.. ขอสวัสดีปี 2553 กับชาวบล๊อกแก๊งค์ด้วยบล๊อกนี้ละกันนะครับ ที่จริงไปเที่ยวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เอาลงไม่ทันเพราะมีบางอย่างที่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเยี่ยมกันในช่วงปีใหม่ ขอให้ทุกท่านโชคดี มีชัย สบายทั้งกาย ใจ และปลอดภัยตลอดปีครับ...อ่านตอนที่ 1 ออบหลวง ถ้ำแก้วโมล (ที่นี่)อ่านตอนที่ 2 ปางอุ๋ง (ที่นี่) หัวข้อด้านบน คือ คำถามยอดฮิตสำหรับคนที่ยังไม่เคยมาที่ปาย..... เราเคยมาที่นี่แล้ว 2 ครั้ง เมื่อหลายปีที่แล้ว อาจจะเป็นสิบปีก็ว่าได้ มาตั้งแต่เมืองปายยังเป็นอำเภอเล็กๆ เป็นทีเราจอดพักเพียงเพื่อทานอาหาร เมื่อก่อนเคยเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่....เรายังใช้ความสามารถพิเศษ (ภาษาใบ้) สื่อสารกะเธอจนได้....แต่ ณ วินาทีนี้ ปายกลายเป็นแม่เหล็กที่สำคัญของแม่ฮ่องสอน และแดนเหนือที่นักท่องเที่ยวตั้งไว้เป็น destination สำคัญ ปายมีอะไร.... เขามาทำไมที่นี่ เดี๋ยวท่านตามเราไปเรื่อยๆ อาจจะพบคำตอบที่นี่ก้ได้ครับวันที่ 12 ธันวาคม 2552 เราเดินทางมาจากแม่ฮ่องสอนมาถึงเมืองปายเอาตอนประมาณบ่ายโมงเศษ หลังจากแวะมาหลายที่ (จะนำมารีวิวให้อ่านในโอกาสต่อไปครับ) เราไปเช็คอินที่บ้านโชคดีตามที่เราจองเข้ามา เพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้เรามีที่พักแน่ๆ เพราะคาดว่าคืนนี้อากาศที่นี่น่าจะต่ำกว่าสิบองศาเซลเซียส ได้กุญแจห้อง และซื้อแผนที่ ที่น้องคนสวยที่รีเซบชั่นบอกว่าเขามาฝากเธอขาย เราถามไถ่เส้นทางที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เพราะเรามีเวลาที่นี่ไม่มากนัก พอเข้าใจเส้นทางตามแผนที่เมืองปายดี เราก็ออกเดินทางสู่เป้าหมายแรก คือวัดน้ำฮู.....ปายตอนกลางวันมารู้จักปายกันหน่อยเป็นไรอำเภอ ปาย เป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่าย หรือ ไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขามีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เมืองปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนอ้างอิง : ประวัติเมืองปายวิหารวัดน้ำฮูวัดน้ำฮู เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปาย ผู้ที่เดินทางมาเที่ยวปายจะต้องไม่พลาดการมาสักการะพระพุทธรูปศักดิสิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ ซึ่งก็คือ หลวงพ่อพระอุ่นเมืองเป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้า ๒๘ นิ้ว สูง ๓๐ นิ้ว ตามตำนานแล้วพระองค์นี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ตรงบริเวณเศียรขององค์พระสามารถเปิดออกมาได้ ข้างในกลวงและมีน้ำขังอยู่เสมอ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดมีการนำเอาน้ำจากเศียรพระมาทำเป็นนำมนต์ เพื่อแจกจ่ายให้กับญาติโยมที่เดินทางมาสักการะหลวงพ่ออุ่นเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล นักเรียนแสดงรำนกยูง ของไทยใหญ่นอกจากนี้ด้านหน้าของวัดยังมีศาล ซึ่งภายในประดิษฐานรูปหล่อเหมือนของสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา และสมเด็จพระเอกาทศรสให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ ด้านหลังของโบสถ์มีเจดีย์สีทอง ซึ่งเชื่อว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสร้างถวายแก่สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาเมื่อครั้งสวรรคตไปแล้ว วัดน้ำฮู ตั้งอยู่เลยโรงพยาบาลปายไปประมาณ 3 กิโลเมตร เจดีย์พระสุพรรณกัลยาหลวงพ่อพระอุ่นเมืองศาลพระนเรศวร และพระสุพรรณกัลยาวันที่เราไปถึงนักท่องเที่ยวเยอะมาก จนเวลาจะเข้าไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ต้องรอคิวกัน...