....OUR FAMILY'S JOURNEY....
เวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง (เยือนหลวงพระบางกลางเดือดธันวา 1)


เวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง
(เยือนหลวงพระบางกลางเดือนธันวา 1)




เตรียมพร้อม


คณะเราชวนกันว่าหน้าหนาวปีนี้ เราน่าจะหาทางไปเยี่ยมเมืองมรดกโลกที่หลวงพระบางซักครั้งหนึ่ง แต่ความวิตกกังวลก็เกิดขึ้นจนได้ บางคนกลัวเหนื่อยอยากเดินทางโดยเครื่องบิน เพื่อประหยัดเวลา และปลอดภัยด้วย ผมเองคิดว่าการท่องเที่ยวในลาว น่าจะใช้เส้นทางบกมากกว่า เพราะธรรมชาติข้างทางยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ ถึงแม้จะโดนทำลายบ้าง แต่ก็น่าจะเหลือมากกว่าเมืองไทย

แล้วเราตกลงกันได้ด้วยดีว่าจะไปทางบกด้วยรถยนต์ เพื่อชมเส้นทางลอยฟ้ากัน การติดต่อเช่ารถ เริ่มด้วยการค้นหาข้อมูลจากเวป ซึ่งในที่สุดเราก็เลือกรถตู้โตโยต้า ไฮแอ้ท ของบริษัท AVR ( Asian Rental Vehicle Co., Ltd) ในราคา 320 USD ตลอดโปรแกรมที่เราวางไว้คือ 4 วัน ซึ่งรวมทั้งค่าคนขับ ตลอดจน ค่าที่พักและค่าอาหารของเขาด้วย แต่ไม่รวมค่าน้ำมันซึ่งเราอยากจะเติมเอง โดยเกรงว่าอาจจะมีปัญหาการใช้รถในอนาคต เราติดต่อบริษัทรถทาง E-mail ตลอด และสุดท้ายตกลงว่าจะจ่ายให้ครึ่งหนึ่งก่อน ตอนทำสัญญาเช่าที่เวียงจันทน์ ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้เมื่อสิ้นสุดการเดินทาง คือวันที่ส่งเราที่ ตม. เราเตรียมตัวเพื่อเดินทางสู่หลวงพระบางในระหว่างวันที่ 21-24 ธันวาคม 2550 ทันที





เมืองหลวงพระบาง

เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ทางเหนือของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกด้วย

หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าเมืองชวา และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอ ซึ่งถือเป็นปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองชวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง และได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เชียงทอง

เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. 1896 – พ.ศ. 1916) เสด็จกลับจากกัมพูชา อันเนื่องมาจากพระองค์ และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงคือพระบิดาของพระเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงรวบรวมกำลังอยู่ในเสียมเรียบ และนำกองทัพนับพันกำลังเพื่อกู้บัลลังก์กลับคืน และสถาปนาอาณาจักรขึ้น ต่อมาในสมัยพระโพธิสารราชเจ้า พระองค์ได้อาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมืองเชียงทองจึงถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นมา






เมืองมรดกโลก

หลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผลคือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นสัญลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่งดงาม ในขณะที่มรดกโลกแห่งอื่นอาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจงในโบราณสถาน ธรรมชาติ แต่หลวงพระบางทั้งเมืองได้รบการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับปกปักษ์รักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้





21 ธันวาคม 2550
หนองคาย.....เวียงจันทน์......วังเวียง......หลวงพระบาง


ที่ด่าน ตม.หนองคายตอนใกล้ 08.00 น เราก็เตรียมกรอกเอกสารเพื่อข้ามแดน ทั้งขาไปและขากลับเพื่อกันลืม พอได้เวลาด่านเปิด เราก็รีบยื่นเอกสาร เพราะต้องการทำเวลา กลัวไปถึงหลวงพระบางดึกเกินไป เมือทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ซื้อตั๋วรถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ด้วยราคา คนละ 20 บาท น่าจะเป็นค่าโดยสารที่แพงที่สุดของรถบัสธรรมดา แถมต้องยืนอีกต่างหาก เพราะระยะทาง เพียงประมาณไม่เกิน 1.5 กม

ที่ด่าน ตม. ของลาวเราต้องเอา passport ไปแสดง เพื่อขอแบฟอร์มสำหรับกรอกเพื่อเข้าเมือง เราใช้เวลาพอสมควร เพราะคนค่อนข้างเยอะ หลังจากผ่านด่าน ตม. แล้วเราต้องจ่ายอีกคนละ 10 บาท จึงเป็นอันว่า เสร็จสิ้นพิธีการผ่านแดน

