ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
" อาทิตย์เดียวเที่ยวไปสองภู ฉบับ ภูหลวง"

(เนื่องจากบันทึกนี้เมื่อปี 46 ลงไว้ที่พันทิพแต่กระทู้ได้ตกไปนานแล้ว เลยย้ายมาเก็บไว้ที่ blog ครับ)

SmileySmileySmileyการเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากจะไปภูกระดึง ไปเข้าไปชวนเพื่อนในเวป

คนแบกเป้ เจอแม่อ้อยสร้อย มาชวนไปภูหลวงว่าจะเข้าป่าปิดภูหลวง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะเข้าไปท่าไหน

พอทราบความจริงกลับไม่ใช่เส้นทางปกติที่เคยเปิด แต่เป็นเส้นทางสายโหล่นแต้ ที่เคยเปิดเมื่อสมัย4ปีที่แล้ว

แต่ปัจจุบันถูกปิดไปเพราะปัญหาเรื่องขยะนั้นเอง งานนี้เราเลยได้เดินป่าจริงๆ ตามเส้นทางลาดตระเวน

ของเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เริ่มต้นการเดินทางนัดเจอแม่อ้อยที่หมอชิต

ไปเจอกันตอน3ทุ่มครึ่ง แม่อ้อยโทรจองตั๋ว ผมเป็นคนไปรับตั๋วมาเจอกันสามทุ่มครึ่งเตรียมตัวขึ้นรถ

รถออก4ทุ่ม ก็คุยตามประสาคนเพิ่งรู้จักกัน แล้วหมดแรงคุยเอาตอนเที่ยงคืน หลับๆตื่นๆก็มาถึงตลาดภูเรือ

05.30น. เข้าห้องน้ำ ไปซื้ออาหารแห้งเพื่อเป็นเสบียงที่เอาไปทำ และยอดข้าวไปฝากพี่ๆที่หน่วย

เดินซื้อกับข้าวก็โดนผึ้งมุดเข้ามาในพุงต่อย เจ็บอีกแล้วครับ พี่วีระยุทธมารับเราตอน6.30น. เริ่มการเดินทางสู่ภูหลวงกันเลย

ก่อนเข้าไปที่โคกนกกระบา(นกกระบาคือนกตบยุงครับท่าน)เราแวะที่หน่วยด้านล่างเพื่อเตรียมของ

ผมเลยลงไปหาดูกล้วยไม้ พวกเอื้องคำ สามปอย และลูกผสมฟราแลน กำลังถ่ายรูปกล้วยไม้

นกพญาไฟใหญ่ก็บินมาให้ดูใกล้ๆ กระรอกก็เยอะมากครับที่นี้เหมาะจะมาดูนก




SmileySmileySmileyเตรียมของเสร็จขึ้นรถไปยังโคกนกกระบา เส้นทางเป็นทางลูกรังระยะทางประมาณ 10 กม.

ตลอดทางเสียงนกร้องให้ระงม รอยช้างที่ออกเดินหากินข้างทางเติมไปหมด ขับรถไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ไปถึงโคกนกกระบา

พี่ๆเจ้าหน้าที่เตรียมของเรียบร้อยรอเราสองคนเท่านั้นเอง เอาของที่ไม่จำเป็นออกเอาแต่ที่ต้องใช้เท่านั้น

ผมเอาถุงนอนกับเสื้อผ้าไปชุดเดียว ที่ขาดไม่ได้คือถุงดำ เจอฝนแน่นอน รวมน้ำหนักแล้วประมาณ 6 กก.

