“ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”

ติช นัท ฮันท์
349 .. หนุ่มบ้านนอก













ห นุ่ ม บ้ า น น อ ก











บล็อกเรื่องนี้ ป้านำมาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ค่ะ เป็นเรื่องแนวการสร้างกำลังใจให้กับตนเองในการทำงาน


แม้จะพานพบกับอุปสรรคจนคิดจะยอมแพ้




อย่ายอมแพ้นะคะ ทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างมีทางเป็นไปได้ค่ะ


ขอแต่ให้มีก้าวแรกและความพยายามเต็มร้อยเท่านั้น


ป้าพร้อมจะเป็นกำลังใจให้ทุกคน..... สู้ สู้นะคะ











หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย


เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า


มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ กำลังรับสมัครนักการภารโรง


ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา


จึงจับรถมากรุงเทพ และเดินกางแผนที่(ที่เพื่อนเขียนให้) สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น


ซึ่งกว่าจะเจอ ก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียว


เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง


และยื่นใบสมัครให้กรอกข้อความ










หนุ่มคนนั้นก็ยิ้มแหย ๆ ยกมือไหว้ แล้วบอกอ่อยๆกับเจ้าหน้าที่ว่า


“...ขอโทษครับพี่ ผม...คือว่า... ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”


เจ้าหน้าที่ ที่นั่งรับสมัครอยู่นั้น ชักสีหน้าทันที


“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน ถึงจะตำแหน่งแค่นักการภารโรง ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา


แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออกเขียนได้ บ้างซิคะ”


หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ


“...ผมไม่รู้หนังสือจริงๆครับ แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่ ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ”


“งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”


เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัครกับปากกาที่วางไว้ให้คืนอย่างไม่มีเยื่อใย


“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ


กลับไปบ้านนอกเถอะ”











หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินคอตก ออกจากโรงเรียนที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำ อย่างเงื่องหงอย


และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ ก็ต้องจำใจกำเงินจำนวนสุดท้าย จับรถซมซานกลับบ้านอย่างนกปีกหัก











เมื่อกลับถึงบ้าน จึงนึกขึ้นได้ว่า ตนเองมีที่ดินรกร้างเท่าแมวดิ้นตาย


ซึ่งได้มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว


ด้วยความเจ็บใจจึงเกิดเป็นแรงมุมานะ จับจอบจับเสียมหักร้างถางพง ที่ดินเก่าที่รกร้างนั้น


เขาค่อยๆพลิกฟื้นขุดร่องลงแปลงผลไม้ ทีละเล็กทีละน้อยอย่างฮึดสู้กับชะตาชีวิตด้วยความอดทน. . .









อาจเพราะจังหวะชีวิตของหนุ่มคนนี้ก็ได้ ปรากฎว่าผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น ออกดอกออกผลงดงามมากมาย


ในช่วงปีที่ราคาผลไม้กำลังแพงพอดี


ซึ่งสร้างผลกำไรแก่เขามากมายมหาศาล จนสามารถขอซื้อที่ดินแปลงข้างเคียง ขยายอาณาเขตสวนผลไม้ของตน


ให้กว้างขึ้น และกว้างขึ้น ปีแล้วปีเล่า. . .









หลายสิบปีผ่านไป จากความขยันขันแข็ง มีเงินก็ซื้อที่ดินเพิ่ม


มีมานะอดทนอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้น


บัดนี้หนุ่มบ้านนอกคนนั้น ก็กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่คนทั้งเมืองรู้จัก


ในนามของพ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด และของภูมิภาค











เขาเอง เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตน ได้เงินเป็นจำนวนมากมายมหาศาล


และชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อยแล้วด้วยฝีมือของลูกๆหลานๆที่ส่งให้ไปเล่าเรียนสูงๆ


พ่อเลี้ยงก็คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหอบเอาเงินที่มีเก็บไว้ ไปฝากธนาคารในเมืองเสียที









เมื่อแจ้งนามและความจำนงกับธนาคารแล้ว พนักงานธนาคารตื่นเต้นยกใหญ่


ผู้จัดการธนาคารถึงกับเดินออกมาต้อนรับ
ด้วยตัวเองทีเดียว




ผู้จัดการพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อม


พลางยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทองให้กับพ่อเลี้ยงอย่างพินอบพิเทา


“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้


รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยนะครับ”









พ่อเลี้ยงยิ้มใจเย็น ส่ายหน้าช้าๆ ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้ผู้จัดการธนาคาร พลางกล่าวเนิบๆ


“ผู้จัดการ ช่วยกรอกรายการให้ผมทีเถอะ ผมอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”


ผู้จัดการเกิดอาการงงแบบสุดขีด ค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่อย่างเกรงใจสุดๆ


“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลย นะครับ......เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพเถิดครับ


คือ...พวกเราในจังหวัดก็ทราบกันดี ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยงในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้


แต่…....” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ


และในที่สุดก็หลุดปากออกมาด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง


“...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก หรือเขียนหนังสือไม่ได้ จริงจริงเหรอครับ...”


“...ผู้จัดการ”   พ่อเลี้ยงยิ้มให้อย่างใจดี



“...ถ้าผมอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้ น่ะนะ...
ป่านนี้ ผมคงจะได้เป็นภารโรงไปแล้วละ...”










คุณค่าของเรา ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา  แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา


โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ


ตั้งใจทำ ในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ


แล้วดอกผลจะตามมาเอง





















ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ท



ธรรมสวัสดี



ร่มไม้เย็น ค่ะ




Create Date : 25 มิถุนายน 2556
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 15:32:56 น. 0 comments
Counter : 3847 Pageviews.

ร่มไม้เย็น
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]







เริ่มเขียน Blog เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2551


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยม เมื่อเวลา 18.15 น.



Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
25 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ร่มไม้เย็น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.