วัันที่ 4 เที่ยว Kobe แวะ สวนสมุนไพร Nunobiki แวะกินเนื้อโกเบ เที่ยว Anpanman กลับเข้า Osaka กิน Ichiran ramen


วันนี้เป็นวันที่ต้องตื่นเช้าอีกวัน เพราะเราจะออกนอกเมืองไปเที่ยวโกเบกันค่ะ ด้วยความที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศสัมผัสกับธรรมชาติอากาศสดชื่นบนเขา เลยตัดสินใจพาเด็กๆนั่ง cable car ขึ้นเขาที่สวนสมุนไพร Nunobiki 

เช้าวันนี้เด็กๆลีลามากไปหน่อย ทำให้ต้องรีบเร่งเดินมาให้ทันเวลาขึ้นรถไฟกัน เลยให้พี่เพลงกับน้องภูมินั่งรถเข็น แล้วพวกเราก็รีบวิ่ง + เข็นกันไป แป๊บเดียวก็ถึงสถานีรถไฟค่ะ 


วิธีการเดินทางไปโกเบของเราก็คือ นั่งรถใต้ดินจากสถานี Tengachaya ลงที่สถานี Dobutsuen-Mae แล้วเปลี่ยนขบวนเพื่อไปลงที่สถานี Umeda จากนั้นก็เดินต่อไปที่สถานี Umeda Hankyu เพื่อนั่งรถไฟHankyu ไปลงสถานี Kobe-Sannomiya (Hankyu) ใช้เวลาเดินทางจาก Tengachaya - Kobe ทั้งหมด 61 นาทีโดยประมาณค่ะ จากนั้นก็เดินมาทางออก west exit ทางซ้ายมือ ใกล้นิดเดียวค่ะ 

พอเดินออกจากสถานีก็เลี้ยวซ้ายเดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปยืนรอรถนำเที่ยวเมือง Kobe (City loop bus) ที่ป้ายรถNo.7 ค่ะ เค้าจะตีเส้นสำหรับการยืนรอรถขบวนนี้แยกต่างหากจากป้ายรถเมล์เลย มาถึงเราก็ไปยืนรอตรงป้ายของเค้าที่กำหนดจุดไว้ให้ รอไม่นานรถก็มาค่ะ เราสามารถซื้อตั๋วรถบัสได้บนรถเลยค่ะ ตั๋วผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 650 yen ของเด็ก 330 yen เค้าจะให้บัตรพร้อมแผนที่มาค่ะ เราสามารถขึ้นลงได้ไม่จำกัดเที่ยว ใน 1 วัน เป็น one day pass 


รถเค้าจะแวะจอดป้ายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆรอบเมืองโกเบค่ะ ใครอยากลงป้ายไหนก็ลงได้ตามความต้องการ หรือจะไม่ลงเลยก็ได้ ส่วนเราตั้งใจไปสวน Nunobiki  เลย ก็เลยเลือกลงที่ป้าย No.11 ค่ะ พอลงปุ๊บก็หาทางเข้าค่ะ ตอนแรกหาลิฟท์ไม่เจอก็เลยต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนกันไป พอเด็กๆเห็นเคเบิ้ลคาร์ ตื่นเต้นกันมากค่ะ ที่นี่เค้าจะคิดค่าเข้าชมสถานที่แบบรวมเคเบิ้ลคาร์ไป-กลับเรียบร้อยแล้ว ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 1,400 yen ส่วนเด็ก 700 yen ค่ะ ใช้บัตร city loop bus ลดได้ 20% ค่ะ ที่นี่เค้าจะมีจุดให้ลงจากเคเบิ้ลได้ 2 จุดค่ะ  แนะนำนั่งขึ้นไปลงจุดบนสุด แล้วเดินลงเขาชมบรรยากาศธรรมชาติ แล้วค่อยนั่งเคเบิ้ลอีกทีตรงจุดที่ 2 ตรงกลางเพื่อลงมาด้านล่างค่ะ 


ระหว่างนั่ง เด็กๆชอบมากค่ะ ตื่นตาตื่นใจสุดๆ วิวสวยมาก ท้องฟ้าก็เป็นใจ อากาศก็กำลังดี เย็นสบายๆ จริงๆแล้วพี่เพลงเป็นเด็กที่กลัวความสูง แต่เพราะวิวสวยเลยทำให้ลืมความกลัวไปเลย 


