การยิงปืนพกเพื่อการป้องกันตัวในระบบสัญชาติญาณ ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 href="//www.bloggang.com/data/t/tritrung/picture/1294643113.jpg" target=_blank>
ตอนที่แล้วเราได้รู้ัจักกันไประดับหนึ่ง แต่เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการสื่อสารวัตถุประสงค์ของบล็อคนี้ จึงขอเพิ่มเติมอีกสักหน่อย จากประสบการณ์การทำงาน ทั้งการสอน และการทำงานในหน่วยปฏิบัติในตำแหน่งพลแม่นปืน ผมทราบดีว่า ปืนเป็นวัตถุุที่มีอำนาจทางจิตวิทยาอยู่ในตัวมันเองคือ "ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมมัน มันจะควบคุมคุณ" ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการถูกปืนควบคุม - ถูกคนขับรถปาดหน้าแล้วชักปืนไล่ยิง ผมเองก็เคยขับไปปาดหน้ารถคันอื่นด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะหลบรถคันอื่นมาอีกที รถคันที่ถูกผมปาดหน้าไล่กวดตามจะเอาเรื่องผมให้ได้ ทั้งบีบแตรทั้งเปิดไฟสูงใส่ ผมอยากจะบอกเขาว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้คึกคะนองอะไร แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร จึงจะบอกเขาได้" ในที่สุดก็ตัดสินใจจอดรถ ยังไม่ทันลงจากรถ คนขับรถคันนั้นก็เดินลงมาพร้อมกับอาวุธปืนในมือ เขาคงคิดว่าที่ผมจอดเพราะผมคงพร้อมจะมีเรื่องกับเขาจึงคว้าปืนออกมาด้วย แต่ความจริงผมเพียงแค่อยากจะ "ขอโทษ และบอกเขาว่าผมไม่ได้ตั้งใจ" แต่พอผมเห็นเขาถือปืนออกมาความตั้งใจที่จะขอโทษของผมก็หมดไป ผมตัดสินใจขับรถออกไปทันที โชคดีที่เขาไม่ยิงไล่หลังมา ไม่งั้นผมคงเปลี่ยนใจให้กระสุนปืนกับเขาแทนคำขอโทษไปแล้ว ผมรู้ว่าเขาคิดว่า "ไม่แน่จริงนี่หว่า แน่จริงอย่าหนีสิ หรือ ประมาณว่าโธ่นึกว่าจะแน่" ในมุมมองของเขาคงคิดว่า วันนั้นเป็นโชคดีของผม แต่ในมุมมองของผม "ผมคิดว่าเป็นโชคดีของเขา ที่เขาไม่ได้ยิงออกมา มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้กลับบ้านไปหาลูกเมียของเขาอีกตลอดชีวิต" (เรื่องอย่างนี้มีมุมมองทั้งสองด้าน แล้วแต่ใครจะอยู่ด้านไหน ซึ่งก็ถูกทั้งคู่ แต่วิธีที่ถูกที่สุดถ้าคุณอยู่ฝ่ายที่ถูกขับตัดหน้าก็คือ "ช่างแม่ง..มัน" ทำไมต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วย คนทุกคนมีมูลค่าในชีวิตที่มหาศาลต่อคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก เมีย พี่ น้อง คู่กรณีของคุณก็เช่นกัน) มิใช่ผมคุยโตโอ้อวดนะครับ ระหว่างคนผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี รู้จักจิตวิทยา และกลยุทธ์การต่อสู้ป้องกันตัว กับคนที่ไม่ผ่านการฝึก อย่างไรเสียคนที่ไม่ผ่านการฝึกมาย่อมต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ คำุถามก็คือผมรู้ได้อย่างไรว่า ใครผ่านหรือไม่ผ่านการฝึกมาดีพอ คำตอบคือเพราะอาการที่เขาแสดงออกมาให้เห็นว่า "ใจใหญ่ เพราะถูกปืนควบคุม" ซึ่่่งเรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดกับผู้ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วแน่นอน ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังอีกข้อเพื่อยืนยันสิ่งที่กล่าวไว้ -ผมเป็นครูฝึกยิงปืนโรงเรียนนายร้อยตำรวจสิบปืี ได้รับประกาศเำกียรติคุณรับรองวิทยฐานะการเป็นครูฝึกยิงปืนจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ -สำเร็จหลักสูตรครูฝึกยิงปืนจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ -สำเร็จหลักสูตรครูฝึกตำรวจตะเวนชายแดน จาก กฝ.6 สุโขทัย (กองกำกับการ 6 กองบังคับการฝึกเศษ กองบัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน) -ผ่านการฝึกการยิงปืนชิงตัวประกัน(CQB)จากนเรศวร 261 -สำเร็จหลักสูตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ(BODYGURAD) -ผ่านการฝึกหลักสูตรการยิงปืนทางยุทธวิธีในเวลากลางคืน -ยิงปืนในรบบ PPC.จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในระัดับคะแนนเหรีญทอง 100% คนที่ 403 ของประเทศ -ยิงปืนในระบบ TRC. จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในระัดับคะแนนเหรียญทอง 100% คนที่ 75 ของประเทศไทย -ได้รับเหรียญทองปืนสั้นในการแข่งขันยิงปืนประจำปีของ ตร. -ปฏิบัติหน้าที่พลแม่นปืน ประจำชุดเฉพาะกิจปราบปรามยาเสพติด -ปฏิบัติหน้าอารักขาความปลอดภัยให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตร(ขออนุญาตสงวนนาม) -ยังมีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ และการฝึกยิงปืนแต่แค่นี้ก็น่าจะพอยืนยันได้ว่า ผมเป็นกูรูคนหนึ่งในการใช้อาวุธปืน
เรื่องจริงที่อยากจะบอกก็คือ ชีวิตผมแวดล้อมอยู่กับคนที่ใช้ปืนและผ่านการฝึกการใช้อาวุธปืนมาอย่างดี ไม่เคยเลยสักครั้งที่พวกกระผมไปนั่งกินเหล้าตามร้านอาหารแล้วชักปืนออกมาโชว์ ไม่เคยเลยสักครั้งที่พวกผมทะเลาะทุ่มเถึยงกันเองแล้วชักปืน ทั้ง ๆ ที่ทุกคนต่างก็มีปืนและมีระดับความสามารถในการใช้อาวุธปืนไม่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้ามบ่อยครั้งที่ผมได้พบเห็นคนอื่น ๆ ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจด้วยกันที่ไม่ได้ผ่านการฝึกหรือไม่ได้ปรับทัศนะคติในการใช้อาวุธปืนมาดีพอ แสดงออกอย่างชัดเจนว่า "ใจใหญ่ เพราะปืน หรือปล่อยให้ปืนเข้ามาครอบงำความคิด ครอบงำโทสะ" และได้เห็นว่าพวกเขาไม่สามารถควบอาวุธปืนแต่กลับถูกอาวุธปืนควบคุม จนบางครั้งต้องใช้คำพูดว่า "ไอ้นี่มันบ้า ขนาดหมาเห่า ใบไม้ร่วง มันยังชักปืน" (ผมสามารถพูดได้เลยว่า สำหรับผมแล้ว ผมไม่กลัวคู่กรณีในลักษณะอย่างนี้ เพราะไม่ว่าจะทางกฏหมาย หรือทางยุทธวิธี เขาไม่มีโอกาสชนะผมได้เลย)
เนื้อหาในบล็อคต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ผมจึงต้องอนุมานเอาเองว่า "คนที่เข้ามาอ่านทุกคน เป็นคนที่มีอาวุธปืน หรือกำลังจะมีอาวุธปืน หรือสนใจที่ีจะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง" ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความสบายใจของครูหนุ่ย ครูฝึกยิงปืนอย่างผม ผู้อ่านทุกท่านจึงควรจะรู้วัตถุประสงค์ที่ถือว่าสำคัญที่สุดของฝึกยิงปืน และตกลงที่จะตั้งมั่นอยู่ในวัตถุประสงค์สำคัญนั้น การฝึกยิงปืนก็คือ "การฝึกความสามรถในการควบคุมอาวุธปืน