432 .. เสียงอ่านสามก๊ก ฉบับแปลใหม่ # 1 (1-5)
เสียงอ่านสามก๊ก ฉบับแปลใหม่ # 1 ลำดับที่ 1-5ข อ คุ ย กั น ก่ อ น เรื่องสามก๊ก ฉบับแปลใหม่ เป็นหนึ่งในประมาณเจ็ดสิบเรื่องที่ป้าอ่านให้กับห้องสมุดคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด ของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น....ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด) วันที่เริ่มอ่านคือ 22 กุมภาพันธ์ 2544 และอ่านจบเมื่อ 7 มิถุนายน 2544 เรื่องนี้ป้าอ่านก่อน เรื่องเพชรพระอุมา คือช่วงที่กำลังอ่านเรื่องสามก๊ก ทางศูนย์ ฯ แจ้งว่า จบจากเรื่องสามก๊กแล้วอยากจะให้อ่านเรื่องเพชรพระอุมาต่อ เรื่องเพชรพระอุมาภาคแรกนั้น มีอาสาสมัครท่านหนึ่งได้อ่านไปบ้างแล้ว แต่มีความจำเป็นบางอย่างไม่อาจจะมาอ่านต่อได้ ก็ขอให้ป้ารับหน้าที่อ่านต่อให้จบ ป้าก็เลยได้อ่านเรื่องเพชรพระอุมาต่อจากเรื่องสามก๊กด้วยเหตุนี้ (เรื่องเพชรพระอุมาทั้งภาคแรก และภาคสมบูรณ์ ป้าได้ลงในบล็อกจบไปแล้ว) เนื่องจากในช่วงเวลาที่ป้าอ่านเรื่องสามก๊ก เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการบันทึกเสียงของหน่วยงานยังมีไม่มากนัก บุคลากรก็มีน้อย การบันทึกเสียงเป็นการบันทึกลงเทปคาสเซ็ท ความยาวประมาณ 30 นาที ผู้อ่านต้องจัดแบ่งเนื้อหาที่จะอ่านแต่ละช่วงให้เหมาะกับเวลา ไม่ให้เหลือเนื้อเทปมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องไม่เกินช่วงเวลาของเนื้อเทปด้วย การอ่านเป็นการอ่านแล้วอ่านเลย ถ้าผิดก็จะผิดไปเลย ไม่มีการนำมาปรับแก้ใหม่ และผู้อ่านส่วนใหญ่อ่านแล้วก็แล้วไป ไม่ค่อยได้ติดตามหรือนำเสียงที่ตนอ่านมาฟัง ดังนั้นโอกาสที่จะแก้ไขความผิดพลาดจึงแทบจะไม่มี ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือในช่วงนั้นห้องบันทึกเสียงไม่ได้สมบูรณ์เต็มร้อย เครื่องเสียงของหน่วยงานยังอยู่ในระดับปานกลาง บางครั้งเสียงจึงอาจจะดังไป ค่อยไป หรือบางครั้งก็มีเสียงอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านแทรกเข้ามา เช่นเสียงฝนตก ฟ้าร้อง หากเสียงภายนอกดังมากก็อาจผ่านเข้ามาในห้องบันทึกเสียงได้ ผลงานจึงอาจไม่ดีอย่างที่คาดหวัง คือได้แค่ไหนก็ต้องยอมรับกับสภาพตามองค์ประกอบที่มีอยู่ สำหรับเรื่องสามก๊ก เนื่องจากบุคลากรมีไม่พอ ทั้งอ่าน และให้เสียงประกอบป้าจึงต้องปั่นคนเดียว โดยจะมีเครื่องเปิดเสียงเล็กๆวางไว้ใกล้มือ ใช้เปิดเสียงตอนต้นเทป ปลายเทป และระหว่างตอน ซึ่งบางทีถ้ามีกรณีฉุกเฉิน เช่น เกิดจะไอกระทันหัน ก็พอจะอาศัยเปิดเสียงช่วยได้เหมือนกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวผลงานเสียงจึงน่าจะอยู่ในระดับแค่พอฟังได้ หรือฟังแบบแก้ขัดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้อ่าน และผู้บันทึกเสียงก็ขอยืนยันว่า ได้ทำงานชิ้นนี้อย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพแล้ว และระดับงานประมาณนี้ ก็ถือว่าเพียงพอ สำหรับผู้ขาดโอกาสที่ไม่สามารถอ่านเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองแล้วเช่นกัน เรื่องที่ขอคุยกันก่อนก็คงจะมีแค่นี้ค่ะ ขอเชิญฟังเสียงอ่าน สามก๊ก ฉบับแปลใหม่ ลำดับที่ 1-5 ค่ะ