นั่งชมวิวสวยๆกันซักพักก็ถึงจุดบนสุดค่ะ เดินออกมาจากสถานีจะเจอลานกว้างๆ แดดร้อนใช้ได้เลยค่ะ แต่ด้วยอากาศที่เย็นสบายๆเลยทำให้ไม่รู้สึกร้อนเท่าไหร่ ด้านบนเค้าจะมีจุดให้เราได้ช็อปของฝากกันด้วยค่ะ เป็นพวกสบู่ ครีม เครื่องหอม ชา จากดอกไม้ที่เค้าปลูกนี่แหล่ะ เราเองก็ได้ของฝากพ่อกับแม่เราที่นี่ค่ะ นอกจากของใช้ก็มีขายอาหารกินแบบง่ายๆ และเครื่องดื่มด้วย ระหว่างรอแม่ช็อป เด็กๆก็เดินชมดอกไม้ ถ่ายรูป ในส่วนที่เค้าจัดแสดงกันสนุกสนาน พอเราช็อปเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินลงเขากันแล้วค่ะ



บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างดีมากค่ะ อากาศก็สดชื่นมาก เด็กๆแม้จะตื่นเช้า แต่ไม่มีอาการง่วงหงาวหาวนอนให้เห็นผิดกับเมื่อวานเลยค่ะ เลยถามเด็กๆว่าชอบเที่ยวแบบนี้ไหม และเทียบกับเมื่อวานชอบแบบไหนมากกว่ากัน เด็กๆตอบเป็นเสียงเดียวกัน หนูชอบแบบนี้ หนูชอบเที่ยวธรรมชาติ ได้สูดอาการสดชื่น พอได้ยินแล้วก็ชื่นใจค่ะ ที่คิดไม่ผิดที่เลือกพาเด็กๆมาเที่ยวที่นี่ ยิ่งเราเองก็เป็นคนชอบเที่ยวแบบนี้อยู่แล้วด้วย ทริปหน้ารู้แล้วจะพาเด็กๆไปเที่ยวแนวไหน ^_^



ระหว่างทางเดินลงเขา เค้าก็จะมีจุดให้ชมวิว ชมสวนดอกไม้เป็นจุดๆค่ะ นอกจากนี้เค้ายังมี ฐานให้เราตั้งกล้องได้ด้วย แม้ไม่เอาขาตั้งกล้องมาก็สามารถถ่ายรูปครอบครัวได้เลยค่ะ 

ระหว่างทางเค้าก็จะมีจุดที่นั่งให้แวะพักจิบเครื่องดื่ม กินขนม ชมวิวสวยๆ โดยจะมีจุดขายเครื่องดื่ม ตรงเรือนกระจกด้านใน เราสั่งน้ำ lemon กลิ่นกุหลาบ หอมอร่อยๆมากๆค่ะ พูดแล้วก็คิดถึง 

จากนั้นก็เดินลงเขามาเรื่อยๆก็จะเจอจุดแวะพักอีกจุด ตรงนี้มีขายไอศครีมด้วยค่ะ เด็กๆอยากลองชิมไอศครีมแบบ Soft cream มี 2 รสชาติ คือ วนิลา กับ ลาเวนเดอร์ เด็กๆชอบของแปลกบอกอยากได้สีม่วง เลยสั่งรสลาเวนเดอร์ไป พอได้ชิมน้องภูมิไม่ชอบเท่าไหร่ เลยเสร็จพี่เพลงไปทั้งหมด พอกินเสร็จก็เดินลงมาอีกนิด จะเจอสถานีตรงกลางให้เราขึ้นเพื่อลงไปด้านล่างค่ะ เลยให้เด็กๆล้างมือล้างหน้าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เราจะนั่งเคเบิ้ลคาร์ลงด้านล่างกันแล้ว 


ตอนลงมา น้องภูมิติดใจอยากขี่หลังพี่เพลงอีก เลยขอให้พี่เพลงแบกขึ้นหลังให้หน่อย พี่เพลงก็เลยจัดไปค่ะ ขาลงมาดีหน่อยเห็นลิฟท์พอดี เลยได้ขึ้นลิฟท์ลงไปข้างล่างแทนการลงบันได จากนั้นเราก็ไปยืนรอรถ city loop bus ที่ป้ายเดิม No.11 ค่ะ 