เป้าหมายต่อไปของเราคือ "ศูนย์วัฒนธรรมจีน-ยูนาน" หรือ หมู่บ้านสันติชล ซึ่งอยู่เลยจากวัดน้ำฮูขึ้นไปไม่ไกลศูนย์วัฒนธรรมยูนาน หมู่บ้านสันติชล.หมู่บ้านศูนย์วัฒนธรรมยูนาน ตั้งอยู่ในตำบลเวียงใต้ พื้นที่ที่เคยถูกมองว่าเป็นสีแดง หมู่บ้านที่เป็นจุดพักสำคัญ เส้นทางค้ายาเสพติดอันลือชื่อ เขตค้ายาเสพย์ติดของว้าแดงมาก่อน มีชาวเขาบ้านสันติชลเชื้อสายจีน ซึ่งคือส่วนหนึ่งของครอบครัวจีนที่อพยพมาพร้อมกับนายพลต้วน แห่งดอยแม่สะลองนั่นเอง พักพิงอยู่กว่า 1,000 ชีวิต ร้านค้าในบ้านดินวิถีชีวิตของชาวจีนยูนานที่อพยพลงจากดอยมาตั้งรกรากอยู่แถบนี้ได้ปรับตัวกลายเป็น หมู่บ้านท่องเที่ยว ไปเรียบร้อยแล้ว นับจากทางการได้ส่งทหารเข้ามาเคลียร์ความสงบเรียบร้อยและประจำการอยู่ตั้งแต่ปี 2546 ชาวจีน-ยูนนานได้รวมใจกันสร้าง ศูนย์วัฒนธรรมจีน-ยูนนาน ขึ้นเพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชน และเพื่อรักษา วัฒนธรรมยูนนานเดิม โดยเฉพาะเรื่องอาหารยูนนาน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากชิมชาในศูนย์วัฒนธรรมจีน - ยูนานแห่งนี้ยังมีรีสอร์ทที่เป็นบ้านดินให้นักท่องเที่ยวได้พักด้วย ส่วนราคา จขบ.ไม่ได้ถามมา..... ที่เห็นเด่นๆอีกอย่างที่นี่คือชิงช้า แบบใช้แรงงานหนุ่มๆชาวยูนานหมุน หรือผลักให้หมุน เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เสียวเล่น ตอนแรกเมื่อเข้าไปในศูนฯนี้ ได้ยินเสียงคนร้อง นึกว่าใครเป็นอะไร แต่แท้ที่จริงคือเสียงหวีดร้องของนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปผจญภัยบนนั้นนั่นเอง....รีสอร์ทบ้านดิน ศาลากลางน้ำออกจากศูนย์วัฒนธรรมจีน - ยูนาน เราก็กลับทางเดิม พอมาถึงทางสายเลี่ยงเมืองปาย ก็เลี้ยวขวาไปทางเชียงใหม่ เพื่อไปชมสถานที่ยอดฮิตของปายอีกที่หนึ่ง คือ ร้านกาแฟ "Coffee In Love"ด้านหน้า Coffee In Loveติดถนนสาย 1095 จะมีตัวหนังสือ Coffee In Love ทาสี ดำตรงคำว่า Coffe In และแดงตรง Love ไว้ด้านหน้า นักท่องเที่ยวก็ใช้ป้ายนี้แลเป็นโลเคชั่นสำหรับถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกัน..... แต่ต้องดูจังหวะ และคิวถ่ายให้ดีขวามือของป้ายนี้คือหลัก กม.ใหญ่สีขาว นี่ก็ต้องเข้าคิวถ่ายภาพเช่นกัน ในบริเวณด้านหน้ายังมี ตู้ไปรษณีย์ ตู้โทรศัพท์ สีแดง และชิงช้าที่นั่งถ่ายภาพอีก......อยู่ตรงนี้ร้าน Coffee in Loveเมื่อเราเข้าไปในร้าน ระเบียงที่นั่งทานกาแฟด้านตรงข้ามกับถนน มองลงไปในอ่างกะทะ จะเจอภาพท้องนาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จเป็นสีเหลืองของฟางข้าว มีแบคกราวด์ด้านหลังเป็นเทือกเขา ดูแล้วสวยให้อารณ์ดีๆอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ข้างๆร้าน Coffee In Love ก้มีร้านประมาณเดียวกันนี้ สร้างขนาบไว้ทั้งสองด้าน แต่ดูผู้คนจะน้อยกว่า...ร้านกาแฟคอฟฟี่อินเลิฟ ตั้งอยู่ กม. ที่ 95 บนเส้นทางสาย 1095 แม่มาลัย - แม่ฮ่องสอน หรืออยู่ห่างจากปาย 3 กม ออกไปทางเชียงใหม่....ตู้โทรศัพท์ดาราป้ายเก๋ไก๋นี่ก็ดารารถคันนี้ก็เป็นที่แอคชั่นรอคิวถ่ายภาพหลังจากได้กาแฟหนึ่งถ้วยอย่างแสนยากเย็น (เพราะคิวยาว) เราก็เดินทางต่อตามถนนสาย 1095 เพื่อไปชมสะพานประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อยู่เลยร้าน Coffee In Love ออกไปทางเชียงใหม่....ตรงสะพานประวัติศาสตร์สะพานประวัติศาสตร์ ท่าปาย สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อพ.