เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินแล้วก็ถึงคราวมาวางแผนเรื่องโรงแรมตามวันเวลาที่จะเที่ยว .... คราวนี้เริ่มเจอปัญหาแล้วสิ เพราะช่วงที่เราจะไปนั้นเป็นช่วงเทศกาล Snow Festival ของซับโปโรเขาพอดี โรงแรมประมาณ 3 ดาวนั้นเต็มเกือบทั้งหมด ถ้าไม่เต็มก็ไกลจากสถานีรถไฟมาก และแล้วแผนเที่ยวก็ต้องปรับตามโรงแรมที่จองได้ (ราคาพอสมควรด้วย) แผนจึงออกมาดังนี้.-
เป็นไงครับโปรแกรมโหดไหมครับ ที่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงรถไฟตลอด 7 คืนที่พักในฮอกไกโด ดีแต่ว่าเราเอาไปแค่ขนาด 20 นิ้วเอง โดยเสื้อกันหนาวหิ้วไปต่างหาก
รอ Limousine Bus ที่ Narita Airport ไป Haneda Airport การเตรียมตัวเรื่องเอกสารไปญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ไม่ยุ่งยากแล้ว เพราะไม่ต้องยื่นขอวีซ่าเหมือนเมื่อก่อน (เขาอนุญาตให้ 15 วัน นับจากวันที่เหยียบแผ่นดินเขาครับ) ส่วนเรื่องเงินที่จะนำไปใช้ก็ให้แลกไปพอประมาณที่เราว่าจำเป็น เพราะบัตรเครดิตพวก VISA, Master Card เหล่านี้ใช้ได้หมดทุกที่ แม้แต่ร้านอาหาร เรื่องที่ควรนำไปพิจารณาอีกเรื่องคือการเดินทาง ถ้าเราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟ ก็ควรตรวจดูว่าจะซื้อเป็น JR Pass ดีหรือไม่ โดยคำนวณจากค่ารถไฟที่เราจะเดินทางในแต่ละวัน หรือตลอดอายุของตั๋ว ซึ่งก็เข้าไปดูราคาได้ในเวบไซต์ของ
JR Hokkaido สำหรับที่อื่นก็เช็คได้เช่นกันครับ เราเลือก JR Hokkaido แบบ 3 วัน เพราะช่วง 6-8 กพ. 17 จะต้องเดินทางหลายเมือง แค่ไป-กลับ Sapporo - Hakodate ราคารถไฟก็ปาไป 17,000 เยนแล้ว (ราคา 3 วัน 16,500 เยน) ที่เหลือก็เป็นกำไรสำหรับเดินทางไปเมืองอื่น ตั๋ว JR ซื้อได้เฉพาะนักท่องเที่ยวจากนอกญี่ปุ่นเท่านั้นนะครับ ส่วนจะซื้อไปจากเมืองไทย หรือซื้อที่ JR desk (เมื่อเรารับกระเป๋าเสร็จจะเจอโต๊ะเขา) ก็ได้
ส่วน Limousine Bus นั้นก็ก็ซื้อตั๋วหลังจากรับกระเป๋าแล้วเช่นกันซุ้มขายตั๋วหาไม่ยาก หรือถ้างงจริงๆก็ไปเลยตรง Information .... เมื่อได้ตั๋วแล้วก็ไปรอตามป้ายที่มีหมายเลขกำกับครับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วจะบอกเราเองว่าไปรอป้ายไหนครับ
รอรถ Airport Limousine ตามป้ายแบบนี้
Japan Air Line เที่ยวบินที่ JL718 พาเราถึงสนามบินนาริตะตามกำหนดเวลาครับคือ 6.15 น. พิธีการทาง ตม. ก็ไม่ยุ่งยากมากนักครับ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ เพราะเอกสารใบ ตม.เราเขียนมาเรียบร้อยจากด้านบนเครื่องแล้ว (พอเครื่องออกไม่กี่นาทีสาวๆก็เอามาแจกแล้ว) รับกระเป๋าเสร็จก็เข็ญรถไปซื้อตั๋ว Airport Limousine Bus เพื่อเดินทางไปสนามบิน Haneda ต่อเลย เพราะเช้าๆแบบนี้เราจะหาซื้อพวก Sim โทรศัพท์ที่นี่ยากมาก ถ้ามาช่วงสายๆจะเจอครับ (แนะนำให้ซื้อมาจากเมืองไทยครับ ซื้อควบกับ JR Pass ได้ราคาถูกด้วย) .... ราคาตั๋วรถลิมูซีนบัส ตกคนละ 3100 เยน เขาจะให้ตั๋วมา 2 ใบ คือตั๋วที่นั่งและกระเป๋า ต้องไปเข้าคิวรอว่าเรา เวลาเท่าไหร่ด้วยนะครับ เขาจะขึ้นตัวหนังสือบอกที่ป้าย เจ้าหน้าที่จะถามเราว่าลง Terminal ไหน? อย่างของเราในประเทศก็ลง Terminal 1 เป็นต้น รถมาตรงเวลามาก อย่าเผลอไปถ่ายรูปกันไกลๆละกัน เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาทีครับ .... ส่วนใครๆที่อยากเดินทางโดยรถไฟนั้นก็ได้ แต่จะต่อหลายต่อหน่อย หรืออยากสบายๆก็แท๊กซี่เลย
