที่มีรูปได้ก็เพราะมีความไร้รูปเกิดขึ้นด้วย การที่สรรพสิ่งดำเนินไปตามกระบวนการกลายของภาวะหยิน-หยางดังกล่าวอย่างต่อ เนื่อง เหลาจื่อจึงกล่าวถึง “เต๋า” ในทำนองว่าเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ดังที่ในเต๋าเต๋อจิง บทที่ 42 บันทึกไว้ว่า

“ธรรมวิถี (เต๋า) ก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง สองก่อกำเนิดสาม
สามก่อกำเนิดสกลสิ่ง
สกลสิ่งล้วนแบกไว้ซึ่ง ‘อิน’ (หยิน) และกอดไว้ซึ่ง ‘หยัง’ (หยาง)
ประกอบด้วย ‘ปราณ’ (ชี่) จนเกิด ‘ดุลยภาพ’ ” (ปกรณ์, 2547: หน้า 84, คำในวงเล็บเป็นของผู้เรียบเรียง)

อย่างไรก็ตาม การที่เหลาจื่อให้ภาพความเข้าใจอาการของ “เต๋า” ในเชิงอ่อน เช่น การใช้สัญลักษณ์น้ำทารก และเพศหญิงเพื่อสื่อถึงพลังของเต๋า มิได้หมายความว่า “เต๋า” คือความเป็นจริงที่เป็นขั้ว “ไร้สภาวะ” เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่า “การไร้สภาวะ” ก็ต้องอิงอาศัยกับ “การมีสภาวะ” ด้วย แต่ที่เหลาจื่อให้ค่ากับพลังเชิงอ่อนก็เพราะการ “ไร้สภาวะ” เป็นความจริงพื้นฐานกว่า รุ่มรวยกว่า (ใช้ได้อย่างไม่จำกัด) และมีพลังสร้างสรรค์กว่า “การมีสภาวะ” นั่นเอง นอกจากนี้ ผู้คนมักมองไม่เห็นหรือไม่ให้ความสำคัญกับความเป็นจริงพื้นฐานนี้จนกระทั่งให้ค่ากับการมีสภาวะบางอย่างมากเกินไป เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เหลาจื่อจึงเสนอให้มนุษย์หันมาหลอมรวมกับ “เต๋า” หรือหวนคืนสู่ต้นกำเนิดด้วยการทำตัวให้ “ไร้สภาวะ” หรือให้ค่ากับภาวะเชิงอ่อน เช่น ลดการกระทำ ลดความอยากความปรารถนา ลดความรู้ฝ่ายโลก เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ สำหรับเหลาจื่อ “เต๋า” จึงมิได้เป็นเพียงความเป็นจริงเชิงอภิปรัชญาเท่านั้น แต่รวมถึงวิถีปฏิบัติที่อาศัยอาการและพลังของ “เต๋า” ที่เป็นวิถีธรรมชาติเป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติของมนุษย์

ส่วนจวงจื่อมอง “เต๋า” เช่นเดียวกับเหลาจื่อ แต่จวงจื่อแสดงความเข้าใจนี้ผ่านทัศนะที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างภาษา ความรู้ และความจริง กล่าวคือ ความสามารถของมนุษย์ที่จะเอ่ยถึง “เต๋า” ในฐานะที่เป็นต้นกำเนิดและวิถีของจักรวาลขึ้นอยู่กับความสามารถของภาษาของมนุษย์ด้วย จวงจื่อกล่าวไว้ว่า

“สรรพสิ่งนานากับตัวข้าก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ในเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว การเอ่ยวาจาแก่กันจะมีได้ฉันใด ในเมื่อได้เอ่ยวาจากล่าวว่าเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว การมิได้เอ่ยวาจาจะเป็นได้ฉันใด จำนวน 1 กับการกล่าววาจารวมกันได้เป็น 2 2 รวมกับ 1 ย่อมกลายเป็น 3 จากจุดนี้ หากสืบสาวดำเนินไปเรื่อยๆ แม้แต่คณิตกรผู้ปรีชาก็ยังมิอาจคำนวณถึงจุดจบได้ อย่าว่าแต่สามัญชนเช่นเราเลย ในเมื่อนับจากความไม่มีไปสู่ความมีอยู่ก็ยังได้จำนวนเป็นถึง 3 เช่นนี้ การนับจากความมีอยู่ไปสู่ความมีอยู่ ก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง จึงมิควรดำเนินการใดๆ ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมเถิด” (ปกรณ์, 2540: หน้า 44)