ศ. 2485 ขณะที่ญี่ปุ่นเรืองอำนาจอยู่ในประเทศไทย ทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางขนส่งจากเชียงใหม่ไปยังพม่า สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธสู่พม่าเช่นเดียวกับสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี ที่ตั้ง กม. 88 บ้านท่าปาย ตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน.....วันที่เราไปถึงสะพานดูเหมือนได้รับการบูรณะขึ้นมารับนักท่องเที่ยวใหม่ เช่นการทาสี และตกแต่งพื้นที่รอบๆ ทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น หรืออาจจะได้รับอานิสงฆ์จากหนังเรื่อง ปาย อิน เลิฟ ก็ได้....เช่นเคยแม้เราจะไปถึงที่นั่นตอนเกือบ 1700 น แล้วก็ตามผู้คนยังอยู่กันเต็มสะพานเลย โดยเฉพาะตรงป้าย ปาย อิน เลิฟ ที่ทำเหมือนกรอบรูปให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เป็นที่ถ่ายภาพ ใต้คำว่า I'm here.... ป้ายนี้อยูปลายสะพานทางเข้าเมืองปาย..ด้านหน้าสะพาน (ถ้ามาจากเชียงใหม่) เขาจะสร้างศาลาปิดสะพานไว้ ซึ่งหลายๆคนเห็นแล้วก็วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ..... ซ้ายมือของศาลา ด้านติดกับสะพานคอนกรีตใหม่ จะมีป้าย "สะพานประวัติศาสตร์" และมีภาษาอังกฤษเขียนว่า "Memorial bridge" บรรยากาศบนสะพานเมืองปายยามเย็น จากวัดแม่เย็นออกจากสะพานไปทางเชียงใหม่ประมาณ 800 เมตร จะมีทางแยกออกไปวัดแม่เย็น ซึ่งเป็นทางแคบๆ แต่เป็นหนทางเดียวที่เราจะถึงจุดชมวิววัดแม่เย็นให้เร็วที่สุด เพื่อชมพระอาทิตย์อัสดงที่นั่น...... นักท่องเที่ยวจะพยามมาให้ทันพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาที่นี่ให้ได้เพื่อเก็บภาพแสงสุดท้ายของวันที่เมืองปาย.......แสงทองสุดท้ายของวันที่ปายออกจากวัดเราขับวนไปอีกด้าน เพื่อเข้าเมืองปาย ผ่านรีสอร์ทมากมายจากบริเวณทางขึ้นวัดแม่เย็น จนถึงสะพานข้ามแม่น้ำปาย เข้าไปในเมือง แถมบริเวณริมน้ำปายยังเจอเต้นท์อีกมากมายเมื่อมองจากสะพานไป..... ปายวันนี้ มีแขกมากเหลือเกินคืนนี้ราจะพักกันที่นี่....บ้านโชคดีกลับมาอาบน้ำอาบท่าที่รีสอร์ท บ้านโชคดี เพื่อเตรียมตัวออกลุยถนนคนเดินที่เมืองปายต่อไป.... ที่พักเราอยู่ไม่ห่างจากถนนคนเดินนัก ถ้าเดินน่าจะ 10 นาที....ผ่านหน้าโรงพยาบาล ปาย และเข้าไปในเมือง วันนั้นเราเอารถออกไปเพื่อจะไปหาที่หม่ำมื้อเย็นกัน และวางแผนไว้ว่าต้องเป็นแบบพื้นเมืองอีกครั้ง...เมนูมื้อเย็นที่เฮือนขันโตกเราเหลือบไปเห็นเฮือนขันโตกด้านซ้ายมือ ก่อนเข้าถนนคนเดิน เลยเลือกเอาที่นั่น โดยที่ร้านเขาคิดราคาคล้ายๆกะบัพเฟ่ คือรายหัวๆละ 150 บาท อาหารเติมได้...... เคยไปทานแบบนี้ครั้งหนึ่งตอนไปเมืองปากเซ ลาว... ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเลียนแบบใครในร้านอาหารมาแล้วถนนคนเดินถนนคนเดินไฮไลท์ของทริปก็คือมาเดินบนถนนคนเดินยามค่ำคืน ซึ่งคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว จำนวนมากมายมหาศาล ว่าที่แม่ฮ่องสอนมากแล้วนา มาเจอที่นี่ชิดซ้ายไปเลย........ ผู้คนมากมายป้ายสำนักงานท่องเที่ยว ยังเท่ห์เลยการส่งโปสการ์ด...เป็นสิ่งยอดฮิตมากนายดาบตำรวจ..... กับอีกบทบาทยามค่ำคืนนายดาบตำรวจท่านนี้ร้องเพลงคำเมืองเพราะยังกะเป็นนักร้องอาชีพ วันนี้ท่านทำหน้าที่หลายอย่าง นักท่องเที่ยวประทับใจมากต่างขอถ่ายภาพด้วยมากมาย..... ตอนเช้า เรายังเห็นท่านออกมาทำหน้าที่ที่ตลาดตั้งแต่เช้ามืดเลยร้านขายของอีกสไตล์สี่แยกปลายหนาวยามค่ำคืนคืนนั้นเรากลับถึงที่พักเกือบ 2300 นาฬิกา.....ถึงห้อง อาบน้ำ เตรียมหลับเพื่อตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดังต่อไปแต่ก่อนจะหลับ เราลำดับเหตุการณ์การมาเยือนปายในครั้งนี้ เปรียบเทียบกับปายที่เรารู้จักในอดีต ประกอบกันกับคำบอกเล่าของผู้คนที่เราเจอเมื่อตอนกลางวัน"ปายเดี๋ยวนี้มีรีสอร์ทมากมายตั้ง 400 กว่ารีสอร์ท""ราคาตั้งกะหลักหมื่นลงมาถึงไม่กี่ร้อย""แต่ปายดีนะ ที่ไม่ค่อยมีการรีดไถจากเจ้าหน้าที่""ที่นี่อยู่กันแบบเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน""เมืองยังสงบ ไม่ค่อยมีโจรผู้ร้าย"........อะไรอีกหลายอย่างที่เราได้ยินมา แต่ปายในสายตาเรา เราว่ากำลังจะเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของผู้คนอาจจะเปลี่ยนไปตามผู้มาเยือน ซึ่งแน่หละจากเมืองใหญ่ๆ บาร์เพื่อชาวต่างชาติกำลังเกิดขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างกำลังดำเนินไปแบบธุรกิจ.....หลายคนมาเยี่ยมปายในวันนี้ ก็เพื่อความสนุกสนาน อยากเห็นความศิวิไลซ์ที่กำลังทวีคูณขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่เคยสงบแห่งนี้กระนั้นหรือ ??.... หรือว่ามาปาย เพราะ อยากเจออากาศที่บริสุทธฺ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ขี่จักรยาน พักผ่อน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หรือเที่ยวชมธรรมชาติตามป่าเขา ลำเนาไพร???เราเคยไปเที่ยวเมืองวังเวียง ในประเทศลาว (เมืองซึ่งมีผู้เปรียบเทียบว่าเป็น เมืองคู่แฝดของปาย) ซึ่งเป็นเมืองในหุบเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม เช่นเดียวกับเมืองปายนี้มาแล้วและเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันนี้...... แต่การเปลี่ยนแปลงที่นั่น คงจะช้ากว่าที่ปายก่อนหลับเรายังหวังว่า ชาวปายคงจะต้องทำอะไรเพื่อให้ปาย ยังเป็นเมืองที่น่ารัก สงบ เหมาะแก่การ พักผ่อน อ่าน-เขียนหนังสือ และเดินป่า อย่างในอดีต....แต่ถ้าปายยังคงเดินหน้าเพื่อเป็นเมืองศิวิไลซ์ต่อไป อีกหน่อยเสน่ห์ของปายคงจะด้อยลง ตรงนี้คงแล้วแต่ชาวปายจะเลือก.....ที่สะพานประวัติศาสตร์เราตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ "กิ่วลม ห้วยน้ำดัง" โดยออกจากที่พักประมาณ 0500 น. ผ่านออกมาทางสะพานประวัติศาสตร์ปาย มาถึงสะพานเรานึกขึ้นได้ว่า วานนี้เราลืมอะไรที่นี่..... ใช่สิ เราลืมถ่ายภาพบุรุษไปรษณีย์ กับตู้ไปรษณีย์ และจักรยานของเขาด้วย ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนนกับสะพานประวัติศาสตร์..... เราจอดเพื่อถ่ายภาพนั้น แต่จักรยานโดนนำไปเก็บไว้เสียแล้ว แต่ยังดีได้ภาพหมอกคลุมลำน้ำปายตอนเช้ามาแทน....เต้นท์ และแม่น้ำปายใกล้ๆสะพานรถออกจากสะพานไม่นาน ก็ไต่ขึ้นเขาอีกครั้ง มองกลับมาทางเมืองปายยังเห็นกลุ่มหมอกปกคลุมหุบเขาด้านล่าง ลาก่อนปาย สาวรุ่นที่กำลังจะเปลี่ยนไป...... เรามาครั้งหน้า ปายจะยังเป็นสาวชาวบ้านป่าที่เต็มไปด้วยมิตรภาพที่แสนดีแบบวันนี้หรือเปล่าหนอ หรือเจ้าจะกลายเป็นนักธุรกิจ ที่คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด....... แต่เรายังหวังลึกๆว่า ใครซักคนจะรั้งเจ้าไว้เป็นปายที่ อบอุ่น สงบ และน่ารัก เช่นนี้ตลอดไป.ลากันด้วยภาพ.....น้ำปายยามเช้า________ END ________
.. ขอสวัสดีปี 2553 กับชาวบล๊อกแก๊งค์ด้วยบล๊อกนี้ละกันนะครับ ที่จริงไปเที่ยวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เอาลงไม่ทันเพราะมีบางอย่างที่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเยี่ยมกันในช่วงปีใหม่ ขอให้ทุกท่านโชคดี มีชัย สบายทั้งกาย ใจ และปลอดภัยตลอดปีครับ...