เพื่อมิให้ถูกปืนควบคุม" สำหรับความสามารถในการใช้อาวุธปืนจะเป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง เช่นการส่งกระสุนเข้าสู่เป้าหมาย ความแม่นยำ ความเร็ว ความคล่องตัว และอื่น ๆ จะมีอยู่ในเนื้อหาของตอนต่อ ๆ ไป แต่ในตอนนี้ขอเน้นยำเรื่องของทัศนะคติในการใช้อาวุธปืนก่อน จนกว่าผมจะมั่นใจได้ว่า "ผู้อ่านของผมทุกคนนั้น มีทัศนะคติในเรื่องของอาวุธปืนที่ถูกต้องแล้ว ผมถึงจะเขียนลงลึกในรายละเอียด ก็ต้องรบกวนผู้อ่านทุกท่านว่า เมื่ออ่านแล้วช่วยลง comment หรือจะเป็นคำถามอะไรก็ได้ให้ด้วย ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะเราต่างเป็นครูของกันและกัน" สรุปก็คือ สำหรับผู้ที่มีทัศนะคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการมี การใช้อาวุธปืน ก็คือ "ปืนเป็นทางเลือกสุดท้าย ที่จะเลือกใช้ และปืนมิได้มีเอาไว้อวดโอ่โชว์ความสามารถ แต่มีเอาไว้เพื่อป้องกันภยันตรายร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิต หรือคาดว่าอาจจะถึงแก่ชีวิต และภัยอันตรายนั้นยังไม่ผ่านพ้นจากเราไป" แต่ยังมีคนที่มีปืนอีกหลายล้านคนในประเทศนี้ (ไม่นับพวกทุจริตชน) ที่มักใช้ปืนเป็นทางเลือกอันดับแรก ๆ อยู่ตลอดเวลาทุกครั้งทุกโอกาสที่ปืนอยู่กับตัว คนเหล่านี้คือคนที่ถูกปืนควบคุม และยังไม่สามารถควบคุมอาวุธปืนได้ ขออนุญาตยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้สักเรื่อง ในการแข่งขันฟุตบอลรายหนึ่ง เกิดเหตุกองเชียร์รุมทำร้ายกรรมการ ในเหตุการณ์นั้นจะเห็นว่ามีคน ๆ หนึ่งชักปืนออกมา ด้วยอารมณ์ใดผมก็ไม่ทราบได้ คงต้องไปถามเขาดูเอาเอง จากรายงานข่าวว่า เขาเป็นผู้มียศเป็นบุคคลที่ผมคิดว่าน่าจะผ่านการฝึกมาพอสมควรแล้ว แต่ทำไมยังทำตัวในแบบที่ผมมักจะบอกกับลูกศิษย์ของผมเสมอว่า "พวกสั้นนักเลง" สมมุติว่านั้่นเป็นเหตุการณ์คุ้มครองบุคคลสำคัญ ผมว่าพี่ท่านนี้คงโดนเจ้าหน้าที่ bodyguard ยิงตาย แุถมตายฟรีเรียกร้องอะัไรไม่ได้ด้วย ในฐานะที่ผมเป็นผู้ใช้อาวุธปืนเหมือนกัน และเชื่อมั่นว่ามีประสบการณ์การใช้อาวุธปืนในการปฏิบัติหน้าที่มามากมาย ผมอยากจะบอกพี่เขาว่าอย่าเอาเวลาไปโกรธ หรือโมโหคนที่ว่าเราอยู่เลย พี่เขาน่าจะลองใช้เหตุการณ์คราวนั้นเป็นบทเรียนหรือเป็นบทพิสูจน์คำตอบว่า "พี่ใช่คนที่พร้อมจะทำงานกับอาวุธปืนหรือยัง" ถ้ามองแบบไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปแล้วคำตอบออกมาว่า "ยังไม่ใช่" พี่ชายท่านนี้ก็ควรจะหาเวลามาฝึกฝนเพิ่มเติม และเรียนรู้อย่างจริงจังกับครูฝึกยิงปืนมืออาชีพจริง ๆ เสียที เพราะมิฉะนั้นปืนกระบอกนั้นอาจจะทำร้ายอนาคต ของพี่เขาได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานต่อจากนี้ (สำหรับเรื่องกองเชียร์ไม่วิจารณ์คับ ผมรู้ว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิด และเชื่อว่าเหตุการณ์คราวนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาที่ดีของฟุตบอลไทยอย่างแน่นอน) ข้อเท็จจริงก็คือ คนในแบบที่กล่าวไปนั้น มีจำนวนมากว่าคนที่มีทัศนะคติที่ถูกต้อง ผมอาศัยอะไรมาวัดเรื่องแบบนี้นะเหรอ ผมวัดจากจำนวนปืนที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมายจำนวนหลายล้านกระบอก ซึ่งจะตกอยู่ในครอบครองของบุคคลที่มีโอกาสได้รับการฝึกฝนไม่วาจะเป็นทหาร หรือ ตำรวจ และหน่วยอื่น ๆ รวมกันตามยอดกำลังพล ก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนปืนที่จดทะเบียน นั้นหมายความว่าจำนวนปืนส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝน หรือยังไม่ได้รับการปรับทัศนะคติการใช้อาวุธปืนอย่างถูกต้อง ถ้าเราบอกว่า "การมีอาวุธปืนเป็นภัยร้ายแรงของสังคม" ผมว่า "การปล่อยให้มีอาวุธ โดยผู้นั้นไม่มีความรู้ความสามรถในการควบคุมอาวุธปืน ไม่มีทัศนะคติหรือความรู้ทางกฏหมายที่ถูกต้องที่สุดนั้น เป็นภัยซ่อนเร้นของสังคมที่ร้ายแรงกว่า" ที่สหรัฐอเมริกาเคยมีการถกเถึยงกันเรื่องการให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง จนในที่สุดเรื่องนี้ก็เข้าสู้รัฐสภาสหรัฐ หลากหลายความคิดเห็นที่นำมาโต้แย้งกันในสภา จนในที่สุดวุฒิสภาชิกท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นมาอภิปรายด้วยคำพูดสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยค เรื่องราวความขัดแย้งต่าง ๆ ก็ยุติลง คำพูดดังกล่าวนั้นคือ "ถ้าผมสามารถพกพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ข้างเอว และเมื่อเกิดเหตุร้าย พวกเขาสามารถมาช่วยผมได้ทันที ถึงเวลานั้นผมไม่จำเป็นต้องซื้ออาวุธปืน" ที่ผมยกคำพูดของวุฒิสมาชิกท่านนี้มากล่าวมิได้หมายความว่า ผมสนับสนุนให้สังคมใช้ความรุนแรง แต่ผมแค่อยากให้ผู้อ่านคิดตามว่า สิ่งที่วุฒิสมาชิกท่านนั้นพูดจนทำให้ข้อขัดแย้งระดับประเทศต้องตกไปนั้น มีเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาว แต่ในฐานะครูฝึกยิงปืน แค่คำพูดเหล่านี้คงไม่เพียงพอเพราะผมรู้ดีว่า การมีปืนไว้ครอบครองโดยมิได้รับการฝึกฝน หรือความรู้ความสามรถอย่างแท้จริงในการใช้งาน ยิ่งไม่มีทัศนะคติทีู่ถูกต้องด้วย จะไม่เป็นประโยชน์อันใดเลยต่อผู้ครอบครองมัน ซ้ำร้ายมันจะกลายเป็นงูเห่าที่พร้อมจะฉกกัดเจ้าของได้ทุกเมื่อ หน้าที่ของผมในฐานะของครูฝึกที่ได้รับการพัฒนาความสามารถจากเงินภาษีของประชาชน ก็คือถ่ายทอดความรู้ออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ลำพังผมคนเดียวคงจะยังไม่พอ คงต้องรบกวนผู้อ่านทุกท่านช่วยนำเสนอความรู้จากบทความออกไปสู่ท่านอื่น ๆ ต่อไป ในตอนหน้าผมจะเข้าสู่เนื้อหาของการยิงปืนเพื่อการป้องกันตัว ด้วยสมมุติฐานที่ว่า ผู้อ่านทุกท่านยังไม่มีความรู้เรื่องอาวุธปืนเลย สำหรับท่านที่เคยรู้มาบ้างแล้ว หรือรู้ดีอยู่แล้วก็ถือเสียว่า เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน แล้วพบกันใหม่ตอนที่ 3 ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
Free TextEditor
Create Date : 10 มกราคม 2554 |
|
3 comments |
Last Update : 10 มกราคม 2554 14:10:03 น. |
Counter : 2794 Pageviews. |
|
|
|
ไปเรียนเพราะอยากใช้มันเป็น ควบคุมมันได้
ไม่ใช่มีแล้ว วางไว้เปล่าประโยชน์ หรือมีไว้เพื่อให้คนอื่นใช้ทำร้ายเรา
ขอบคุณที่เขียนบล๊อกแบบนี้มาให้ความรู้ค่ะ