ภายในสนามบิน Haneda Airport
เรามาถึง Haneda International Airport (ซึ่งอยู่ห่างจาก Narita International Airport ประมาณ เกือบร้อย กม.) ประมาณ 9.35 น. Check-in เพื่อไม่ต้องลากกระเป๋าต่อ ก่อนเดินหาซื้อซิมการ์ดเพื่อใช้ Internet สำหรับอีกเครื่อง หาไม่เจอ ถามคนแถวนั้นเขาบอกว่าจะมีขายก็ที่ส่วนของสนามบินนานาชาติเท่านั้น...นี่แหละที่บอกว่าที่ญี่ปุ่นหาซื้อยาก พอไปถึงสนามบินชิโตเสะ ก็เจอว่าขายหมดแล้วอีก เลยต้องใช้ของแพงเลยโดยวิธีการโรมมิ่ง.
New Chitose Airport
ตามกำหนดเวลาครับ เราขึ้นเครื่อง JAL ที่ Haneda Intl. Airport เวลา 13.30 มาถึง New Chitose International Airport 15.05 น. สิ่งแรกที่ต้องทำคือเปลี่ยนใบ Exchange Order for Japan Rail Pass ให้เป็นตั๋วเสียก่อนครับ (เราสามารถไปเปลี่ยนที่สถานีรถไฟซับโปโรได้เหมือนกัน) คิววันนั้นนานมาก เจ้าหน้าที่จะถามเราว่าจะเริ่มใช้เมื่อไหร่ เพราะเขานับเอาวันเป็นหลักไม่คิดเป็นชั่วโมงนะครับ คำนวณให้ดี .... อย่างของเราซื้อแบบ 3 วัน วันแรกที่เราไปถึงยังไม่ใช้ เพราะค่ารถไฟเข้าซับโปโร 1070 เยน เลยเอาเก็บไว้ใช้วันที่ 2-3-4 ดีกว่า เพราะเดินทางข้ามเมืองค่ารถค่อนข้างแพงจะคุ้มกว่า
สั่งซื้อมาแล้วจะได้ใบแบบนี้แล้วนำไปแลกเป็นตั๋ว JR PASS ที่ JR desk ในสถานีรถไฟ
JR Pass หลังจากแรกแล้วจะมีการประทับตราวันเริ่มใช้ทั้งด้านหน้าและด้านใน
ให้บอกเขาว่าจะเริ่มใช้วันไหน เช่นในนี้จะใช้ 6-8 เดือน กพ. 2017
การเดินทางในญี่ปุ่นโดยรถไฟเป็นที่นิยมมาก เพราะตรงเวลา มีขบวนรถมากมายให้เลือก ทั้ง Local Line, Rapid Line และ รถไฟความเร็วสูง shinkansen (แต่ JR Hokkaido ที่เราซื้อไม่สามารถใช้กับ sinkansen ได้ แต่จะใช้กับรถบัสของ JR ได้) การใช้ตั๋วแบบ JR Pass นั้นเราสามารถจองที่นั่งในรถได้โดยไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม แต่ถ้าซื้อตั๋วธรรมดาเราต้องเสียค่าจองที่นั่งด้วยน่าจะครั้งละ 300 เยน แต่ข้อแม้ของ JR Pass ก็คือขายเฉพาะนักท่องเที่ยวจากนอกประเทศญี่ปุ่น .... หลายๆท่านอาจจะเจอปัญหาเดียวกับผู้เขียนคือนั่ง Local Line จะเจอประกาศในรถเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว วิธีแก้ปัญหาคือดูเวลาที่ปลายทางถ้าเหลืออีก 4-5 นาทีก็ออกมารอได้เลยสถานีต่อไปใช่แน่ๆ เวลาดูที่ Time Table ของ JR ได้ครับ สำหรับตั๋วที่เราจองจะมีบอกเวลาต้นทางและปลายทางด้วย .... สรุปง่ายๆคือนั่งรถไฟญี่ปุ่นสะดวกมาก
หน้า JR Sapporo
