15 กรกฎาคม/Juillet 09
อย่างที่บอกไว้ในบล็อคก่อนหน้านี้ว่า
ดิฉันเป็นคนอยากไปเที่ยวสุรินทร์ เพราะยังไม่เคยไป
อยากไปดูปราสาทหินเก่าๆซึ่งที่นี่มีเยอะมาก
วันเดียวยังเที่ยวไม่หมดเลย...ขอบอก
น่าเสียดายที่ทางจังหวัดไม่ค่อยโฆษณา
ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวดีๆ
ส่วนใหญ่จะหนักไปทางประชาสัมพันธ์งานช้าง
ใจจริงอยากจะบอกว่า
จังหวัดสุรินทร์ไม่ได้มีดีแค่ช้างเจ้าคะ...
แต่ยังมีปราสาทหินเก่าๆที่น่าเที่ยว
อีกเยอะแยะมากมายก่ายกอง
(รูปประกอบด้านล่างคือปราสาทตาเมือนธม)
ครอบครัวดิฉันยังคงนอนโรงแรมที่จังหวัดบุรีรัมย์เหมือนเดิม
ตอนแรกกะย้ายไปนอนที่สุรินทร์ แต่คิดไปคิดมา
ไม่เปลี่ยนดีกว่า ขี้เกียจเก็บของ
เช่ารถแบบเช้าไปเย็นกลับก็ได้ จังหวัดติดๆกันแค่นี้เอง
ตกลงก็เลยเช่ารถของเจ้าเดิมวันละ 1500 บาท
พร้อมคนขับแต่ไม่รวมน้ำมัน
เที่ยวทั้งวันจ่ายค่าน้ำมัน 1060 บาทค่ะ
(รถตู้ก็ซดน้ำมันโฮกอย่างเงี้ยแหล่ะ
ทางนั้นเค้าไม่มีรถเก๋งอ่ะ)
หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรม
เข้าไปวนดูตัวเมืองสุรินทร์แป๊บนึง
เดี๋ยวจะพลาดไม่ได้เห็นหน้าตาเมืองเค้า
เพราะที่หมายที่เราอยากเที่ยว
คือปราสาทต่างๆซึ่งอยู่อำเภออื่น
ที่แรกที่ต้องไปให้ได้คือ
"ปราสาทศรีขรภูมิ"
(Prasart Sikhoraphum)
ที่นี่เก็บค่าเข้าคนไทย 10 บาท
ส่วนชาวต่างชาติ 50 บาท
ปราสาทชื่อเดียวกันกับตัวอำเภอที่ตั้ง
ประกอบด้วยตัวปราสาทก่ออิฐ 5 หลัง
ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง สันนิษฐานว่า
สร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17
(ข้อมูลจากป้ายด้านหน้าปราสาท)
จากนั้นเหลือตัวเลือกปราสาท
ให้แวะได้อีกแค่แห่งเดียวเท่านั้น
เพราะถ้าไปหลายที่ก็จะอดไปเที่ยว
กลุ่มปราสาทตาเมือน ที่อยากไปจริงๆ
เพราะมันไกลมาก
อยู่อำเภอที่ติดชายแดนกัมพูชาทีเดียวเชียวแหล่ะ
ก็เลยเลือกแวะ
"ปราสาทหินบ้านพลวง"
(Prasart Hin Ban Phluang)
เพราะยังพอผ่านไปได้
ที่นี่ค่าเข้าเท่ากับปราสาทศรีขรภูมิคือ
คนไทย 10 บาท ต่างชาติ 50 บาท
จากนั้นก็ตีรถยาวไปถึงอำเภอพนมดงรัก
เพื่อที่จะไปเที่ยว "กลุ่มปราสาทตาเมือน"
ซึ่งมีทั้งหมด 3 หลังตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่ไกลจากกันนัก
ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือน ตาเมือนธมและตาเมือนโต๊ด
เราไปแวะกันที่ "ปราสาทตาเมือนธม" ก่อน
(Prasart Ta Muan Thom)
เพราะเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
และอยู่ใกล้ชายแดนกัมพูชาที่สุดด้วย
ประวัติความเป็นมาจากป้ายด้านหน้า
บอกว่าสร้างขึ้นในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย
ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด
เป็นโบราณสถานศิลปะเขมรสมัยบาปวน