หัวข้อด้านบน คือ คำถามยอดฮิตสำหรับคนที่ยังไม่เคยมาที่ปาย..... เราเคยมาที่นี่แล้ว 2 ครั้ง เมื่อหลายปีที่แล้ว อาจจะเป็นสิบปีก็ว่าได้ มาตั้งแต่เมืองปายยังเป็นอำเภอเล็กๆ เป็นทีเราจอดพักเพียงเพื่อทานอาหาร เมื่อก่อนเคยเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่....เรายังใช้ความสามารถพิเศษ (ภาษาใบ้) สื่อสารกะเธอจนได้....แต่ ณ วินาทีนี้ ปายกลายเป็นแม่เหล็กที่สำคัญของแม่ฮ่องสอน และแดนเหนือที่นักท่องเที่ยวตั้งไว้เป็น destination สำคัญ ปายมีอะไร.... เขามาทำไมที่นี่ เดี๋ยวท่านตามเราไปเรื่อยๆ อาจจะพบคำตอบที่นี่ก้ได้ครับวันที่ 12 ธันวาคม 2552 เราเดินทางมาจากแม่ฮ่องสอนมาถึงเมืองปายเอาตอนประมาณบ่ายโมงเศษ หลังจากแวะมาหลายที่ (จะนำมารีวิวให้อ่านในโอกาสต่อไปครับ) เราไปเช็คอินที่บ้านโชคดีตามที่เราจองเข้ามา เพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้เรามีที่พักแน่ๆ เพราะคาดว่าคืนนี้อากาศที่นี่น่าจะต่ำกว่าสิบองศาเซลเซียส ได้กุญแจห้อง และซื้อแผนที่ ที่น้องคนสวยที่รีเซบชั่นบอกว่าเขามาฝากเธอขาย เราถามไถ่เส้นทางที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เพราะเรามีเวลาที่นี่ไม่มากนัก พอเข้าใจเส้นทางตามแผนที่เมืองปายดี เราก็ออกเดินทางสู่เป้าหมายแรก คือวัดน้ำฮู.....
มารู้จักปายกันหน่อยเป็นไรอำเภอ ปาย เป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่าย หรือ ไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขามีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เมืองปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนอ้างอิง : ประวัติเมืองปาย
วัดน้ำฮู เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปาย ผู้ที่เดินทางมาเที่ยวปายจะต้องไม่พลาดการมาสักการะพระพุทธรูปศักดิสิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ ซึ่งก็คือ หลวงพ่อพระอุ่นเมืองเป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้า ๒๘ นิ้ว สูง ๓๐ นิ้ว ตามตำนานแล้วพระองค์นี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ตรงบริเวณเศียรขององค์พระสามารถเปิดออกมาได้ ข้างในกลวงและมีน้ำขังอยู่เสมอ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดมีการนำเอาน้ำจากเศียรพระมาทำเป็นนำมนต์ เพื่อแจกจ่ายให้กับญาติโยมที่เดินทางมาสักการะหลวงพ่ออุ่นเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้ด้านหน้าของวัดยังมีศาล ซึ่งภายในประดิษฐานรูปหล่อเหมือนของสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา และสมเด็จพระเอกาทศรสให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ ด้านหลังของโบสถ์มีเจดีย์สีทอง ซึ่งเชื่อว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสร้างถวายแก่สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาเมื่อครั้งสวรรคตไปแล้ว วัดน้ำฮู ตั้งอยู่เลยโรงพยาบาลปายไปประมาณ 3 กิโลเมตร