รวมกล้องกับขาตั้งก็อีก 3.5 กก. เส้นทางที่เราเดินเริ่มต้นที่โคกนกกระบาผ่านลานสุริยัน

ยังพอมีกล้วยไม้ให้ชมบ้างหลังจากที่ปิดภูไปเมื่อ 31 มีนาคม มีเอื้องสำเภางาม เอื้องตาเหิน ให้ชมบ้าง

แต่ที่เยอะเห็นจะเป็นเอื้องครั้งแสดที่กำลังแข่งกันปาน ก่อนที่จะหลุดออกจากลานสุริยัน ก็เจอจระเข้ภูหลวง

แหวกว่ายอยู่ในห้วยเล็กๆ เจ้าตัวที่พูดถึงมันคือเจ้า ซาลาเมนเดอร์สัตว์สมัยดึกดำบรรณที่หลงเหลืออยู่ เก็บภาพเจ้าสัตว์หายากเอาไว้

หลุดออกจากดงกล้วยไม้ก็เข้าสู่ป่าดิบเขา ทางยังโล่งเดินกันได้สบายพอมีทากให้ระแวงบ้าง

น้าทองหลางเอาลูกไม้แปลกๆมาให้ชิม รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆ น้าทองหลางบอกมันเป็นสายพันธุ์ของท้อพันธุ์จีน

ผลสุกงอมเป็นสีชมพูอ่อนๆผมเลยเก็บใส่ปาก เดินไปกินไปครับ ช่วยแก้กระหายน้ำได้ดีทีเดียว

เดินได้พักใหญ่ก็เข้าเขตป่าสน เป็นสนใส่เสื้อที่เติมไปด้วยมอสและเฟิร์น(เจ้าหน้าที่เรียกที่นี้ว่า แปลกดำ)

เราหยุดสำรวจทากหลังออกมาจากป่าดิบ พักหายเหนื่อยแล้วเดินทางกันต่อ ผ่านป่าสนเข้าทุ่งหญ้าสลับกับป่าเล็กๆ

มองเห็นหลังกันไวไวแล้วก็ลับหายไป พี่ๆเจ้าหน้าที่เดินกันเร็วครับ ส่วนแม่อ้อยของผมอวบหน่อยต้องค่อยไป

11 โมงเราก็มาถึงกลางทางซึ่งระยะทางที่ผ่านมาประมาณ 10กม.ก็ครึ่งทางล่ะครับ ผมเดินมาเจอพี่จะกินข้าวกันพอดี

เลยบอกให้ลงไปกินในร่มดีไหมจะได้เย็นดี น้าบุญนำเดินไปหาที่กินข้าวก็ลงไปไกลซิครับ (ไม่น่าบอกเลยกินตรงนี้ก็ดีแล้ว)

กว่าจะหาได้ก็เล่นเอาลงมาจากสัน ภูขวางเยอะแล้ว จัดเตรียมกับข้าว มีแอ็บปลาซอย แอ็บไข่ปลา ข้าวพัด หมูยอ

และแจ่วบอง(แจ่วบองคล้ายกับปลาร้าสับครับแต่ใส่ปลาร้าน้อยกว่า) กินกันอย่างอร่อย “แซบหลายครับแซบ”

ตบท้ายด้วยแตงไทที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อเช้า ตอนนี้เราพยายามจัดการกับอาหารที่ไม่จำเป็นให้ลงท้องให้หมด

จะได้เบาแรง ต่อจากนี้เส้นทางต่อไปเป็นป่าดิบเขาทางรก ทากเยอะ เป็นทางลงเขา แสงแดดส่องลงมาไม่ถึงพื้น ฝนเริ่มตกหนักแต่เราก็ยังเดินกันต่อไป


SmileySmileySmileyแล้วก็ได้ยินเสียงร้องดังลั่นป่า แม่อ้อยครับ โดนทากเกาะแล้วไม่สามารถ

ผมต้องเอาออกให้ไม่ใช่เกาะที่ธรรมดาครับเกาะสูงเชียว ตัวที่หยิบออกมาเป็นตัวสีเขียวๆเหลือง น้าบุญนำบอกว่ามันคือทากทอง