ลำดับที่ 1.1-1.3
VIDEO VIDEO VIDEO ลำดับที่ 2.1-2.3
VIDEO VIDEO VIDEO ลำดับที่ 3.1-3.3
VIDEO VIDEO VIDEO ลำดับที่ 4.1-4.3
VIDEO VIDEO VIDEO ลำดับที่ 5.1-5.3
VIDEO VIDEO VIDEO ขอเชิญติดตามตอนต่อไปในลำดับที่ 2 ค่ะ สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างยิ่ง แต่งขึ้นประมาณช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคสมัยราชวงศ์หยวน เป็นบทประพันธ์ของหลอกว้านจง ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 10 ภาษา และมีการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั่วโลก มีผู้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยอยู่หลายสำนวน ฉบับที่เป็นเสียงอ่านนี้เป็นฉบับแปลใหม่ โดยวรรณไว พัธโนทัย รู้จักกับผู้เขียนสามก๊กต้นฉบับภาษาจีน หลอกว้านจง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลัว กวั้นจง ตามสำเนียงกลาง หรือ ล่อกวนตง ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (จีนตัวเต็ม: 羅貫中; จีนตัวย่อ: 罗贯中; พินอิน: Luó Guànzhōng) เป็นปราชญ์และนักประพันธ์ชาวจีน มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14 (ค.ศ. 1330-ค.ศ. 1400) หรือยุคปลายของราชวงศ์หยวน ต่อถึงต้นราชวงศ์หมิง ล่อกวนตงเป็นผู้แต่งนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ปรับปรุงเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน ซึ่งนับเป็น 2 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมจีน (อีกสองเรื่องคือ ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง) ชีวประวัติของล่อกวนตงไม่ใคร่แน่ชัด แต่มีการยืนยันว่าเขามีชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิงจริง นักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อ เจียจงหมิง (賈仲明) บันทึกไว้ว่าเคยพบกับล่อกวนตงในราวปี ค.ศ. 1364 และว่าเขาเป็นชาวไท่หยวน แต่นักประวัติศาสตร์ยุคเดียวกันหลายคนต่างระบุบ้านเกิดของล่อกวนตงแตกต่างกันไป เช่นมาจากหางโจวบ้าง หรือเจียงหนานบ้าง แต่ไท่หยวน น่าจะเป็นบ้านเกิดของเขามากที่สุดเพราะเป็นที่ตั้งของบ้านตระกูลหลอ ซึ่งมีชื่อของล่อกวนตงอยู่ในสาแหรกตระกูลด้วย นักประวัติศาสตร์วรรณกรรมจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ล่อกวนตง กับ ซือไน่อัน เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ ชื่อ ซือไน่อัน อาจเป็นเพียงนามแฝงในการประพันธ์เรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน ก็ได้ เพราะเนื้อหาของเรื่องค่อนข้างต่อต้านรัฐบาลกลาง รู้จักกับผู้แปลและเรียบเรียงสามก๊กฉบับแปลใหม่ วรรณไว พัธโนทัย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วรรณไว พัธโนทัย (25 สิงหาคม พ.