วันที่เราไปถึงนักท่องเที่ยวเยอะมาก จนเวลาจะเข้าไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ต้องรอคิวกัน...เป้าหมายต่อไปของเราคือ "ศูนย์วัฒนธรรมจีน-ยูนาน" หรือ หมู่บ้านสันติชล ซึ่งอยู่เลยจากวัดน้ำฮูขึ้นไปไม่ไกล
หมู่บ้านศูนย์วัฒนธรรมยูนาน ตั้งอยู่ในตำบลเวียงใต้ พื้นที่ที่เคยถูกมองว่าเป็นสีแดง หมู่บ้านที่เป็นจุดพักสำคัญ เส้นทางค้ายาเสพติดอันลือชื่อ เขตค้ายาเสพย์ติดของว้าแดงมาก่อน มีชาวเขาบ้านสันติชลเชื้อสายจีน ซึ่งคือส่วนหนึ่งของครอบครัวจีนที่อพยพมาพร้อมกับนายพลต้วน แห่งดอยแม่สะลองนั่นเอง พักพิงอยู่กว่า 1,000 ชีวิต
วิถีชีวิตของชาวจีนยูนานที่อพยพลงจากดอยมาตั้งรกรากอยู่แถบนี้ได้ปรับตัวกลายเป็น หมู่บ้านท่องเที่ยว ไปเรียบร้อยแล้ว นับจากทางการได้ส่งทหารเข้ามาเคลียร์ความสงบเรียบร้อยและประจำการอยู่ตั้งแต่ปี 2546 ชาวจีน-ยูนนานได้รวมใจกันสร้าง ศูนย์วัฒนธรรมจีน-ยูนนาน ขึ้นเพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชน และเพื่อรักษา วัฒนธรรมยูนนานเดิม โดยเฉพาะเรื่องอาหารยูนนาน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ในศูนย์วัฒนธรรมจีน - ยูนานแห่งนี้ยังมีรีสอร์ทที่เป็นบ้านดินให้นักท่องเที่ยวได้พักด้วย ส่วนราคา จขบ.ไม่ได้ถามมา..... ที่เห็นเด่นๆอีกอย่างที่นี่คือชิงช้า แบบใช้แรงงานหนุ่มๆชาวยูนานหมุน หรือผลักให้หมุน เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เสียวเล่น ตอนแรกเมื่อเข้าไปในศูนฯนี้ ได้ยินเสียงคนร้อง นึกว่าใครเป็นอะไร แต่แท้ที่จริงคือเสียงหวีดร้องของนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปผจญภัยบนนั้นนั่นเอง....
ออกจากศูนย์วัฒนธรรมจีน - ยูนาน เราก็กลับทางเดิม พอมาถึงทางสายเลี่ยงเมืองปาย ก็เลี้ยวขวาไปทางเชียงใหม่ เพื่อไปชมสถานที่ยอดฮิตของปายอีกที่หนึ่ง คือ ร้านกาแฟ "Coffee In Love"
ติดถนนสาย 1095 จะมีตัวหนังสือ Coffee In Love ทาสี ดำตรงคำว่า Coffe In และแดงตรง Love ไว้ด้านหน้า นักท่องเที่ยวก็ใช้ป้ายนี้แลเป็นโลเคชั่นสำหรับถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกัน..... แต่ต้องดูจังหวะ และคิวถ่ายให้ดีขวามือของป้ายนี้คือหลัก กม.ใหญ่สีขาว นี่ก็ต้องเข้าคิวถ่ายภาพเช่นกัน ในบริเวณด้านหน้ายังมี ตู้ไปรษณีย์ ตู้โทรศัพท์ สีแดง และชิงช้าที่นั่งถ่ายภาพอีก......
เมื่อเราเข้าไปในร้าน ระเบียงที่นั่งทานกาแฟด้านตรงข้ามกับถนน มองลงไปในอ่างกะทะ จะเจอภาพท้องนาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จเป็นสีเหลืองของฟางข้าว มีแบคกราวด์ด้านหลังเป็นเทือกเขา ดูแล้วสวยให้อารณ์ดีๆอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ข้างๆร้าน Coffee In Love ก้มีร้านประมาณเดียวกันนี้ สร้างขนาบไว้ทั้งสองด้าน แต่ดูผู้คนจะน้อยกว่า...ร้านกาแฟคอฟฟี่อินเลิฟ ตั้งอยู่ กม. ที่ 95 บนเส้นทางสาย 1095 แม่มาลัย - แม่ฮ่องสอน หรืออยู่ห่างจากปาย 3 กม ออกไปทางเชียงใหม่....
หลังจากได้กาแฟหนึ่งถ้วยอย่างแสนยากเย็น (เพราะคิวยาว) เราก็เดินทางต่อตามถนนสาย 1095 เพื่อไปชมสะพานประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อยู่เลยร้าน Coffee In Love ออกไปทางเชียงใหม่....