จะอยู่ตามใบไม้กระโดดมากัดบริเวณที่อ่อน ตั้งแต่เอวขึ้นไป มันไม่ดุเท่าทากดิน เจ้าทากดินเกาะแล้วกัดเลย

ส่วนเจ้าตัวนี้ต้องหาที่อ่อนๆกัด เส้นทางที่เหลือ 10 กม.นี้จะเจอทากแบบนี้ตลอดเส้นทาง ช่วงที่หยุดถ่ายรูปก็ได้มาหลายตัว

แต่มันไม่ทันกัด บ่ายโมงกว่าขณะเราก็มาถึงโหล่นมน สถานที่กางเต้นท์ของนักท่องเที่ยวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

ตอนนี้รกร้างขาดการดูแลสภาพใกล้พังเต็มที เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นทางขึ้นมาจากทางอำเภอวังสะพุง

เส้นทางขึ้นก็เหมือนภูกระดึงแต่ลำบากกว่าหลายเท่า เราสำรวจสถานที่แล้วก็เดินทางต่อ เวลา บ่าย 2 โมง

แม่อ้อยก็มาถึงที่โหล่นแต้เป็นคนสุดท้ายของคณะกับผู้ดูแล น้าทองหลาง

ณ.โรงครัวโหล่นแต้ พี่ๆทำกับข้าวกัน มียำมะเขือยาวเผา(อีสานเรียกซุบมะเขือ) ส่วนผมจะทำแกงส้มให้แม่อ้อย

เอาเตามาแต่ลืมขาตั้ง ต้องขุดฝังกระป๋องแก๊สยาว มีแต่พริกแกงครับ มะขาวเปียกไม่มี น้ำตาลไม่มีอีก

เลยเอาแหนมมาทำให้รสเปรี้ยว เอาปลาหวานมาแทนน้ำตาล “เอาเข้าไป” ก็พอกินได้ครับ บวกกับแจ่วบองก็ซ้วยกันเลี่ยม

นั่งคุยกันหลังอาหารได้พักเดียวฝนตกหนักต้องแยกย้ายกันเข้านอน ตอนนั้นเวลาทุ่มกว่ายังไม่ง่วงครับเลยจุดตะเกียงคุยกันสามคน

คืนนี้พี่นเรศมานอนเป็นเพื่อนที่บ้านพักเรา อยู่ๆตัวต่อบินมาต่อยแม่อ้อยเฉยเลย ดีที่ไม่แพ้ คุยกันต่อได้สักพักแม่อ้อยก็เข้าไปนอน

เราสองคนเลยนอนตาม บรรยากาศน่านอนเอามากหลับเป็นตายไม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำเลย แถมฝันดีอีก(กลับมาถูกหวยด้วยครับ)


SmileySmileySmileyตื่นมา 6 โมงกว่าเดินออกไปดูนกที่ทางเดินเข้าเขตป่าปิด แต่ก็ไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ เดินมาที่โรงครัวพี่ๆทำอาหารรอแล้ว

ผมก็ไปช่วยย่างปลาหมึกกับปลาหวาน เพราะลืมน้ำมันมา ตั้งใจเอามาทอด แบกมาจากระยองเลยโธ่

หลังจากกินข้าวเสร็จเราทั้งคณะก็เตรียมตัวเดินเท้าเข้าเส้นทางเดินป่าโหล่นแต้ ตามทางสายหน้าผาระยะทาง 15 กม.

เริ่มเดินทางเข้าไปทางที่เมื่อเช้าผมเข้าไปดูนก เดินมาได้สักพักก็เริ่มเข้าป่าสนเป็นทุ่งสนสองใบลักษณะคล้ายภูกระดึง

เอื้องม้าวิ่งเริ่มบานให้เห็นความสวยงาม ก็เดินเข้าป่าดิบเขาอีกครั้ง บริเวณที่เข้าไปเป็นชายภูยองภู(คำว่ายองทางอีสานแปลว่าวางอยู่ข้างบนอีกชั้น)