รอบนี้คนขึ้นเยอะเชียวค่ะ น้องเพลงน้องภูมิยังต้องยืน ก็ทุลักทุเลพอควรค่ะ เพราะเด็กๆโหนกันไม่ถึง แถมคุณแฟนจะต้องประคองรถเข็นด้วย เราก็เลยต้องประคองทั้งตัวเองประคองทั้งเด็ก ยืนกันไป 1 ป้าย(ห่างๆ) คนจีนผู้หญิงเค้าเห็นแล้วคงทนไม่ไหว เค้าเลยเขยิบแบ่งที่นั่งเล็กๆแล้วเรียกให้น้องภูมิไปนั่งข้างๆ ต้องขอบคุณเค้ามากๆ เราเลยเหลือแค่จับน้องเพลงมือนึงแล้วก็โหนราวมือนึงแทน ยืนกันไปพักใหญ่ๆก็ถึงสถานีที่เราต้องลงค่ะ (city loop bus No.13) เราตั้งใจจะมาแวะกินเนื้อโกเบที่ร้าน Steakland กัน 

พอลงจากรถ เด็กๆขอนั่งรถเข็นกันทั้งคู่ ก็เลยจัดแจงให้เด็กๆนั่งกัน แล้วพวกเราก็มายืนรอข้ามถนนค่ะ ยืนรอข้ามกันนานมากๆเลย เพราะตรงจุดนี้คนจะเยอะค่ะ เวลาเปิดให้ข้ามทีก็จะเปิดให้ข้ามนานเลย ทำให้เวลายืนรอข้ามก็ต้องรอนานไปโดยปริยาย ก้มลงมองเด็กๆอีกที เด็กๆหลับกันไปเรียบร้อยแล้ว เวลาอาหารเที่ยงพอดี เด็กๆจะได้กินมื้อไหนกันล่ะเนี่ย แต่สำหรับผู้ใหญ่ขอกินก่อนเลยละกัน อิอิ 

พอข้ามถนนก็เดินตามแผนที่ที่หามาไว้ เดินไม่ไกลก็เจอแล้วค่ะร้าน Steakland เห็นคนยืนรอคิวกันพอสมควรเลย เตรียมใจมาบ้างแล้วเราก็เลยมายืนรอค่ะ รอไปได้ 15 นาที คุณแฟนไปเดินสำรวจเส้นทางแถวๆนั้น เลยเจอว่า Steakland มีอีกสาขานึงอยู่ไม่ไกล แลดูไม่มีคิวเพราะต้องขึ้นไปด้านบน 

เรารู้อยู่แล้ว เราก็บอกสามีไปว่า รู้แล้วว่ามี แต่เราเลือกจะรอตรงนี้นี่แหล่ะ ไหนๆก็รอมาซักพักแล้ว ก็ยืนรอเหอะ แต่ด้วยความที่สามีเป็นคนไม่ชอบรอคิวนาน เค้าก็ยังยืนยันว่าจะให้ไปรออีกสาขานึง อารมณ์มั่นใจว่าคนคงไม่ค่อยมี เพราะมันอยู่ลึกลับกว่าสาขานี้ เราก็บอกว่าข้อมูลบนเน็ทมันมีทั้ง 2 สาขา ใครๆก็รู้ ไม่ต่างกันหรอก บอกให้เค้าลองขึ้นไปดูก่อนก็ไม่ยอม ประมาณว่าถ้าตรงนั้นคิวน้อยกว่าแล้วเค้าต้องยืนต่อคิวจะติดต่อกันไง 

เราเลยอะไปก็ไป ตอนเดินไปมันไม่มีคนค่ะ ตอนขึ้นลิฟท์ก็ไม่มีคนค่ะ แต่พอลิฟท์เปิดเท่านั้นล่ะ จะเป็นลมค่ะ คนยืนอัดกันแน่นมากจนแทบไม่มีอากาศจะหายใจ คือมันเป็นห้องแอร์แบบทางเดินแคบๆ แล้วคนรอกันอยู่เต็ม แทบจะไม่มีที่ยืนรอ แล้วคนก็ขึ้นกันมาเรื่อยๆ ด้วยคิดว่าคนคงน้อยแบบสามีเรานี่ล่ะ แถมมีลิฟท์ที่สามารถขึ้นได้อีกด้านนึงของร้านด้วย สรุปคือสาขาชั้นบนนี้ ขึ้นลิฟท์มาได้ 2 ทาง คิดดูว่าคนจะเยอะแค่ไหน หึหึ  