คำกล่าวของจวงจื่อดังกล่าวต้องการย้ำเตือนว่าภาษามีข้อจำกัด และภาษาทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่า “เต๋า” มีตัวตนหรือมีสภาวะอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะการให้นาม “เต๋า” ได้กำหนดความมีสภาวะให้เกิดขึ้นไปด้วย ดังที่จวงจื่อกล่าวไว้ว่า “สรรพสิ่งมีขึ้นได้เพราะการขนานเรียก” (ปกรณ์, 2540: หน้า 36) การเข้าใจ “เต๋า” อย่างถ่องแท้จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ผ่านการใช้ภาษาเท่านั้น

2.2 เต๋อ
“เต๋อ” มักถูกแปลว่า “คุณธรรม” ทำให้เข้าใจว่ามีความหมายเช่นเดียวกับ “คุณธรรม” ในปรัชญากรีก แต่ “เต๋อ” มีนัยเชิงจักรวาลวิทยาที่สัมพันธ์กับ “เต๋า” อย่างแนบแน่น “เต๋อ” ยังถูกแปลว่าเป็น “พลัง” ที่ทำให้กิจต่างๆประสบความสำเร็จ “เต๋อ” จึงเป็นความสามารถที่จะแสดงหรือปฏิบัติตามมรรควิธีอย่างถูกต้องและงดงาม ความสามารถนี้รวมทั้งความสามารถที่ผ่านกระบวนการขัดเกลาตนและที่ไม่ต้องผ่านการเรียนรู้ “เต๋อ” จึงอาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือเพิ่มพูนได้ภายหลัง นอกจากนี้ “เต๋อ” เป็นมโนทัศน์ที่จะต้องเข้าใจควบคู่กับ “เต๋า” เพราะหากมองในภาพใหญ่แล้ว “เต๋า” คือกระบวนการที่เป็นพลวัตของโลกทั้งหมดและเป็นที่รวมของสิ่งเฉพาะมากมาย ซึ่งแต่ละสิ่งเหล่านี้ต่างมี “เต๋อ” ของตน แต่หากมองในภาพย่อยผ่านมุมมองของปัจเจกบุคคลแล้ว “เต๋อ” ของคนๆ นั้นจะต้องพัฒนาหรือเพิ่มพูนภายในบริบทหรือสิ่งแวดล้อมที่สิ่งนั้นสัมพันธ์ด้วยเสมอ หากมองในกรอบของปรัชญาสำนักขงจื่อแล้ว “เต๋อ” ของปัจเจกบุคคลจะพัฒนาและเพิ่มพูนได้ภายในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชุมชนมนุษย์ที่งดงามเท่านั้น ในขณะที่สำนักเต๋ามองว่า “เต๋อ” ของมนุษย์จะเพิ่มพูนหากพัฒนาในบริบทของโลกธรรมชาติซึ่งยิ่งใหญ่กว่า ภาพความสัมพันธ์ของ “เต๋า” และ “เต๋อ” จึงเป็นในลักษณะที่ “เต๋า” เป็น “สนาม” หรือ “พื้นที่” (field) ส่วน “เต๋อ” เป็นองค์ประกอบหรือมุมมองบางอย่างที่ “เฉพาะเจาะจง” (focus) ซึ่งอยู่ในสนามนั้น

ตัวอย่างตัวบทที่ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง “เต๋า” กับ “เต๋อ” ดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้นคือ บทสนทนาระหว่างจวงจื่อและฮุ่ยจื่อริมแม่น้ำหาว

“จวงจื่อกับฮุ่ยจื่อกำลังเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำหาว จวงจื่อกล่าวขึ้นมาว่า ‘ดูปลาซิวโน่นสิ มันแหวกว่ายไปมาตามใจชอบ นี่คือสิ่งปลาชอบจริงๆ’

ฮุ่ยจื่อโต้ตอบว่า ‘ท่านมิใช่ปลา ท่านรู้ได้อย่างไรว่าปลาชอบอะไร’

จวงจื่อตอบกลับว่า ‘ท่านมิใช่เรา ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่รู้ว่าปลาชอบอะไร’