มีรอยช้างเข้ามาหากินก่อนหน้าเราเข้าไปพักเดียว เห็นร่องรอยยังใหม่อยู่ ทำให้เดินไปเสียวๆไป เห็นหลังกันไวไว

แล้วเข้าสู่ทางขึ้นเขาดงสนอีกครั้ง มีทั้งป่าดิบ มีทั้งดงสนสลับกันอย่างนี้ทำให้ผมล่ะงงแล้ว แต่ดีหน่อยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีทาก

เข้าสู่บ่อทรายร้องเป็นบ่อทรายที่มีการไหลของทรายตลอดเวลาในช่วงหน้าแล้ง เราไปถึงมันถูกน้ำฝนขังหมดแล้วเลยร้องไม่ได้

ผ่านเข้าซุ้งงูเห่า ทะลุออกมายัง ผาภูหลวงเห็นผาอยู่ไกลๆ พอเดินมาถึงก็เจอภาพที่สวยงามของภูหอ ที่ตั้งตะง่านอยู่ตรงหน้า

ฉากหลังที่เป็นภูกระดึงมองไม่เห็นเพราะหมอกหนามากวันนี้ อีกทั้งฝนยังตกอยู่ด้วย ทำให้ฟุ้งไปหมด

แวะถ่ายรูปเก็บบรรยากาศแล้วเดินต่อไปที่สนามกอล์ฟช้าง มองเห็นผากบ
อยู่ลิบๆทางเหนือของสนามกอล์ฟช้าง

ผ่านดงสนมาจะเข้าสู่ผากบฝนก็ตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆจนหนักมาก ต้องเอาถุงดำมาใส่กล้องไว้ พังมาแย่แน่เรา

เราทั้งหมดขึ้นสู่ผากบโดยผมเป็นคนสุดท้าย ฝนก็หยุดตกพอดีนั่งพักเหนื่อยกันสักครู่ พี่ๆก่อกองไฟเพื่อย่างปลา และแหนม

พี่นเรศชี้ให้ดูทุ่งสนที่เขาถ่ายลงหนังสือ อสท. ผมเห็นแล้วมันก็สวยจริงๆครับกดมาหลายรูปเช่นกันแต่โชคไม่ดีเพราะฝนตกนี้ล่ะครับ

ท้องฟ้าเลยมัวๆ มองจากผากบไปยังภูหอก็แทบมองไม่เห็นแล้ว “มากินข้าวกันเร็วกับข้าวสุกแล้ว” “สุกไวดีแท้”

มานั่งล้อมวงกินข้าวกันมันแซบอีหลีแท้ มีแจ่วบองด้วยแซบๆผมก็อิ่มก่อนเพื่อนตามเคย ไปถ่ายรูปต่อเพราะต้องใช้เวลารอแดดเป็นพักๆ

ทำให้ใช้เวลาในการถ่ายรูปนานกว่าปกติ พอดีกับพี่ๆนอนพักผ่อนเอาแรงกัน เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกลอีกครั้ง

น้าบุญนำจึงบอกให้ทุกคนออกเดินทางต่อ เราจะไปทีผารุ่งอรุณกันและผ่านไปยังโหล่นแต้ ทางเดินเป็นทุ่งหญ้าคาจนมองเห็น

ภูยองภู ภูขวาง และจุดที่สูงที่สุดของภูหลวง แล้วเข้าสู่ทุ่งสนโหล่นแต้ ณ.จุดนี้เคยเป็นพับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

เมื่อครั้งเสด็จประพาสภูหลวง อยู่ชมกันได้ครู่ใหญ่เราก็กลับลงมาที่ ที่ทำ
การโหล่นแต้ตอนบ่าย 2 โมงกว่าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนอาบน้ำ

ส่วนผมกับพี่อีกสองคนก่อกองไฟนึ่งข้าวเหนียว ทำแกงพักทองอ่อนเหมือนแกงเลียงนะครับ แต่ใส่ปลาร้าด้วยใส่แจ่วบอง