พอเห็นคนแล้วเราเลยบอกให้สามีไปเขียนจองคิวลงสมุดจองคิวค่ะ คิวยาวมากๆๆๆค่ะ เราคิดว่าคิวน่าจะยาวกว่าที่สาขาเรารอเมื่อกี๊นะ แต่ในเมื่อมาบนนี้แล้วทำไงได้ก็ต้องรอ ยืนรอไปได้อีก 15 นาที คนก็ยังขึ้นมาเรื่อยๆ แถมมีทัวร์กลุ่มลงด้วย คือมาทีหลังแล้วได้เข้าเลย เข้าใจว่าเค้าน่าจะจองคิวกันไว้อยู่แล้ว 

ทนรอต่อไปซักพัก ความอดทนเราเริ่มสิ้นสุดลง เพราะคิวไม่ขยับเลยจริงๆ เราบอกสามีขอออกนะ เราหายใจไม่ออกแล้ว เราเป็นคนไม่ชอบอยู่ในที่ที่อากาศอับทึบไม่ถ่ายเท คนแน่นๆ อยู่นานๆแล้วจะเป็นลม เลยตัดสินใจเดินลงมา นาทีนั้นรู้เลยสามีจ๋อยมาก และยิ่งจ๋อยไปอีกเมื่อเห็นว่าคิวที่เรายืนรอหน้าร้านสาขาแรกมันร่นไปไกลแล้ว คนที่ยืนหน้าเราเค้าเตรียมตัวจะได้เข้าไปรอในร้านแล้ว ถ้าเรายังยืนรออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานคงได้เข้าไป


นาทีนั้นยอมรับว่าโกรธสามีเลยค่ะ เลยพูดไปว่าไม่กินเสต็กแล้วนะ หาอย่างอื่นกินเถอะ เราไม่รอแล้วหิวมาก โมโหหิวด้วย และเราก็ไม่ได้หาข้อมูลร้านอื่นมาสำรองเลยว่า ถ้าหลุดจากร้านนี้ จะมีร้านไหนให้กินได้อีก สามีเลยบอกไปกินเสต็กเนื้อร้านใกล้ๆนี้ก็ได้นะ เห็นพนักงานมายืนรอเรียกลูกค้าอยู่ 

เราก็เอาวะ ตั้งใจมากินเนื้อโกเบแล้วนี่ ร้านไหนๆก็คงอร่อยเหมือนกัน ก็เลยเดินตามพนักงานเค้าไป ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน YAZAWA ค่ะ ตอนไปถึงหน้าร้าน พนักงานเค้ากุลีกุจอมากค่ะ ร้านเค้าต้องเดินขึ้นบันไดไปกินชั้น 2 แต่เด็กๆหลับในรถเข็นทั้งคู่ พนักงานบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเค้าช่วยยกรถเข็นให้ พนักงานกับสามีเลยช่วยกันยกเด็กๆพร้อมรถเข็นขึ้นชั้น 2 พยายามกันสุดๆ เพราะบันไดแคบมาก
พอขึ้นไปถึงด้านบน บรรยากาศร้านอาหารโอเคเลยค่ะ เท่าที่สังเกตโดยมากจะมีแต่คนญี่ปุ่นนั่งกินกัน คิดในใจว่าร้านนี้ก็น่าจะโอเคแหล่ะ เพราะคนพื้นที่เค้ามานั่งกินกันเยอะเลย

พอนั่งซักพัก พนักงานเอาเมนูมาให้ แอบตกใจเล็กน้อย เพราะราคาแรงพอสมควรค่ะ ถ้าจะกินเนื้อโกเบที่ดีๆ แต่ไหนๆมาแล้วก็จัดไป 2 ชุด ขาดอีกนิดก็ 20,000 เยนพอดี T_T 