ฮุ่ยจื่อตอบว่า ‘เรามิใช่ท่าน เราย่อมไม่รู้ว่าท่านรู้อะไร แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็มิใช่ปลาอย่างแน่นอน ซึ่งย่อมพิสูจน์ว่าท่านก็ไม่รู้ว่าปลาชอบอะไร’

จวงจื่อจึงตอบกลับไปว่า ‘เรากลับไปที่คำถามเดิมของท่านดีกว่า ท่านถามเราว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าปลาชอบอะไร ดังนั้นแสดงว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าเรารู้ เมื่อท่านตั้งคำถามนั้นเรารู้ได้โดยการยืนอยู่ที่นี่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำหาว’ (สุวรรณา, 2539: หน้า 135-136)

ในบทนี้จวงจื่อไม่ได้ต้องการใช้ความกำกวมของภาษาเพื่อโต้แย้งฮุ่ยจื่อ หากแต่ต้องการแสดงให้เห็นข้อจำกัดของวิธีการทางตรรกะที่ฮุ่ยจื่อใช้ รวมทั้งต้องการปฏิเสธความเป็นภววิสัยของความรู้ที่แยกโลกที่ถูกรู้ (เต๋า) ออกจากตัวผู้รู้ (เต๋อ) กล่าวคือ ความรู้ที่จวงจื่อมีเป็นความรู้ที่มาจากการสัมพันธ์กับสรรพสิ่งตามกรอบความคิดในแต่ละสถานการณ์ ทั้งจวงจื่อ ปลา และฮุ่ยจื่อ ต่างเป็นส่วนหนึ่งในสถานการณ์ริมฝั่งแม่น้ำหาว ความรู้ “จากที่นี่” เป็นความรู้ที่จวงจื่อ “ลืม” การแบ่งแยกสิ่งที่ถูกรู้ คือปลาและฮุ่ยจื่อกับผู้รู้คือตัวจวงจื่อ อันเป็นการเชื่อมโยงโลกของปลาและฮุ่ยจื่อ เข้ากับโลกของจวงจื่อที่มีกรอบความคิดในการมองโลกตรงริมแม้น้ำหาว ณ กรอบความคิดในการมองโลกริมแม่น้ำหาว จวงจื่อตีความหรือใช้จินตนาการสรุปว่าอาการแหวกว่ายของปลาแสดงว่าปลากำลังมีความสุข อีกทั้งเชื่อมโยงกับโลกของฮุ่ยจื่อด้วยการใช้วิธีทางตรรกะตอบโต้ จวงจื่อจึงหลอมรวมความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่กำลังถูกรู้กับผู้รู้จนไม่มีการแบ่งแยก ทำให้โลกของจวงจื่อกับโลกของปลาและ ฮุ่ยจื่อสัมพันธ์กันได้ จวงจื่อจึงได้รื่นรมย์ไปพร้อมกับความสุขของปลา รวมทั้งรื่นรมย์ไปกับการปะทะคารมกับฮุ่ยจื่อ การที่ฮุ่ยจื่อถามจวงจื่อว่ารู้ได้อย่างไรว่าปลามีความสุขจริงหรือ แล้วจวงจื่อตอบว่ารู้จากที่นี้ ริมแม่น้ำหาว จึงเป็นการบอกว่าความรู้เชิงข้อเท็จจริงบางอย่าง (ความรู้ที่ว่าปลามีความสุขจริงๆ หรือไม่ และความรู้ที่ว่าจวงจื่อรู้หรือไม่ว่าปลามีความสุข) อาจไม่สำคัญเท่ากับความรู้ที่เราสัมพันธ์กับสรรพสิ่งตามกรอบความคิดในแต่ละสถานการณ์ ความรู้แบบนี้ต่างหากที่สำคัญในการดำเนินชีวิตได้อย่างรื่นรมย์ บทสนทนานี้จึงสะท้อนข้อเสนอของสำนักเต๋าเรื่อง “อู๋จื้อ” หรือการละทิ้งความรู้ฝ่ายโลก (ความรู้ที่มุ่งจัดการและควบคุมโลก) และความรู้ที่แบ่งแยกโลกอย่างเป็นภววิสัยด้วย ซึ่งเป็นข้อเสนอหนึ่งที่สำนักเต๋าเสนอให้มนุษย์มีท่าทีเช่นนี้เมื่อสัมพันธ์กับโลก