ไปอีกรสชาติแซบหลาย เอาปลาหมึกใส่ไปด้วยหอมเลย ย่างปลาอินทรีย์กับปลาหวานอีกทำไปกินไปเพราะข้าวนึ่งสุกแล้ว

5 โมงเย็นกับข้าวก็พร้อมเรียบร้อย ทุกคนไปอาบน้ำรวมทั้งผมด้วย วันนี้น้ำที่ลำธารเยอะมากเพราะสายฝนวันนี้

เย็นนี้กับข้าวอร่อยมากหมดทุกอย่าง พอท่านข้าวกับเสร็จก็นั่งคุยกันแม่อ้อยขอตัวไปนอนท่าทางจะเหนื่อยเอามาก

พอแม่อ้อยเดินลับตาไปฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ฟ้าร้องเสียงดังสนั่นนั่งคุยกับน้าทองหลางข้างนอกไม่ได้แล้วต้องหลบเข้าในห้อง

คุยกันต่อ เมื่อเดือนที่แล้วเกือบมาตายกันที่นี้น้าทองหลางเล่า “เจอเห็ดที่กลางทาง เก็บมาต้มเค็มหม้อใหญ่

กะว่าจะเอาไว้กินตอนเช้า เลยให้ทุกคนชิมคนล่ะ 2 ดอก ถ้าไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะได้ทำเป็นกับข้าว ปราดุก(กฎ)ว่า

เมา ต้องขุดหลุมฝังตัวเองให้นอนในหลุม ตายกันทั้งคืน ให้ไอดินช่วยชีวิต เลยรอดตายมาได้” เห็ดแถวนี้อย่ากินเด็ดขาด

น้าทองหลางบอก “ผมนะไม่เอาด้วยหรอก” คุยต่อได้สักพักฝนก็หยุดผมเลยขอตัวไปนอน พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแต่เช้า

มาที่บ้านแม่อ้อยยังไม่นอน ยังจุดตะเกียงเอาไว้ บอกกลัวผี คืนนี้เรานอนที่บ้านสองคน พี่นเรศไม่รู้ไปนอนที่ไหน แม่อ้อยนอนในห้องผมนอนข้างนอก


SmileySmileySmileyตื่นมา 6 โมงเช้าผมรีบวิ่งมาที่โรงครัวจะมาดูนก กระรองทองแก้มขาว เจอพี่เก็บของเตรียมตัวเดินทางกันแล้ว

ผมเลยต้องกลับไปบอกแม่อ้อย และเก็บของตัวเองไปรวมกันที่โรงครัว เช้านี้เอากับข้าวที่เหลือมาทำให้หมด ยกเว้นของแห้งเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่

ที่ประจำอยู่หน่วยนี้ แจ่วบองอีกแล้วครับท่าน กับหมูที่รวนไว้ตั้งแต่วันมา กับข้าวนึ่งร้อนๆเข้ากันดีจริงๆ เดินไปกินไป

ยืนกินกัน เก็บของไปด้วย อิ่มเอา ตอน 7 โมงกว่า ออกเดินทางกลับกันเลยครับ ขากลับต้องรัดขากางเกงอย่างดี

วันนี้ต้องลุยดงทากกันอีก ยิ่งฝนเมื่อวานทำให้มันออกมากันใหญ่ เมื่อเริ่มเดินเข้าป่าดิบก็เจอเข้าให้ครับ

ต้องรีบเดินไม่สนใจที่จะมองข้างทางแล้ว ทางเดินก็ลื่น น้าบุญนำจับกบไปสองตัว แม่อ้อยไม่ต้องพูดถึงจับไปหลายตัว

ผมก็ได้กับเขาตัวหนึ่ง กว่าจะหลุดออกมาจากดงทากก็ใช้เวลา ไป ชั่วโมงกว่า เราขึ้นมาอยู่บนภูขวาง แล้วทุกคนก็สำรวจทากของตัวเอง