พออาหารมา พนักงานเค้าจะมีเอาโล่ห์รางวัลของเนื้อชิ้นที่เราสั่งมาตั้ง เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกค่ะ ว่าเราได้กินเนื้อชั้นยอดอะไรของเค้าประมาณนั้น ก็ถ่ายกันแบบงงๆ อาหารเค้าจะค่อยๆมาเสริฟทีล่ะอย่างค่ะ ตอนแรกจะเสริฟซุปเนื้อก่อน ตามด้วยสลัด เครื่องเคียง ข้าว เสต็กเนื้อย่าง และ ซุปใส ปิดท้าย อยากบอกว่า อร่อยมากๆค่ะ เนื้อนี่แทบจะละลายในปากเลย นุ่มมาก เนื้อไม่เหนียวเลย อร่อยทุกอย่าง ก็สมราคาเค้าล่ะ 555 บอกกับสามีว่า เราจะไม่ถ่ายท้องจนกว่าจะสมควรแก่เวลานะ ของแพงขนาดนี้เก็บในท้องให้คุ้มสมราคามันหน่อยอิอิ



อันนี้รูปนามบัตรร้าน กับ ใบเสร็จค่ะ ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระทึก ^_^"



พอกินเสร็จก็ออกเดินทางต่อค่ะ เด็กๆตื่นกันพอดี จุดหมายปลายทางหน้าคือ พิพิธภัณฑ์ Anpanman ค่ะ เราจะพาเด็กๆไปเดินเล่น และ กินข้าวกันที่นั่นกัน ก่อนจะพาเด็กๆไปที่นี่ เราได้มีข้อตกลงกันนิดหน่อย เนื่องจากว่าก่อนจะมา เราหาข้อมูลที่นี่ไว้ว่าเป็นอย่างไร น่าเข้าไหม โดยมากจะตอบว่าเหมาะกับเด็กเล็กมาก เด็กโตเข้าไปไม่สนุก และค่าเข้าแพงไม่คุ้มเท่าไหร่ เราเลยคุยกันว่าเราจะไม่เข้าพิพิธภัณฑ์นะเพราะแพง แต่จะแวะดูบรรยากาศร้านค้าที่เป็น Anpanman ทั้งหมด และกินข้าวที่นี่กัน เด็กๆโอเคค่ะ ก็ออกเดินทางกันได้เลยค่ะ 

จากร้านเนื้อ เราต้องเดินย้อนมาขึ้นรถที่เดิมที่ป้ายNo. 13 ค่ะ และขึ้นรถต่อเพื่อไปลงป้าย No. 2 Harbor-Land (MOSAIC) ค่ะ ช่วงเวลานี้รถแน่นอีกเช่นเคยค่ะ แต่ดีหน่อยที่เด็กๆยังได้นั่ง รถจะขับวนไปเรื่อยๆและจะแวะจอดพักรถซักแป๊บที่ป้าย No.1 เพื่อเปลี่ยนพนักงานขับรถ และพนักงานต้อนรับบนรถค่ะ ส่วนผู้โดยสารก็นั่งบนรถรอได้เลย พอเปลี่ยนกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อค่ะ 

พอถึงป้าย No.2 เราก็กดออดเพื่อลงกัน จากป้ายต้องเดินไปอีกไกลพอสมควรนะคะ แต่ก็เดินได้เรื่อยๆค่ะ 



 พอเดินเข้าไปด้านในตึกจะเจอร้านขายขนมปังทางขวาค่ะ เด็กๆดี๊ด๊ากันมากค่ะ เค้าทำได้น่ารักดีค่ะ ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่ยังตื่นตาตื่นใจไปด้วย ร้านค้าดูน่ารักไปทุกๆอย่างจริงๆ ด้วยความที่ตกลงกันไว้ว่า ทริปนี้จะให้ของเล่นที่อยากได้ 1 ชิ้นเท่านั้น คิดให้ดีว่าอยากได้อะไร ทำให้เด็กๆไม่ค่อยได้เรียกร้องจะซื้อของเล่นซักเท่าไหร่ (เป้าหมายเด็กๆอยู่ที่ Universal Studio ค่ะ)  แต่ก็ยืนเกาะดูของเล่นไปซะทุกๆร้าน 



ปล่อยให้เด็กๆเพลิดเพลินกันซักพัก ก็ชวนเด็กๆกลับกันค่ะ ก่อนกลับเลยบอกเด็กๆว่า แม่จะให้ซื้อขนมปังได้คนละ 1 ชิ้นไปเลือกกันมาเลยว่าอยากได้แบบไหน เด็กๆก็ดี๊ด๊ากันใหญ่ พอเลือกได้ก็หยิบกระดาษการ์ดแข็งรูปขนมปังนั้นๆ ไปยื่นให้ตรงแคชเชียร์เพื่อชำระเงินและให้เค้าหยิบให้ค่ะ 