2.3 อู๋เหวย
นอกจากจะเสนอให้ละทิ้งความรู้ฝ่ายโลก และความรู้ที่แบ่งแยกผู้รู้ออกจากสิ่งที่ถูกรู้อย่างเป็นภววิสัยแล้ว สำนักเต๋ายังมองว่าการละทิ้งความรู้ดังกล่าวในที่สุดแล้วจะทำให้มนุษย์ปฏิบัติต่อโลกด้วยการกระทำที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติที่เรียกว่า “อู๋เหวย” เป็นที่ถกเถียงกันมากว่า “อู๋เหวย” หมายความว่าอย่างไร คำว่า “อู๋” ในภาษาจีนหมายถึง “ไม่มี” แต่เมื่อพิจารณาควบคู่ทั้งสองคำแล้วผู้แปลส่วนใหญ่มักตีความในเชิงเป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติว่าเป็นการ “หลีกเลี่ยงการกระทำ” บางอย่าง ปัญหาจึงอยู่ที่คำว่า “เหวย” ซึ่งอาจหมายถึงให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่มีการไตร่ตรองหรือมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง หรืออาจจะหมายถึงหลีกเลี่ยงการกระทำที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ การตีความเช่นนี้พิจารณาจากท่าทีของสำนักเต๋าที่ปฏิเสธสังคมและให้ความสำคัญกับโลกธรรมชาติ

ในภาษาไทยมักแปล “อู๋เหวย” ว่า “การไม่กระทำ” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าอู๋เหวยคือการนิ่งเฉยไม่กระทำอะไรเลย ที่จริงแล้วอู๋เหวย คือการกระทำที่ “จื้อหราน” หรือ “เป็นไปเอง” ซึ่งเป็นการกระทำที่อ่อนน้อม ไม่แทรกแซงบังคับ ไม่ต้องใช้ความพยายาม และไม่ใช่การกระทำที่ยืนกรานอะไรบางอย่าง (nonassertive) หากมนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งด้วยท่าที “อู๋เหวย” กิจต่างๆ จะสามารถดำเนินไปได้เอง ดังที่ เต๋าเต๋อจิง บทที่ 37 บันทึกไว้ว่า

“ธรรมวิถี (เต๋า) ย่อมประกอบนิรกรรม (อู๋เหวย) เป็นนิจ โดยมิมีกิจใดที่ไม่ประกอบ แม้นราชะผู้เป็นเจ้าสามารถผดุงไว้ได้ สกลสิ่งย่อมผันแปรไปด้วยตนเอง” (ปกรณ์, 2547: หน้า 74, คำในวงเล็บเป็นของผู้เรียบเรียง)

อู๋เหวยจึงเป็นการกระทำที่ตระหนักถึงตัวตนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งและต้องสัมพันธ์กับสรรพสิ่ง เมื่อเราพัฒนา “เต๋อ” ของเราและดำเนินตามเป้าหมายที่วางไว้ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องส่งเสริมเกื้อหนุนสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วย

ในเต๋าเต๋อจิง จะกล่าวถึง “อู๋เหวย” ในบริบทของการปกครองเป็นหลัก โดยเสนอว่า “การปกครองโดยไม่ปกครอง” ถือเป็นศิลปะแห่งการปกครองสูงสุด ดังในเต๋าเต๋อจิง บทที่ 57 บันทึกไว้ว่า

“อริยมนุษย์จึงกล่าวไว้ว่า ‘ข้ามิกอปรกรรม ประชาธรรมก็บังเกิดเอง
ข้ารักนิ่งสงบ ประชาก็พบครรลองเอง ข้าปราศจากกิจ ประชาก็บริบูรณ์เอง
ข้ามิปรารถนา ประชาก็เรียบง่ายพอใจเอง’” (ปกรณ์, 2547: หน้า 114)