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงต้น 17 (พ.ศ.1560-1630)
กรมศิลปากรได้ขุดแต่งและบูรณะตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าค่ะ แต่ก่อนจะเข้าไปชม
ต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ที่ทำการด้านหน้าก่อน
((จริงๆก่อนจะมาที่นี่ เราก็ได้โทรศัพท์
ไปสอบถามทางจังหวัดก่อน
ว่าสามารถเข้าชมได้หรือเปล่า
เพราะดิฉันห่วงเรื่องความปลอดภัยค่ะ
อ่านเจอในหลายๆที่ เค้าก็แนะนำว่า
ควรจะติดต่อแจ้งไปก่อน
แต่ทางนั้นตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร
ไปถึงแล้วให้เราติดต่อด้านหน้าปราสาทเอง))
ช่วงที่เข้าไปไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลยซักคน
มีทหารพรานไทยประจำการอยู่หน่อย ในตัวปราสาท
แต่มีทหารเพื่อนบ้านที่แต่งตัวเหมือนพลเรือนปกติ
ในจำนวนที่มากกว่าฝ่ายไทยซะอีก
สภาพปราสาทตาเมือนธม
ก็เหมือนปราสาทหินเก่าๆทั่วไป
เพียงแต่ไม่ได้รับการบูรณะเท่าที่ควร
เสียดายสภาพหินที่อาจทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
ถ้าไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดีเช่นปราสาทอื่นๆ
ส่วนสภาพภายนอกก็ดูไม่ค่อยงาม
มีหญ้าขึ้นรกรุงรังเต็มไปหมด
((รูปทางเข้าปราสาทด้านหน้าค่ะ))
ปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ใกล้ชายแดนเขมรมากถึงมากที่สุด
ห่างจากตัวปราสาทไม่กี่สิบเมตรจะมีบันไดลงไปฝั่งโน้น
ซึ่งตอนที่ไป เค้าเปิดใช้งานเป็นทางขึ้นลง
ปัจจุบันเป็นไงไม่ทราบ
เส้นแบ่งเขตชายแดน
ทำเป็นรั้วไม้ล้อมรอบดังในรูป
แต่ดิฉันมิกล้าเดินไปดู
ได้แต่ชะโงกหน้าจากด้านบน
แล้วใช้กล้องถ่ายรูปซูมเอาค่ะ
จากนั้นเราก็ไปแวะ
"ปราสาทตาเมือนโต๊ด"
(Prasart Ta Muan Tot)
ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม
ประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตร
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอโรคยาศาล
หรือสถานรักษาพยาบาลชุมชน
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
สรุปแล้วสุดท้ายเราไม่ได้แวะปราสาทตาเมือน
ซึ่งอยู่เยื้องๆไปหน่อย
เพราะว่าเหนื่อยค่ะ อากาศร้อน
แล้วเที่ยวปราสาทมาทั้งวัน
เดินแล้วก็เดินๆๆ ก็เลยขอนั่งรถดูผ่านๆ แล้วกัน
สภาพภายนอกจะคล้ายๆตาเมือนโต๊ด
ไม่ได้ใหญ่มากเหมือนตาเมือนธม
ได้เวลากลับกรุงเทพฯ
วันรุ่งขึ้นออกจากโรงแรมแต่เช้าตรู่
เพราะรถไฟออกแปดโมงครึ่ง
หลังกินอาหารเช้าก็เช่ารถโรงแรมมาส่งสถานีรถไฟ
รถไฟขากลับมีแค่ 4 ตู้เองค่ะ
มาจากอำเภอศีรขรภูมิ (สุรินทร์)
เราอยู่ตู้สองรถนั่งแอร์ แต่รถไฟขามาจากกทม.
สภาพรถดูดีกว่าเยอะเลยหล่ะ
ตู้สีน้ำเงินในรูปมุมขวาล่างเป็นมุมอ่านหนังสือ
ของจังหวัดบุรีรัมย์
ที่ท่านนายกฯอภิสิทธิ์เพิ่งมาทำพิธีเปิด
ก่อนหน้าดิฉันมาไม่นานนี้เองค่ะ