จากนั้นก็เดินกลับไปที่ป้ายรถที่เดิมค่ะ No.2 แล้วนั่งยาวไปลงที่ป้าย No.7 Sannomiya Station เพื่อนั่งรถไฟกลับ Osaka ค่ะ 


วิธีกลับก็คล้ายๆขามาค่ะ นั่งรถไฟสาย Hankyu เพื่อกลับเข้า OSAKA ค่ะ จุดหมายปลายทางต่อไปคือ เราจะไปกินข้าวเย็นที่ย่าน Dotonbori เช่นเดิม วันนี้กลับเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้ เลยตัดสินใจไปกิน ICHIRAN RAMEN หรือ ราเม็งข้อสอบกันค่ะ เพราะว่ามีเวลาให้รอได้นานแบบไม่โมโหหิว ^_^ แรกเริ่มเดิมทีไม่คิดจะมากินราเม็งที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ เพราะเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เราไม่เคยประทับใจตอนกินที่ไทยเลย แต่ก่อนมาน้องสาวบอกว่า ยังไงก็ต้องลอง ถ้าไม่ลองจะเสียใจ เลยลองดูละกัน 

ตอนมาถึงคิวก็มีพอสมควรแต่ยังไม่ยาวเกินไป พอไปต่อแถวปุ๊บเค้าก็จะเอาใบมาให้เราเลือกค่ะ ว่าเราจะเลือกกินบะหมี่แบบไหน นิ่มแข็ง ใส่ผักอะไร ใส่พริกแค่ไหน รสจัดแค่ไหน เลือกเอาตามสะดวกเลยค่ะ 



ยืนรอไม่นานนักก็ได้เข้าไปแล้วค่ะ พอเข้าไปด้านในเค้าก็จะมีตู้ให้กดจ่ายเงินอัตโนมัติด้วยค่ะ ก็กดจ่ายเงินที่ตู้เลยค่ะ กดตามที่เราสั่งก็จะได้คูปองที่เราจ่ายเงินไปค่ะ ระบบคิวที่นี่จัดการค่อนข้างดีค่ะ ทำให้รอกันไม่นานจนเกินไปนัก ของเราด้วยความต้องการนั่ง 4 คนก็ทำให้รอนานนิดนึง แต่ซักพักก็ได้คิวขึ้นไปนั่งกินชั้น 3 ค่ะ พอได้นั่งปุ๊บเค้าก็ขอดูใบที่เราสั่ง พร้อมทั้งขอคูปองที่เราจ่ายที่ตู้ไปค่ะ รอไม่นานเค้าก็เอามาเสิร์ฟตามโต๊ะเลยค่ะ และเค้าก็เอาชามแบ่งพร้อมช้อนส้อม สำหรับเด็ก 2 ชุดมาให้เราโดยที่เราไม่ได้ร้องขอ และยังมีเอาพนักพิงมาติดตรงเก้าอี้ให้น้องภูมิกันหงายหลังตกด้วยค่ะ ถือว่าเค้าใส่ใจเด็กมากๆค่ะ 


หากใครชอบกินรสจัด แนะนำให้สั่งแบบรสจัดและใส่พริกเพิ่มขึ้นมาหน่อย ขอบอกอร่อยมากค่ะ ชามที่เราสั่งมุมซ้ายบนสุด ตอนได้มามัวแต่โซ้ย นึกได้ยังไม่ได้ถ่ายเลย 555 เลยมาถ่ายตอนกินไปบ้างแล้ว ส่วนชามล่างของคุณสามีค่ะ ขานี้ไม่ค่อยกินเผ็ดเท่าไหร่ ตอนกินนี่ต่างคนต่างกินมากค่ะ เพราะอร่อยจริงๆ เด็กๆแย่งกันกินจนหมดชาม น้ำซุปก็ไม่เหลือ เด็กๆชมไม่ขากปากค่ะว่าอร่อยมากๆ ซึ่งอร่อยจริงค่ะ เปลี่ยนทัศนคติเราที่มีต่อราเม็งไปเลยค่ะ ว่าราเม็งถ้าเจอร้านอร่อยมันอร่อยจริงๆนะ แนะนำเลยค่ะ เป็นร้านที่เราประทับใจสุดแล้วในทริป OSAKA ทริปนี้ค่ะ