โดยทั่วไป “อำนาจ” การปกครองที่รัฐใช้ เป็นอำนาจที่เกิดขึ้นโดยใช้กฎหมายและกำลังบังคับเป็นเครื่องมือ ควบคุมประชาชน แต่สำนักเต๋าเสนอให้รัฐลดการใช้อำนาจดังกล่าว แล้วหันมาใช้ “อำนาจ” ที่เป็นพลังเชิงอ่อนแทน กล่าวคือ รัฐควรหยุดการกระทำที่เป็น “อำนาจ” ในเชิงควบคุม คุกคาม ขู่เข็ญ เช่น ลดการออกคำสั่ง กฎหมาย การทำสงคราม ข้อกำหนด มาตรฐานคุณค่าต่างๆ การยกย่องเชิดชูให้รางวัลและลงโทษ การส่งเสริมวิทยาการความรู้ที่ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของประชาชน เป็นต้น สำนักเต๋ามองว่าหากรัฐทำเช่นนี้ได้สังคมและประชาชนทั้งหมดจะค่อยๆ หวนคืนสู่วิถีธรรมชาติดั้งเดิมของตนได้เอง ด้วยหลักการปกครองโดยไม่ปกครองนี่เอง เหลาจื่อจึงจัดอันดับให้ผู้ปกครองที่ประชาชนเพียงรู้ว่ามีอยู่ เป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด ดังเต๋าเต๋อจิง บทที่ 17 บันทึกไว้ว่า

“เบื้องบนชั้นวิเศษสุด ผู้อยู่เบื้องล่างเพียงรู้ว่ามีอยู่
ระดับถัดมา เบื้องล่างรู้สึกสนิทใจ
ระดับถัดมา เบื้องล่างแซ่ซ้องสดุดี
ระดับถัดมา เบื้องล่างหวาดหวั่นยำเกรง
ระดับถัดมา เบื้องล่างปรามาสหมิ่นแคลน” (ปกรณ์, 2547: หน้า 34)

สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่ง คือ นอกจากสำนักเต๋าจะเสนอให้มนุษย์สัมพันธ์กับโลกโดยการให้ละทิ้ง “ความรู้” และ “การกระทำ” บางอย่างแล้ว ยังให้ลด “ความปรารถนา” ด้วย ประโยคที่ว่า “ข้ามิปรารถนา ประชาก็เรียบง่ายพอใจเอง” มิใช่หมายความว่าไม่ให้ปรารถนาสิ่งใด หากแต่เป็นการให้ลดความปรารถนาที่จะครอบครองควบคุมนั่นเอง

ส่วนในจวงจื่อกลุ่มบทในไม่ได้อธิบาย “อู๋เหวย” ในบริบทของการปกครองอย่างโดดเด่นเฉกเช่น เต๋าเต๋อจิง แต่จวงจื่อเน้นให้ความเข้าใจ “อู๋เหวย” ในบริบทของปัจเจกบุคคล โดยอธิบายลักษณะและท่าทีของผู้ที่สามารถปฏิบัติ “อู๋เหวย” หรือสามารถสร้างความกลมกลืนระหว่างตัวตน การกระทำ และโลกที่สัมพันธ์ได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ผ่านทักษะและลีลาการแล่เนื้อของพ่อครัวติง (จวงจื่อ บทที่ 3) (ปกรณ์, 2540: หน้า 60-64) เรื่องราวของพ่อครัวติงนี้ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าจวงจื่อมองการกระทำที่กลมกลืนกับธรรมชาติคือการกระทำที่มาจากทักษะซึ่งสามารถ “ลืม” การแยกแยะจนกระทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม


3. การแปรเปลี่ยน

การที่สำนักเต๋าเสนอให้มนุษย์สัมพันธ์กับโลกด้วยท่าทีอ่อนน้อมเป็นเพราะสำนักเต๋ามองว่าโลกไร้ระเบียบและสรรพสิ่งต่างแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจหาจุด “เริ่มต้น” และ “สิ้นสุด” ได้ บทที่มีชื่อเสียงในจวงจื่อที่ทำให้เข้าใจเรื่องความแปรเปลี่ยนอย่างโดดเด่นที่สุดคือ บทที่ว่าด้วยจวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ

“ครั้งหนึ่งจวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ รื่นเริงลอยร่อนด้วยจิตวิญญาณแห่งผีเสื้ออันแท้ จะรู้ว่ามีตัวตนของความเป็นจวงจื่ออยู่ก็หาไม่ และโดยพลันทันใดนั้นก็ตื่นฟื้นคืนมาพบว่ามีจวงจื่อเป็นตัวตนอยู่จริง จึงไม่แน่ใจว่าจวงจื่อฝันเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันว่าเป็นจวงจื่อกันแน่ จวงจื่อกับผีเสื้อนั้นย่อมมีตัวตนแยกต่างจากกัน นี่แลจึงกล่าวว่าสรรพสิ่งย่อมแปรเปลี่ยนสภาวะ” (ปกรณ์, 2540: หน้า 59)