สะพานประวัติศาสตร์ ท่าปาย สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อพ.ศ. 2485 ขณะที่ญี่ปุ่นเรืองอำนาจอยู่ในประเทศไทย ทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางขนส่งจากเชียงใหม่ไปยังพม่า สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธสู่พม่าเช่นเดียวกับสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี ที่ตั้ง กม. 88 บ้านท่าปาย ตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน.....
วันที่เราไปถึงสะพานดูเหมือนได้รับการบูรณะขึ้นมารับนักท่องเที่ยวใหม่ เช่นการทาสี และตกแต่งพื้นที่รอบๆ ทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น หรืออาจจะได้รับอานิสงฆ์จากหนังเรื่อง ปาย อิน เลิฟ ก็ได้....เช่นเคยแม้เราจะไปถึงที่นั่นตอนเกือบ 1700 น แล้วก็ตามผู้คนยังอยู่กันเต็มสะพานเลย โดยเฉพาะตรงป้าย ปาย อิน เลิฟ ที่ทำเหมือนกรอบรูปให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เป็นที่ถ่ายภาพ ใต้คำว่า I'm here.... ป้ายนี้อยูปลายสะพานทางเข้าเมืองปาย..
ด้านหน้าสะพาน (ถ้ามาจากเชียงใหม่) เขาจะสร้างศาลาปิดสะพานไว้ ซึ่งหลายๆคนเห็นแล้วก็วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ..... ซ้ายมือของศาลา ด้านติดกับสะพานคอนกรีตใหม่ จะมีป้าย "สะพานประวัติศาสตร์" และมีภาษาอังกฤษเขียนว่า "Memorial bridge"
ออกจากสะพานไปทางเชียงใหม่ประมาณ 800 เมตร จะมีทางแยกออกไปวัดแม่เย็น ซึ่งเป็นทางแคบๆ แต่เป็นหนทางเดียวที่เราจะถึงจุดชมวิววัดแม่เย็นให้เร็วที่สุด เพื่อชมพระอาทิตย์อัสดงที่นั่น...... นักท่องเที่ยวจะพยามมาให้ทันพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาที่นี่ให้ได้เพื่อเก็บภาพแสงสุดท้ายของวันที่เมืองปาย.......
ออกจากวัดเราขับวนไปอีกด้าน เพื่อเข้าเมืองปาย ผ่านรีสอร์ทมากมายจากบริเวณทางขึ้นวัดแม่เย็น จนถึงสะพานข้ามแม่น้ำปาย เข้าไปในเมือง แถมบริเวณริมน้ำปายยังเจอเต้นท์อีกมากมายเมื่อมองจากสะพานไป..... ปายวันนี้ มีแขกมากเหลือเกิน
กลับมาอาบน้ำอาบท่าที่รีสอร์ท บ้านโชคดี เพื่อเตรียมตัวออกลุยถนนคนเดินที่เมืองปายต่อไป.... ที่พักเราอยู่ไม่ห่างจากถนนคนเดินนัก ถ้าเดินน่าจะ 10 นาที....ผ่านหน้าโรงพยาบาล ปาย และเข้าไปในเมือง วันนั้นเราเอารถออกไปเพื่อจะไปหาที่หม่ำมื้อเย็นกัน และวางแผนไว้ว่าต้องเป็นแบบพื้นเมืองอีกครั้ง...
เราเหลือบไปเห็นเฮือนขันโตกด้านซ้ายมือ ก่อนเข้าถนนคนเดิน เลยเลือกเอาที่นั่น โดยที่ร้านเขาคิดราคาคล้ายๆกะบัพเฟ่ คือรายหัวๆละ 150 บาท อาหารเติมได้...... เคยไปทานแบบนี้ครั้งหนึ่งตอนไปเมืองปากเซ ลาว... ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเลียนแบบใคร
ไฮไลท์ของทริปก็คือมาเดินบนถนนคนเดินยามค่ำคืน ซึ่งคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว จำนวนมากมายมหาศาล ว่าที่แม่ฮ่องสอนมากแล้วนา มาเจอที่นี่ชิดซ้ายไปเลย........