หลังจากกินเสร็จ ก็เดินเที่ยวเล่นย่าน Dotonbori ยามค่ำคืนค่ะ วันนี้ฟ้าโปร่งไร้เมฆฝน เลยได้เจอป้าย กูลิโกะเปิดไฟซักที เดินๆไปเจอร้านขายโมจิถั่วแดงสอดไส้สตรอเบอรี่ หน้าตาน่ากิน เลยขอลองซักนิด ระหว่างรอเค้าหยิบ ตาเหลือบไปเห็นสตรอเบอรี่ปั่นด้วย เลยขอลองซื้อชิมซักแก้ว แต่ขอบอกว่าอย่าซื้อกินเลยค่ะ สตรอเบอรี่ปั่น ไม่ถูกจริตอย่างแรง เพราะที่ญี่ปุ่น เค้าจะปั่นแช่ไว้เลยค่ะ พอลูกค้าซื้อเค้าก็เทให้เลย ไม่ได้ปั่นใหม่ตามสั่งเป็นแก้วๆแบบที่ไทย แล้วมันจะไปอร่อยได้ยังไง T_T ปั่นกินเองยังอร่อยกว่าอีก เสียดายเงิน แก้วละ 500 yen เลย


เดินเที่ยวเล่นจนหนำใจซักพัก ก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ Nankai Namba เพื่อขึ้นรถกลับบ้านค่ะ จริงๆเราจะขึ้นรถใต้ดินที่ Dotonbori เลยก็ได้ ใกล้ดีด้วยค่ะ แต่เรามีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกคือ เราต้องหาตู้ล็อกเกอร์เพื่อฝากกระเป๋า จะได้แวะเที่ยวช่วงครึ่งวันเช้าก่อนบินกลับไทยค่ะ 

จากแผนเดิมจะฝากที่สถานีแถวที่พัก แต่ตู้เล็กไปเลยเปลี่ยนมาแผน 2 คือ จะมาฝากกระเป๋าที่สถานี Nankai Namba แล้วนั่งรถไปเที่ยวต่อ แล้วค่อยกลับมารับกระเป๋าแล้วขึ้นรถ Rapit: ตรงเข้าสนามบินเลย แต่พอเดินมาเจอตู้ล็อกเกอร์แทบช็อกค่ะ เจอป้ายปิดประกาศงดให้บริการล็อกเกอร์ 1 อาทิตย์ทั้งสถานีค่ะ  เท่ากับว่าแผน 2 เราล่มเลยค่ะ เพราะเค้าปิดให้บริการทั้งสถานี ในช่วงที่เรามาเที่ยวพอดี จริงๆมีตู้ที่กระเป๋าเราใส่ได้สบายๆหลายตู้เลยค่ะ เสียดายมากๆ 

สุดท้ายก็ต้องกลับมาวางแผนกันใหม่ ว่าในวันกลับเราจะทำยังไงดีกับกระเป๋าสัมภาระของเรา เรื่องให้หิ้วไปเที่ยวด้วยนี่ตัดไปได้เลยค่ะ เพราะกระเป๋า 2 ใบใหญ่ ไม่นับกระเป๋าหิ้วของฝากใบเล็ก เด็ก 2 คน กับรถเข็นไม่สามารถจริงๆค่ะ 

กลับถึงที่พักก็วางแผนกันใหม่ค่ะ พอวางแผนเสร็จก็รีบไปแช่ขาในน้ำอุ่น อาบน้ำ แล้วก็รีบเข้านอนค่ะ วันพรุ่งนี้ต้องรีบออกเช้าอีกแล้ว เพราะเราจะต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วเข้า Universal กันค่ะ เนื่องจากเราต้องการใช้โปรวันเกิดให้ลูกชาย 4 ขวบ ของเราเข้าฟรี ส่วนผู้ติดตามได้ส่วนลดคนละ 500 yen เลยต้องไปซื้อตั๋วหน้างานค่ะ    






Create Date : 03 กันยายน 2559
Last Update : 5 กันยายน 2559 10:18:22 น.
Counter : 2335 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Trippy
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กันยายน 2559

 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30