รถ TOYOTA HIAC สีขาว 15 ที่นั่ง (ที่ไทยรุ่นนี้จะเป็น 11 ที่นั่ง) มาจอดรอรับเราอยู่ เราตรวจสอบชื่อคนขับ ว่าตรงตามที่เราได้รับใน e-mail หรือไม่ เมื่อทุกอย่างถูกต้องเราก็ขนสัมภาระขึ้นรถกัน รถที่นั่นชอบที่นั่งเยอะๆ เพื่อขนคน เราเกือบเปลี่ยนรถใหม่ เพราะไม่ต้องการนั่งแบบเข่างอเกินไป แต่เมื่อรู้ว่ารถเพิ่งออกมา เพียง 7 เดือน เราก็เลิกล้มความคิด







หน้าสำนักงาน AVR ในเวียงจันทน์





สาวน้อยรอซื้ออาหารที่รถเข็นในเวียงจันทน์





คนขับพาเราไปที่ AVR Office ในเวียงจันทน์ เพื่อเซ็นสัญญาการเช่าก่อนออกเดินทาง พร้อมจ่ายค่าเช่าตามที่เราตกลงกันไว้ทางเมล์ เราบ่นให้ Joe Rumble ผู้จัดการบริษัทฟังว่า รถน่ะใส่ที่นั่งมากไปหน่อย ใครขายาวๆเวลาเดินทางไกลๆจะเหนื่อย เขาให้เหตุผลว่า การทำธุรกิจรถเช่าที่ลาว ก็ต้องคิดถึงความต้องการของคนในพื้นที่เป็นหลัก คือเวลาคนลาวเขาเช่ารถแต่ละครั้ง เขาก็อยากให้ขนคนไปได้เยอะๆเหมือนกัน จริงๆแล้วเขามีรถ Hyundai 7 ที่นั่งอยู่หลายคัน แต่คุณ Joe ให้เหตุผลว่า TOYOTA คันนี้ใหม่กว่ามาก

บริเวณข้างๆสำนักงาน AVR มีร้านแลกเงินด้วย คือเขาทำธุรกิจขายส่งเป็นธุรกิจหลัก และรับแลกเปลี่ยนเงินด้วย พวกเราเลยแลกเก็บไว้พอประมาณ อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น คือ 280 กีบ ต่อ 1 บาท การใช้เงินบาทในลาวสามารถใช้ได้ทั่วไป ยกเว้นเขตชนบทห่างไกล และในบริเวณนั้นก็มีร้านขายอาหาร ทั้งรถเข็น และในตึก เราก็เตรียมเสบียงกันเสียจากตรงนี้เลย

ประมาณ 10.00 น ล้อก็หมุนออกจากนครเวียงจันทน์ เพื่อไปแวะรับน้อย น้องคนลาวที่จะเดินทางไปด้วย ฉะนั้นทีมของเราจึงประกอบไปด้วย 4 คนจากฝั่งไทย 2 คนจากเวียงจันทน์ (คนหนึ่งเป็นคนไทยที่ไปทำงานให้ลาวเทล และอีกคนคือน้อยคนลาว) รวมคนขับรถตู้อีกหนึ่ง ก้อ 7 คน..... เราออกเดินทางไปตามเส้นทางหมายเลข 13 มุ่งสู่ภาคเหนือของลาว โดยจะใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 8 ชม.

ภาพผู้คนถือ แห สวิง ออกหาปลา หลังหน้าเก็บเกี่ยวมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ช่วงเวียงจันทน์-โพนฮง ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ บ้านเรือนผู้คนก็หนาตา บางแห่งที่ระบบชลประทานเข้าถึงชาวนาก็เริ่มเตรียมการสำหรับทำนาแซงกันแล้ว