โดยทั่วไป ผู้ที่ตีความว่าจวงจื่อเป็นวิมัตินิยม (scepticism) มักใช้บทนี้อ้างเหตุผลสนับสนุนความคิดดังกล่าว กล่าวคือ จวงจื่อกำลังยืนยันถึงการไร้ความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่าบทดังกล่าว ไม่ได้แสดงท่าทีวิมัตินิยม การที่จวงจื่อเห็นว่าทั้งจวงจื่อและผีเสื้อนั้นแตกต่างกันและแยกแยะออกจากกันได้ แต่พอตื่นแล้วกลับยังไม่แน่ใจ ตรงนี้เองที่เป็น “การตื่น” อย่างแท้จริง เพราะทำให้จวงจื่อรู้ว่าสรรพสิ่งต่างแปรเปลี่ยนไม่สามารถแบ่งแยกความแตกต่างและความหมายได้อย่างเด็ดขาดชัดเจน แม้กระทั้งตัวตนของเราเมื่อสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ในสถานการณ์ของ “ผู้ฝัน” และ “สิ่งที่ฝันถึง” ธรรมชาติและจักรวาลจึงเป็นการคละกันระหว่าง “การมีสภาวะ” กับ “การไร้สภาวะ” ซึ่งทำให้สรรพสิ่งมีความแตกต่างซึ่งมีลักษณะเฉพาะของมัน แต่ก็อยู่ร่วมกันสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว การที่มนุษย์แบ่งแยกและให้ความหมายแก่โลกได้เป็นเพราะข้อกำหนดของมนุษย์เอง แต่มนุษย์มักคิดว่ามโนทัศน์ในทางภาษาสะท้อนความเป็นจริงของโลก ด้วยเหตุนี้ เมื่อมนุษย์กระทำต่อโลกในแต่ละสถานการณ์ จึงทำไปโดยตอบสนองต่อมโนทัศน์เหล่านี้ แทนที่จะกระทำโดยลื่นไหลไปตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ การเข้าไปจัดการ ควบคุม แทรกแซง และแบ่งแยกอย่างเป็นภววิสัยจึงเป็นการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ดังที่จวงจื่อกล่าวไว้ในบทสุดท้ายของจวงจื่อ กลุ่มบทในว่า

“เจ้าครองสมุทรทักษิณมีนามว่า ‘สู’ (ว่องไว) เจ้าครองสมุทรทางทิศเหนือมีนามว่า ‘ฮู’ (ฉับพลัน) ส่วนเจ้ากลางเกษียรสมุทรมีนามว่า ‘หุนตุ้น’ (ความไร้ระเบียบ) สูกับฮูมักจะไปชุมนุมสำราญกันในอาณาเขตของหุนตุ้น และที่ได้รับการต้อนรับดูแลเป็นอย่างดีเสมอ ทั้งสองจึงปรึกษาหาวิธีที่จะตอบแทนน้ำใจของหุนตุ้น ได้ข้อสรุปว่า มนุษย์ทั้งหลายล้วนมีทวารเจ็ดไว้สำหรับพิศชม ดมดอม ดื่มกิน และสดับฟัง โดยที่หุนตุ้นหามีแท้แต่ทวารเดียวไม่ จึงควรที่จะช่วยกันเจาะทวารให้ ดังนั้น สูกับฮูจึงช่วยกันเจาะทวารให้หุนตุ้นวันละทวาร พอครบเจ็ดวัน หุนตุ้นก็ถึงแก่ความตาย” (ปกรณ์, 2540: หน้า 167, ข้อความในวงเล็บเป็นของผู้เรียบเรียง)