ศ. 2485 -) อดีตสมาชิกวุฒิสภา ในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บุกเบิกสัมพันธไมตรีไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้แปลวรรณกรรม "สามก๊ก" จากต้นฉบับเดิมของหลอกว้านจงเป็นภาษาไทยสามก๊ก ฉบับแปลใหม่ โดยวรรณไว พัธโนทัย เป็นอีกหนึ่งสำนวนการแปลจากต้นฉบับภาษาจีนของหลอกว้านจง ซึ่งเป็นฉบับเก่าแก่ดั้งเดิม และเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนอย่างยิ่งนี้ เป็นผลงานการแปลและตรวจทานร่วมกันโดยครอบครัวพัธโนทัย ซึ่งเป็นที่ร่ำลือในหมู่นักอ่านสามก๊ก จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่า สามก๊ก ฉบับแปลใหม่ โดยวรณไว พัธโนทัย ชุดนี้ จะเป็นสามก๊กฉบับภาษาไทย 2 เล่มที่ถือได้ว่าสมบูรณ์ที่สุดประวัติ วรรณไว พัธโนทัย เป็นบุตรของนายสังข์ พัธโนทัย (ที่ปรึกษาคนสนิทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) กับนาง วิไล พัธโนทัย เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2485 เป็นบุตรคนที่ 2 ของพี่น้องทั้งหมด 5 คน ได้แก่ นายมั่น พัธโนทัย นายวรรณไว พัธโนทัย นางสิรินทร์ ฮอร์น นางผ่องศรี วอร์น วัลเด็กก์ และนางวิริยะวรรณ สาทิสสะรัตนายวรรณไว พัธโนทัย เข้าศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยจนกระทั่งถึงชั้นมัธยม 3 จำเป็นต้องย้ายที่เรียนไปศึกษาต่อยังสาธารณรัฐประชาชนจีน (ขณะนั้นวรรณไว มีอายุได้ 12 ปี) เนื่องจากผู้เป็นบิดาคือ นายสังข์ พัธโนทัย ต้องการส่งไปอยู่ในความอุปการะของนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล เพื่อแสดงความจริงใจในการผูกมิตรระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้ศึกษาอยู่ที่กรุงปักกิ่งจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นตัวประกันสานไมตรีกับจีน สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตรงกับช่วงสมัยที่จีนเพิ่งตั้งประเทศใหม่ (จีนคอมมิวนิสต์) ได้เพียง 7 ปี ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีประธานเหมา เจ๋อตง เป็นประธานพรรคโดยและโจว เอินไหล เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงนั้นโลกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ค่ายโลกเสรีอันมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และค่ายโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯร่วมกันต่อต้านจีน และสหรัฐฯเองพยายามทุกวิถีทางในการสกัดจีนไม่ให้เติบโต เมื่อสหรัฐฯแพ้คอมมิวนิสต์ในสงครามเกาหลี ทำให้ประเทศเล็กไม่แน่ใจความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ นายสังข์ พัธโนทัย ที่ปรึกษาคนสนิทของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้เสนอความคิดว่า ประเทศไทยควรปรับท่าทีใหม่ ไม่ควรเป็นศัตรูกับจีน เพราะด้วยจีนกับไทย มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันมากกว่าชาติใดๆในโลก อีกทั้งจีนยังเป็นประเทศที่กำลังฟื้นไข้และจะต้องเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เห็นชอบด้วย จึงได้มอบหมายงานสานสัมพันธ์ไทยกับจีนคอมมิวนิสต์ให้แก่นายสังข์ เป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากนายสังข์ พัธโนทัย เป็นบุคคลที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์จีน และเห็นว่าจีนในอดีตมักเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยกันระหว่างก๊กต่อก๊ก ด้วยการใช้วิธีส่งลูกหรือญาติสนิทเพื่อเป็นตัวประกันในการสานสัมพันธ์ต่อกัน นายสังข์ พัธโนทัย จึงตัดสินใจส่ง เด็กชายวรรณไว พัธโนทัย กับเด็กหญิงนวลนภา (สิรินทร์) พัธโนทัย ลูกแท้ๆของตนถึงสองคน ไปอยู่ในอุปการะเลี้ยงดูของนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนคอมมิวนิสต์อย่างลับๆก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล ได้ให้การอุปการะแก่ทูตน้อยทั้ง 2 เป็นอย่างดีถูกขับช่วงปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมในจีน ในปี ค.ศ. 1966 (พ.ศ. 2509) ประเทศจีนเกิดการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมโดยการสนับสนุนของ ประธานเหมา เจ๋อตง แก๊งอ๊อฟโฟร์ (เจียงชิงภรรยาเหมา, หวังหงเหวิน, จางชุนเฉียว, เหยาเหวินหยวน) และพวกซ้ายจัดที่กุมอำนาจในจีน พยายามเข้าริดรอนอำนาจและทำร้ายเหล่านักปฏิวัติที่เคยร่วมต่อสู้มากับประธานเหมา เจ๋อตง อาทิ ประธานาธิบดี หลิวเส้าฉี, นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล, เติ้งเสี่ยวผิง ,จอมพลจูเต๋อ ฯลฯ รวมทั้งใช้นโยบายต่อต้านสหรัฐฯและสหภาพโซเวียตอย่างรุนแรง ขณะนั้นสหรัฐกำลังปราชัยเสียฐานที่มั่นต่างๆหลายแห่งให้แก่พวกเวียดกงในสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯให้การสนับสนุนอยู่อย่างเต็มที่ จนสหรัฐฯเริ่มเหนื่อยหน่ายจากการสู้รบแบบยืดเยื้อ ของพวกเวียดกงซึ่งได้รับการหนุนหลังจากจีน สหรัฐฯจึงอยากยุติสงครามเวียดนามเต็มทน พอดีห้วงเวลาดังกล่าว ตรงกับช่วงที่ศาลยุติธรรมพิพากษาปล่อยตัวนายสังข์ พัธโนทัย พ้นข้อหาคดีมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ที่จอมพลสฤษดิ์ จับขังไว้เป็นเวลานานถึง 7 ปี สหรัฐรู้ว่านายสังข์ พัธโนทัย มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับจีน โดยมีการแอบส่งลูกไปอยู่กับจีนตั้งแต่เด็ก นายนอร์แมน บี ฮันน่า ที่ปรึกษาสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกับนายสังข์มาก่อน(สมัยนายสังข์เป็นนายกสมาคมกรรมกรไทย) ได้เชิญนายสังข์ไปเลี้ยงแสดงความยินดีที่ได้รับการปล่อยตัวที่สถานทูตสหรัฐฯ และได้ปรารภกับนายสังข์ถึงเรื่องนี้ โดยขอร้องให้นายสังข์ ช่วยนำความไปเรียนนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหลด้วยว่า สหรัฐฯยินดีจะพบปะเจรจา เพื่อขอยุติสงครามเวียดนามกับรัฐบาลจีน โดยสหรัฐฯพร้อมเจรจากับผู้แทนจีนในประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีสถานทูตสหรัฐฯตั้งอยู่ก็ได้ โดยนายฮันน่าฯ ได้นำเรื่องยุติปัญหาสงครามนี้ มาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการออกหนังสือเดินทางไทยให้กับนายสังข์ ซึ่งกำลังต้องการจะไปเยี่ยมลูกที่ปักกิ่งที่ไม่ได้พบหน้ากันนานเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เมื่อนายสังข์ ได้รับหนังสือเดินทางไทยให้เดินทางออกนอกประเทศได้แล้ว นายสังข์จึงออกเดินทางโดยใช้เส้นทางฮ่องกงมาเก๊า และดำดินเข้าประเทศจีนไปพร้อมกับนายสุวิทย์ เผดิมชิต อดีตประธานนักศึกษาธรรมศาสตร์ และเปิดการเจรจาเพื่อยุติสงครามเวียดนามขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งขณะนั้นนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ถูกแก๊งอ๊อฟโฟร์พยายามริดรอนอำนาจ ปิดบังข้อราชการบ้านเมืองต่างๆไว้แก่พวกตนดำเนินการเอง ทำให้นายกฯโจว ไม่ทราบการเดินทางมาเยือนเมืองจีนของนายสังข์ พวกเรดการ์ดในกระทรวงต่างประเทศจึงเปิดเจรจากับนายสังข์เสียเอง โดยอ้างว่า นายกฯโจวติดภาระกิจยังไม่ว่างที่จะพบ ทำให้การเจรจาครั้งนั้นล้มเหลวและพวกผู้นำเรดการ์ดได้แสดงท่าที่แข็งกร้าวกับสหรัฐฯอย่างรุนแรงโดยไม่ยอมประณีประนอมใดๆทั้งสิ้นและหลังจากพยายามเกลี้ยกล่อมนายสังข์ให้อยู่ร่วมขบวนการปฏิวัติไทยของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในเมืองจีนไม่สำเร็จ นายสังข์จึงถูกพวกผู้นำเรดการ์ดในกระทรวงการต่างปรเะเทศจีนส่งตัวออกจากประเทศจีนไป ไม่ช้าไม่นาน นายวรรณไว พัธโนทัย ซึ่งแสดงท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อต่อพวกเรดการ์ดที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับนายสังข์และให้อยู่ร่วมขบวนการปฏิวัติไทยในเมืองจีนกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยด้วย นายวรรณไว จึงถูกตำรวจจีน 12 คน พร้อมคำประกาศของหน่วยงานความมั่นคงของจีน(กระทรวงสันติบาล) ขับออกจากประเทศจีนภายในเวลา 48 ชั่วโมง ในฐานะเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาและถูกจับตัวส่งออกไปทางมาเก๊า เมื่อถูกผลักออกจากแดนจีนเข้ามาเก๊าแล้ว นายวรรณไวก็ถูกตำรวจมาเก๊าจับฐานหนังสือเดินทางไทยหมดอายุไปนานแล้ว นายวรรณไวจึงประกาศขอลี้ภัยทางการเมืองกับทางการมาเก๊าและได้ส่งโทรเลขด่วนถึงนายสังข์ผู้พ่อ นายสังข์จึงนำความไปบอกนายฮันน่าฯว่า นายวรรณไว ลูกชายของตนถูกขับออกจากประเทศจีน เพราะเรื่องที่นายฮันน่าฯฝากนายสังข์ไปกระทำนั้นแหละ นายฮันน่าฯ จึงสั่งหน่วยสืบราชการลับ(CIA)ให้มารับตัวนายวรรณไวกลับมาประเทศไทย เพราะรู้ดีว่านายวรรณไว เป็นบุคคลที่รู้เรื่องราวของประเทศจีนได้ลึกซึ้งที่สุดในยุคนั้น ขอขอบคุณ วรรณไว พัธโนทัย ผู้แปลและเรียบเรียงสามก๊ก ฉบับแปลใหม่ ขอขอบคุณ สำนักพิมพ์ธรรมชาติ ผู้จัดพิมพ์วรรณกรรมเรื่องนี้ ขอขอบคุณ ห้องสมุดคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผู้จัดทำเป็นหนังสือเสียง ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ขอขอบคุณภาพจากทุกเว็บที่เกี่ยวเนื่องกับสามก๊ก ขอขอบคุณเครื่องแต่งบล็อก จากบล็อกชมพร / บล็อกญามี่ และขอขอบคุณ คุณ treetree6969 ผู้จัดทำวิดีโอนี้ สาขา Book Blog ร่มไม้เย็น ค่ะ
Create Date : 12 มีนาคม 2557
Last Update : 30 มีนาคม 2558 21:22:43 น.
35 comments
Counter : 6505 Pageviews.