เมืองโพนฮงเป็นเมืองหลักของแขวงเวียงจันทน์ (คนละที่กับกำแพงนครเวียงจันทน์) ซึ่งตรงนี้ ถ้าเราเลี้ยวขวา ก็จะไปบ้านท่าลาด เขื่อนน้ำงึม ตรงไปจะไปวังเวียงตามเส้นทางหมายเลข 13 ซึ่งวังเวียงก็คือ อำเภอหนึ่งของแขวงนี้ (แขวง = จังหวัดของไทย ส่วน เมือง = อำเภอ) พอออกจากโพนฮงเล็กน้อย รถเราก็เริ่มขึ้นเขา และจะพบศาลอยู่ศาลหนึ่งข้าซ้ายมือ ผู้คนจะนำธูป เทียนมาสักการะ ขอพรให้เดินทางปลอดภัย พวกเราก็ทำเช่นกัน พร้อมกับควัก 5000 กีบให้ทานแก่เด็กแถวนั้น เขาก็กล่าวคำอวยพรให้เรา







ศาลเจ้าทางขึ้นเขาไปวังเวียง






รถเราวิ่งอยู่บนเขา แต่ยังไม่ถือว่าสูงนัก ต้นไม้ระหว่างทางยังคงเขียวขจีอยู่ พอผ่านลำห้วย ก็พบน้ำไหล ใสแจ๋วสีปีแมลงภู่อยู่ทั่วไป ซึ่งบ่งบอกถึงธรรมชาติ เช่นป่าไม้ที่ยังสมบูรณ์ ถ้าเมื่อไหร่ป่าไม้ถูกทำลาย น้ำที่ไหลลงสู่ห้วย ก็จะออกสีขุ่นเหลือง ซึ่งยังไม่เจอระหว่างทาง.... เรามาถึงบ้านท่าเรือเมื่อเวลาเที่ยงวัน ท้องหิว แต่สมาชิกส่วนใหญ่ลงมติว่า เราน่าจะเลยไปทานมื้อเที่ยงกันที่วังเวียง

ประมาณบ่ายโมง เราก็มาถึงร้านอาหาร “อาเฮีย” ที่เราเคยมาทานกัน เมื่อครั้งที่เรามาเยือนวังเวียง ตอนปลายเดือน มีนาคมที่แล้ว ร้านนี้อยู่ติดกับเสาโทรคมนาคมใหญ่ และเจ้าของเป้นคนไทยมาก่อน อพยบมาจากจังหวัดชัยภูมิ มาค้าขายพวกไม้อยู่ที่เมืองนี้ เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว อาหารที่ร้านนี้ทำจึงใกล้เคียงกับบ้านเราที่สุด มื้อนี้เราสั่งอาหารแบบคนหิวสั่งกับข้าว พอทานเสร็จ ก็จ่ายไป 298,000 กีบ ซึ่งเจ้าของร้านอธิบายให้เราฟังว่า อาหารที่นี่ค่อนข้างแพง เพราะวัตถุดิบแพง ส่วนมากก็จะนำเข้ามาจากประเทศไทย







รถตู้โตโยต้าสีขาว หน้าร้านอาเฮียวังเวียง






ประมาณบ่ายสองโมงเศษ เราออกเดินทางต่อ ไปที่เมืองกาสี ถ้าเรามองไปทางทิศตะวันตก หรือซ้ายมือของถนน จะเห็นภูเขาหินปูน รูปร่างแปลกๆสวยงาม และมีน้ำซองไหลคู่ขนานกับวังเวียงจากเหนือสู่ใต้ พออีก 25 กม. เราก็มาถึงบ้านผาตั้ง ซึ่งทางตะวันตกของถนน จะเห็นเขาหินปูนตั้งอยู่โดดๆ คล้ายๆตึก ล้อรอบด้วยที่ราบ และที่หมู่บ้านจะมี แม่น้ำไหลผ่านตรงกลาง ผ่านหมู่บ้านเรายังเห็นเขาหินปูน ขนานกับถนนไปเรื่อย จนกระทั่งเรามาถึงผาฮ่อม ซึ่งเป็นช่องเขาที่จะผ่านเข้าเมืองกาสี ตรงนี้จะเป็นทางขึ้นเขา พวกรถหนักจะต้องปีนขึ้น แล้วมาพักที่นี่ นานเข้าชาวบ้านเลยเอาพวกของป่ามาขายเต็มสองข้างทาง..(ดูภาพได้ใน ปลายหนาวที่วังเวียง)