อย่างไรก็ตาม อาจเกิดคำถามได้ว่า แม้โลกจะไร้ระเบียบก็จริง แต่ทำไมสำนักเต๋าไม่เสนอให้จัดการกับความไร้ระเบียบนั้น คำตอบคือ โลกที่ “ไร้ระเบียบ” ในที่นี้คือโลกที่รวมสรรพสิ่งซึ่งไม่ได้มีความสอดคล้องที่จะหากฎเกณฑ์อะไรเบื้องหลังได้ หากจะจัดระเบียบแทนที่จะปล่อยให้เป็นไปเองตามธรรมชาติ ก็ต้องคัดเลือกกฎเกณฑ์ของบางสิ่งให้อยู่เหนือสิ่งอื่นๆ แต่สำนักเต๋ามองว่ามนุษย์ไม่ได้มีฐานทางญาณวิทยาที่จะยืนยันได้ว่าเกณฑ์ของมนุษย์หรือของสรรพชีวิตอื่นใดมีความถูก-ผิดเหนือกว่ากัน ดังเช่นที่จวงจื่อตั้งคำถามเพื่อถอดถอนความเป็นศูนย์กลางทางญาณวิทยาของมนุษย์ไว้ว่า มนุษย์ย่อมไม่ชอบอยู่ในที่ชื้นแฉะและที่สูงตามต้นไม้ แต่ทำไมปลากลับชอบอยู่ในโคลนตมและลิงกลับชอบห้อยโหนบนต้นไม้ ทั้งมนุษย์ ลิง และปลา ต่างมีกรอบความคิดของตน ใครเล่าคือผู้รู้ในการแสวงหาที่อยู่ที่ถูกต้อง เป็นต้น (ปกรณ์, 2540: หน้า 49)

การที่จวงจื่อตั้งคำถามท้าทายต่อกรอบความคิดของมนุษย์ดังกล่าว ทำให้เกิดการถกเถียงว่าจวงจื่อมีแนวคิดเช่นเดียวกับสัมพัทธนิยม (relativism) หรือไม่ หากเราเข้าใจสัมพัทธนิยมว่าเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับสัมบูรณ์นิยม (absolutism) ที่ยืนยันว่ามีความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว ก็อาจกล่าวได้ว่าจวงจื่อห่างไกลจากสัมพัทธนิยมดังกล่าว เพราะแม้จวงจื่อจะมองว่าการเข้าใจโลกจะต้องมองผ่านกรอบความคิดในบริบทสถานการณ์เฉพาะเสมอ แต่จวงจื่อก็ยังยอมรับว่ามีความจริงแท้หรือเต๋าอยู่ (perspectival realism) นอกจากนี้ ในแง่ของการปฏิบัติ สัมพัทธนิยมก็มิได้ยืนยันให้เราปฏิบัติตามทฤษฎีใดๆ แต่จวงจื่อเสนอให้มนุษย์มีท่าทีอ่อนน้อม กลมกลืน ลื่นไหลอย่างมีสุนทรีย์ต่อสรรพสิ่ง

ที่ว่า “อย่างมีสุนทรีย์” นั้นมีนัยสำคัญยิ่ง เพราะลักษณะอย่างหนึ่งของท่าทีที่อ่อนน้อมต่อสรรพสิ่งคือการมีอารมณ์หรือจิต/ใจ ที่โปร่งเบาและรื่นรมย์ การมีจิต/ใจดังกล่าวเป็นทั้งเครื่องมือช่วยปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากพันธนาการของกรอบความคิดหรือการแยกแยะทางตรรกะอย่างตายตัว รวมทั้งเป็นเครื่องแสดงว่าเราได้สัมพันธ์กับโลกอย่างกลมกลืนแท้จริง ตัวอย่างเช่น ท่าทีต่อความตาย โดยทั่วไปแล้วความตายของบุคคลใกล้ชิดเป็นเรื่องน่าโศกเศร้า แต่จวงจื่อกลับแสดงให้เห็นว่าความตายมิใช่การสูญเสียและไม่ใช่การสิ้นสุด ความแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่งทำให้เรามองความตายได้ว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ตามกระแสดแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปตลอดเวลา การตายอาจมิใช่การสูญเสียอย่างแท้จริง การขับร้องเล่นดนตรีของจวงจื่อในพิธีศพของภรรยาจึงเป็นอาการของผู้ที่เข้าใจความแปรเปลี่ยนของโลกอย่างมีอารมณ์สุนทรีย์

ศริญญา อรุณขจรศักดิ์ (ผู้เรียบเรียง)

//www.philospedia.net



Create Date : 06 มกราคม 2554
Last Update : 6 มกราคม 2554 17:29:58 น. 0 comments
Counter : 3201 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.