ได้มาสองตัวครับ มุดอยู่ที่รักแร้ แต่ไม่กัด(เลยรอดไป) ส่วนตัวไหนที่ไปเกาะน้าบุญนำโดนเผาทุกตัว ตายสถานเดียว

พอเข้าป่าสนก็ต่างคนต่างเดินแยกกันเป็นกลุ่ม พี่ๆกลัวฝนตกรีบจั้มกันใหญ่ ส่วนผมไปเรื่อยเปียกอยู่แล้ว หาดอกไม้ ถ่ายรูป

ส่วนแม่อ้อยถูกทิ้งไว้ท้ายขบวนพร้อมกับน้าทองหลาง 11 โมงผมก็มาถึงผาสุริยันฝนตกหนักอีกครั้ง

เปียกอยู่แล้วกลัวทำไม่เอาถุงดำใส่กล้องก็เดินเรื่อยๆ พี่ๆที่เดินมาก่อนคงถึงกันแล้ว ผมมาหยุดดูเจ้าซาราเมนเดอร์

แต่ไม่ยักกะเห็นสักตัว นั่งอยู่สักพักออกมากันใหญ่ครับ มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ออกมาให้เตริม นึกว่ามีตัวเดียวที่ไหนได้มากันเป็นสิบ

เก็บภาพไว้อีกครั้งกับเจ้า จระเข้ภูหลวงเดินมาถึงโคกนกกระบาคนสุดท้ายครับ แม่อ้อยเดินแซงไปตอนถ่ายดอกไม้ มาที่บ้านพัก

แม่ครัวทำกับข้าวรอแล้วก็จัดการเลยครับหิวพอดี ผมเลยถามน้าว่าใครจะลงภูบ้างผมจะติดรถไปลงปากทางเพราะผมจะไปภูกระดึงต่อ

ส่วนแม่อ้อยคงไม่ไหว แม้อ้อยว่าจะกลับพอดี ไม่นอนที่นี้ต่อแล้ว เลยให้พี่วีระยุทธไปส่งที่เมืองเลย ฝนก็ยังตกไม่หยุดก็ต้องรอฝนก่อน

บ่าย 2 โมงเราเริ่มลงจากโคกนกกระบา ลงมากราบลาหัวหน้าหน่วย ท่านกำลังประชุมอยู่เลยไม่ได้คุยกันมาก จากปากทางบ้านสานตม

ถึงเมืองเลยอีก 36 กม.จะเข้าเมืองเลยแดดร้อนเปรี้ยง “จะเป็นหวัดหรือเปล่าหว่า เจอฝน เจอแดด” ตัวเริ่มรุมๆ

เข้าเมืองเลยไปไม่ถึง บขส.เจอรถ เลย – ขอนแก่นผมขอลง ลาแม่อ้อย พี่วีระยุทธ แบกเป้ขึ้นรถเมล์แดงขอนแก่นไปภูกระดึง ผู้เดียวทันที



.........รายละเอียดการเดินทาง.........
- กรุงเทพฯ-ภูเรือ ( หมอชิต) เพชรทัวร์ ช่อง 42 ราคา 288 บาท
- รถเหมารับส่งขึ้น-ลงภูหลวง 1000บาท หาร 2
- อาหารแห้ง+ข้าว+แก๊ส 300 บาท
- ระยะทางเดินเท้า 56 กม.
ณ.วันที่ 28 เมษายน 46





Create Date : 23 พฤษภาคม 2553
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 1:40:04 น. 0 comments
Counter : 661 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาย วิท
Location :
ระยอง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ blog นี้นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว และข้อมูลเล็กๆที่ ข้าพเจ้าชอบ
เพื่อจะเป็นแนวทางให้บุคคลทั่วไปได้เอาไปใช้บ้างครับ
Friends' blogs
[Add นาย วิท's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.