เมืองกาสี อยู่ในหุบเขาเช่นกัน มีแม่น้ำลีกไหลผ่าน เราผ่านเมืองนี้โดยไม่พักที่นี่ เส้นทางหลังจากเมืองกาสี จะเป็นถนนลอบฟ้าของจริงแล้ว รถเราไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ สองข้างทางจะมีชาวเขาปลูกบ้าน บางบ้านชิดเข้ามาถึงถนนเลย ขับรถช่วงนี้ไหนจะต้องระวังโค้ง และเหวแล้ว ยังต้องพระวงกับสัตว์เลี้ยง เช่น หมูและไก่ บนถนนด้วย ถนนจะถูตัดเลาะตามไหล่เขา ทำระดับขึ้นไปเรื่อยๆ แบบค่อยๆทำมุมขึ้นไป ถนนจึงไม่ชันมาก รถบรรทุกหนักสามารถไต่ได้ แต่ค่อนข้างแคบ มองข้างทางจะเห็นก้นเหวลิปๆอยู่ด้านล่าง เราจอดเก็บภาพเป็นระยะๆ ตามที่เราจะหาข้างทางที่ปลอดภัยจอดได้ และเมื่อมาถึงป้ายหลักที่บอกว่า หลวงพระบางอีก 147 กม. เราจอดใกล้ๆกับจุดชมวิว ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดสูงสุดของถนน และทิวทัศน์สวยงามมาก












บนเขาระหว่างเมืองกาสี-พูคูน












จุดสูงสุดของถนนลอยฟ้า






รถผ่านช่องเขาขาด ที่เรียกว่ากิ่ว (เป็นทางที่ลมพัดผ่านช่องเขา) หลายกิ่ว แล้วก็มาถึง พูคูน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมทางที่มาจากจาก ซำเหนือ และหลวงพระบาง เป็นตลาดเล็กๆ ส่วนมากจะขายสินค้าเกษตรชาวเขา และเป็นสถานีรถโดยสารด้วย เห็นหนุ่มสาวชาวม้งกำลังโยนลูกบอลกันอยู่ (เขาน่าจะเรียกว่าลูกช่วงนะ ??) คนขับบอกเราว่า ช่วงนี้เป็นเทศกาล “บุญกินเจียง” ของเขา เราจึงเห็นสาวม้งแต่งสวยเต็มรูปแบบ แถมพัฒนาไปใส่ถุงน่อง รองเท้าส้นสูงอีกด้วย ขณะโยน-รับ กันอยู่นั้นก็จะส่งภาษา (อาจหวานแหว๋ว) ต่อกัน เราฟังไม่ออกหรอก













หนุ่ม - สาว ม้งโยนลูกบอลในวันบุญกินเจียง






ประมาณห้าโมงเย็น เราก็มาถึงจุดพักรถที่เรียกว่า กิ่วกระจำ ซึ่งที่นี่จะมีทั้งรถโดยสาร รถส่วนตัว มาพักเพื่อทานอาหาร เข้าห้องน้ำ ที่นี่จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน รวมทั้งห้องน้ำที่พอใช้ได้ ส่วนสินค้าที่วางขาย ก็เป็นของใช้ทั่วไป แผ่นซีดีเพลง และผลไม้.. อากาศตอนห้าโมงเย็นเริ่มเย็นจนเรียกว่าหนาว เราเริ่มเอาเสื้อแจ็คเก็ทออกมาใส่กันหนาวกัน







ที่พักรถ พักคน กิ่วกระจำ












ร้านอาหารตอน 17.00 น. ที่กิ่วกระจำ





พอออกจากกิ่วกระจำ ความมืดก็ปกคลุมไปทั่ว ทำให้เราไม่สามารถมองดูทิวทัศน์ข้างทางได้อีก ได้แต่ลุ้นคนขับให้แกตื่นอยู่เสมอ เพราะช่วงนี้รถยังวิ่งอยู่บนเขาสูงอยู่ แต่กำลงค่อยๆลงเขา เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงพระบาง รถเข้าสู่เมืองหลวงพระบางน่าจะ 19.30 น โดยประมาณ เราเริ่มเห็นเมืองที่หลายแห่งกำลังมีการก่อสร้าง รวมทั้งสนามกีฬาด้วย เพราะเมืองหลวงพระบางจะได้เป็นส่วนหนึ่งของ ซีเกมส์ ที่ลาวคราวหน้า

ความรู้สึกแรกที่เข้ามาถึงเมืองนี้คือ ภาพเก่าๆของเมืองเชียงใหม่ในอดีต อาคารสูงยังไม่มี ผู้คนอาศัยอยู่กับธรรมชาติ ถนนก็ไม่พลุกพล่าน แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากในช่วงนี้.....

สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เราต้องหาที่พักก่อน เพราะเราไม่ได้จองมา จุดแรกที่แวะไปคือ เฮือนพักแคมคาน ซึ่งอยู่เกือบปลายแหลม แต่ติดริมน้ำคาน แต่ก็เต็มเสียแล้ว..... ดีแต่ว่าคนขับรถเราเขาเดินทางมาที่นี่บ่อยเลยรู้จักคนเยอะ เลยช่วยโทรถามเพื่อนเขาให้ เราก็เลยได้ Guest House ตรงกลางเมือง ชื่อ Namsokg Guest house อยู่คนละฝั่งถนนกับร้านอาหาร ห้วยมีไซย และใกล้ที่พระจะเดินมาบิณฑบาตในตอนเช้า ติดกับตลาดมืดด้วย

ขนกระเป๋าเข้าที่พักเสร็จ น้อยก็พาไปบ้านญาติเขาที่ทำธุรกิจ Resort ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงเขา ห่างหลวงพระบางออกไป 13 กม. วันนี้ที่บ้านนี้ เขาเลี้ยงมื้อเย็นเราด้วย เราอยากไปพักรีสอร์ทเขาเหมือนกัน แต่เวลาที่เราจะอยู่หลวงพระบางน้อยไปหน่อย เราจึงเลือกสถานที่ๆใกล้ๆ สำหรับการเดินทางไว้ก่อน

เราบอกลาเจ้าของบ้านด้วยความขอบคุณ และเดินทางกลับที่พัก แต่เราไม่เข้านอนและไปต่อที่ร้านอาหารริมโขงจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน จึงเดินเข้าที่พักที่อยู่ใกล้ๆ และหลับสนิท




จบตอนที่ 1 เท่านี้ก่อนครับ
.



อ่านตอนต่อไป ll



_________________










Create Date : 26 พฤษภาคม 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2558 20:36:43 น. 7 comments
Counter : 2394 Pageviews.

 

ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะคร้าบบบบบบ

บ้านเมืองดูเงียบสงบน่าเที่ยวดีนะครับ

และมาชวนไปเที่ยวเกาะไข่ จ.พังงา ด้วยกันครับ

มิสเตอร์ฮอง @ เกาะไข่นอก จ.พังงา ครับ
คลิกที่ภาพเพื่อตามมาเที่ยวเกาะไข่ ด้วยกันได้เลยนะครับ



โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 26 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:58:44 น.  

 
ขอบคุณครับ Mr Hong เดี๋ยวจะตามไปเที่ยวด้วย นะครับ.... เมืองหลวงพระบางยังเต็มไปด้วยธรรมชาติ.... ผู้คนก็ใจดีครับ


โดย: wicsir วันที่: 27 พฤษภาคม 2551 เวลา:7:20:27 น.  

 
ไกด์ชื่อเดียวกันกับในหนัง สะบายดีหลวงพะบางเลย


โดย: ลานสน วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:21:16:29 น.  

 
ตามมาอ่านค่ะ ตอนแรกเปิดไม่ได้ค่ะ
ข้อมูลดีมาก เป็นประโยชน์กับคนไปเที่ยวตามหลั
งค่ะ


โดย: นีลา IP: 202.91.19.204 วันที่: 10 กันยายน 2551 เวลา:21:56:36 น.  

 
ขอบคุณครับ......


โดย: wicsir วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:8:10:24 น.  

 
ติดตามมาจากตอนที่แล้วครับ ผมตืดว่าบ้านกิ่วกะจำ
เป็นจุดที่สูงที่สุดบนเสั้นทางจากวังเวียง กาสี พูคูน เซียงเงิน ถึงหลวงพระบาง ส่วนทางแยกเลี้ยวขวาที่พูคูนเป็นถนนหมายเลข 7 ไปทุ่งไหหิน เซียงขวางครับ


โดย: Innocent IP: 96.255.16.241 วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:8:07:18 น.  

 
หวัดดีครับ คุณ Innocent .... น่าจะเป็นตรงที่ถ่ายหลัก 239 หรืออีก 147 กม จะถึงหลวงพระบางน่ะครับ เวลารถขึ้นไปถึงตรงนั้น จะมีที่ให้ออกไปยืนถ่ายภาพที่หน้าผา มองขึ้นไปด้านซ้าย จะเห็นธงลาวปักอยู่บนฐานหรือบ้านนี่แหละไม่แน่ใจ....

ขอบคุณครับที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม


โดย: wicsir วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:8:32:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
26 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.