นั่งรถเร็วจากสนามบิน New Chitose Airport เข้า Sapporo รวดเร็วดีคือใช้เวลา16.00 -16.37 น. ใช้เวลาเพียง 37 นาทีเอง จอดไม่กี่สถานี .... JR station ที่ Sapporo ใหญ่พอสมควร มีชานชลามากมาย เพราะจากตรงนี้จะไปทั่วเกาะฮอกไกโดเลยก็ว่าได้ ภายในสถานีจะมีจอมอนิเตอร์บอกว่าขบวนไหน ไปที่ใด เวลาเท่าไหร่ ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ แต่ถ้าหากไม่แน่ใจก็คอนเฟิร์มกับเจ้าหน้าที่ของ JR ได้ .... ในกรณีที่เราใช้ตั๋ว JR Pass ครั้งแรกเราต้องให้เจ้าหน้าที่ JR ประทับตราก่อนครับ เจ้าหน้าที่จะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของทางเข้า-ออก ต่อไปเราสามารถใช้ตั๋ว JR นี้เข้า-ออกด้านนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องสอดตั๋วจองเข้าเครื่องเปิดประตูครับ เขาบริการดีมาก
จากสถานีเรานั่งแท๊กซี่เข้าโรงแรม APA Hotel Sapporo ซึ่งอยู่ติดกับ Odori Park ที่จัดงานเทศกาลหิมะ (Sapporo Snow Festival) จากสถานี-โรงแรมที่พัก 1.4 กม. เดินเอาก็ได้แต่เรามีกระเป๋าที่จะต้องลากผ่านถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ น่าจะลำบากหน่อยเลยอาศัยรถแทกซี่ ราคาก็ประมาณ 830 เยน ... ราคาแท๊กซี่ในฮอกไกโดจะเริ่มต้นไม่เหมือนกัน ที่ซับโปโรนี่เริ่ม 620 เยน ฮาโกะดาเตะ 540 เยน อาซาฮิกาวะ 550 เยน โอตารุ 480 เยน เป็นต้น แท๊กซี่นี่ฮอกไกโดไว้ใจได้ครับ ใช้ GPS ตลอด ไม่มีวอกแวก
เก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกมาเดินที่ Odori Park เลยเพราะหน้าหนาวที่นั่น 5 โมงกว่าก็มืดแล้ว เทศกาลหิมะแม้ยังไม่เปิดเต็มตัว (เปิด 6-12 กพ. 2017) แต่งานปั้นหิมะก็เสร็จเกิน 90% แล้ว เราจึงถือโอกาสเดินเที่ยววันนี้ซะเลย ขาดเหลือเรามีเวลากลับมาที่นี่อีกในวันที่ 8 กพ. คงได้เก็บกันวันนั้นครับ .... วันแรกเก็บมาได้มากเหมือนกัน เชิญชมภาพบางส่วนละกันครับ💗💗
ปลายสุดของสวนอีกด้านหนึ่งคือ ซัปโปะโระทีวีทาวเวอร์ เป็นหอกระจายสัญญาณโทรทัศน์ในนครซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2497 ด้วยความสูง 142.7 เมตร มีชั้นมวิวสูงสุดที่ความสูง 90.38 เมตร ตั้งอยู่ปลายสุดของสวนสาธารณะโอโดริทางทิศตะวันออก ... การขึ้นชมจะต้องซื้อตั๋วขึ้นไป คนละ 720 เยน ... มีถ่ายภาพนักท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึกบนนั้นด้วย
Sapporo TV Tower (ด้านหลัง)
ลานสะเก็ตน้ำแข็งก็มี
View from TV Tower
บนทีวีทาวเออร์
View from TV Tower
MOET ICE LOUNGE
มีอาหารประเภทปิ้งย่างขายด้วย
งานแกะสลักน้ำแข็ง
แสง สี เสียง (จอโดยหิมะปั้น)
ถนนในช่วงเทศกาลประดับไฟสวยงาม
จากวานนี้ถึงวันนี้ เราเดินทางมาไกลมาก แถมมาถึง Sapporo ก็เดินเที่ยวอีกคุณภรรยาบอกหนาวอยากพักบ้างแม้เสียดายแสงสีจากบริเวณงานก็ตาม ฉะนั้นจึงขอจบบล๊อกนี้ตรงนี้ก่อน บล๊อกต่อไปเราจะพาคุณๆไปเที่เมืองฮาโกะดาเตะ ซึ่งอยู่ใต้สุดของเกาะนี้กัน .... ขอบคุณครับ
💘💘💘
ลาด้วยภาพยามค่ำคืนที่ถนนข้าง Odori Park
ชอบ View from TV Tower ค่ะ