นายดาบตำรวจท่านนี้ร้องเพลงคำเมืองเพราะยังกะเป็นนักร้องอาชีพ วันนี้ท่านทำหน้าที่หลายอย่าง นักท่องเที่ยวประทับใจมากต่างขอถ่ายภาพด้วยมากมาย..... ตอนเช้า เรายังเห็นท่านออกมาทำหน้าที่ที่ตลาดตั้งแต่เช้ามืดเลย
คืนนั้นเรากลับถึงที่พักเกือบ 2300 นาฬิกา.....ถึงห้อง อาบน้ำ เตรียมหลับเพื่อตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดังต่อไปแต่ก่อนจะหลับ เราลำดับเหตุการณ์การมาเยือนปายในครั้งนี้ เปรียบเทียบกับปายที่เรารู้จักในอดีต ประกอบกันกับคำบอกเล่าของผู้คนที่เราเจอเมื่อตอนกลางวัน"ปายเดี๋ยวนี้มีรีสอร์ทมากมายตั้ง 400 กว่ารีสอร์ท""ราคาตั้งกะหลักหมื่นลงมาถึงไม่กี่ร้อย""แต่ปายดีนะ ที่ไม่ค่อยมีการรีดไถจากเจ้าหน้าที่""ที่นี่อยู่กันแบบเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน""เมืองยังสงบ ไม่ค่อยมีโจรผู้ร้าย"........อะไรอีกหลายอย่างที่เราได้ยินมา แต่ปายในสายตาเรา เราว่ากำลังจะเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของผู้คนอาจจะเปลี่ยนไปตามผู้มาเยือน ซึ่งแน่หละจากเมืองใหญ่ๆ บาร์เพื่อชาวต่างชาติกำลังเกิดขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างกำลังดำเนินไปแบบธุรกิจ.....หลายคนมาเยี่ยมปายในวันนี้ ก็เพื่อความสนุกสนาน อยากเห็นความศิวิไลซ์ที่กำลังทวีคูณขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่เคยสงบแห่งนี้กระนั้นหรือ ??.... หรือว่ามาปาย เพราะ อยากเจออากาศที่บริสุทธฺ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ขี่จักรยาน พักผ่อน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หรือเที่ยวชมธรรมชาติตามป่าเขา ลำเนาไพร???เราเคยไปเที่ยวเมืองวังเวียง ในประเทศลาว (เมืองซึ่งมีผู้เปรียบเทียบว่าเป็น เมืองคู่แฝดของปาย) ซึ่งเป็นเมืองในหุบเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม เช่นเดียวกับเมืองปายนี้มาแล้วและเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันนี้...... แต่การเปลี่ยนแปลงที่นั่น คงจะช้ากว่าที่ปายก่อนหลับเรายังหวังว่า ชาวปายคงจะต้องทำอะไรเพื่อให้ปาย ยังเป็นเมืองที่น่ารัก สงบ เหมาะแก่การ พักผ่อน อ่าน-เขียนหนังสือ และเดินป่า อย่างในอดีต....แต่ถ้าปายยังคงเดินหน้าเพื่อเป็นเมืองศิวิไลซ์ต่อไป อีกหน่อยเสน่ห์ของปายคงจะด้อยลง ตรงนี้คงแล้วแต่ชาวปายจะเลือก.....
เราตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ "กิ่วลม ห้วยน้ำดัง" โดยออกจากที่พักประมาณ 0500 น. ผ่านออกมาทางสะพานประวัติศาสตร์ปาย มาถึงสะพานเรานึกขึ้นได้ว่า วานนี้เราลืมอะไรที่นี่..... ใช่สิ เราลืมถ่ายภาพบุรุษไปรษณีย์ กับตู้ไปรษณีย์ และจักรยานของเขาด้วย ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนนกับสะพานประวัติศาสตร์..... เราจอดเพื่อถ่ายภาพนั้น แต่จักรยานโดนนำไปเก็บไว้เสียแล้ว แต่ยังดีได้ภาพหมอกคลุมลำน้ำปายตอนเช้ามาแทน....
รถออกจากสะพานไม่นาน ก็ไต่ขึ้นเขาอีกครั้ง มองกลับมาทางเมืองปายยังเห็นกลุ่มหมอกปกคลุมหุบเขาด้านล่าง ลาก่อนปาย สาวรุ่นที่กำลังจะเปลี่ยนไป...... เรามาครั้งหน้า ปายจะยังเป็นสาวชาวบ้านป่าที่เต็มไปด้วยมิตรภาพที่แสนดีแบบวันนี้หรือเปล่าหนอ หรือเจ้าจะกลายเป็นนักธุรกิจ ที่คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด....... แต่เรายังหวังลึกๆว่า ใครซักคนจะรั้งเจ้าไว้เป็นปายที่ อบอุ่น สงบ และน่ารัก เช่นนี้ตลอดไป.
ปีใหม่เมืองไทยช่างร้อนเหลือทน
แวะมาทักทายกันในช่วงสัปดาห์แรกของปีใหม่ค่ะคุณ Wic
ของอย่างนี้ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองนะคะ
ไม่งั้นเราคงไม่อาจสัมผัสความรู้สึกอย่างที่คนอื่นเค้าว่ากันไว้ได้
ยุ้ยชอบเดินเล่นถนนคนเดินของแต่ละจังหวัดมากๆค่ะ
เดินดูของด้วย ชิมขนมด้วย
ยิ่งอากาศเย็นๆ เดินเพลินเชียวนะคะ