++ มิ ล า น... กลางสายฝน ++
อ่านตอนที่ 1 : โคลอสเซี่ยม..มหึมาบนซากชีวิต อ่านตอนที่ 2 : จัตุรัสเวเนเซีย น้ำพุจตุมหานที และวิหารแพนธีออน อ่านตอนที่ 3 : วาติกันมิวเซียมและมหาวิหารเซ็นปีเตอร์...ประติมากรรม & จิตรกรรมขั้นเทพ อ่านตอนที่ 4 : น้ำพุเทรวี และบันไดสเปน...ท่ามกลางสายฝน อ่านตอนที่ 5 : ฟลอเรนซ์...เมืองแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรม อ่านตอนที่ 6 : หอเอนปิซา....มารำลึกถึงกาลิเลโอ อ่านตอนที่ 7 : เวนีส...นครแห่งสีสันที่รอวันจากไป บล๊อกที่แล้วเราไปเดินเล่นกันที่เมืองเวนีสมานะครับ ทานสะปาเก็ตตี้ดำที่นั่นด้วย เมืองเวนีสที่เป็นเกาะและมีแนวโน้มว่าอาจจะจมลงไปในทะเลในวันข้างหน้าก็เป็นได้ ถ้าเกิดปรากฏการณ์ที่น้ำแข็งแถบขั้วโลกละลายลงมามากๆ.. เส้นทางจากเวนีส - มิลานวันที่ 15 ตุลาคม 2012 เป็นวันสุดท้ายที่คณะเราจะอยู่ที่อิตาลี เรามีโปรแกรมที่จะแวะเมืองมิลาน ทานข้าวเที่ยงกันที่นั่น และแวะชม Duomo ที่ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองตากอากาศคูโม และข้ามพรมแดนเข้าสวิสไปที่เมืองอินเตอร์ลาเก็นกัน ถนนในอิตาลีเราออกจากโรงแรม Courtyart Marriott Venice Airport Hotel หลังทานมื้อเช้าที่โรงแรม อุณหภูมิทางเหนือของอิตาลีวันนี้ค่อนข้างเย็น อยู่ราวๆ 3-7 องศาเซลเซียส คนเมืองร้อนอย่างเรารู้สึกเย็น การเดินทางช่วงนี้ผ่านภูเขาและไร่องุ่นจำนวนมากมาย ส่วนเวลาที่ผ่านภูเขารถก็จะลอดอุโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาปีน เจ้าของบล๊อกเห็นด้วยว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าการตัดถนนขึ้นเขา เพราะนอกจากจะเสียต้นไม้และป่าแล้ว ยังเสียเวลาพร้อมสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละครับการจะเจาะอุโมงได้มากมายเหมือนเขา เราก็ต้องมีเงิน ไร่นาบางแห่งก้กำลังเตรียมดินระยะทางจากเวนีสไปมิลาน ประมาณ 273 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เส้นทางตัดจากด้านตะวันออกสู่ตะวันตกตรงประมาณกลางๆทางเหนือของอิตาลี ผ่านไร่องุ่น ไร่ข้าวโพดมากมาย เห็นระบบชลประทานบ้านเขาทำไว้ค่อนข้างดีใกล้ๆกับบ้านเรา แต่ของที่โน่นทำคลองส่งน้ำค่อนข้างถาวรและใหญ่กว่าของเรา... ถนนบางช่วงเจาะเป็นอุโมงผ่านเขา จุดตัดของถนนส่วนมากจะลอดด้านล่าง ไม่เห็นตัวสะพานลอยให้เกะกะลูกะตา เข้าเขตเมืองมิลานฝนกำลังตกการเดินทางวันนี้ เจอฝนเกือบตลอด แม้จะเข้าสู่เมืองมิลานแล้ว ฝนก็ยังลงไม่หาย มิน่าล่ะเขาถึงบอกให้เราพกร่มแบบพับได้กับเสื้อแจ็คเก็ตตลอดเวลาที่เดินเที่ยวในยุโรป เพราะฝนทางเมืองหนาวชอบตกหน้าหนาวซะด้วยสิ ย่านใจกลางเมืองฝนกำลังลงมาถึงมิลาน เรามีโปแกรมไปทานมื้อกลางวันที่ภัตตาคาร Leo D'Oro restaurant เป็นอาหารจีนสไตล์อิตาลีล่ะครับ ส่วนหน้าร้านนั้นมีรูปปั้นเป็นานงรำไทยใส่ชฎานั่งไหว้อยู่ที่ช่องกระจกหน้าร้าน ที่ยุโรปนี่เขาชอบรูปนี้จังเลย นัยว่าเป็นสัญลักษณ์ว่ามีอะไรที่มาจากไทยๆว่างั้นเถอะ จขบ.สังเกตุเห็นร้านนวด (Thai massage) ก็มีรูปแบบนี้อยู่หน้าร้านเช่นกัน ภัตตาคาร Leo D'Oro restaurant ..มีสัญญลักษณ์แบบนี้ที่หน้าร้านเรื่องอาหารการกิน ต้องบอกว่าทางทัวร์เขาจัดให้ดีครับ คือในแต่ละวันนอกจากเราจะได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองที่เราไปแล้ว เขาก็จะมีมื้อหนึ่งที่เป็นอาหารแบบบ้านเรา คือมีข้าวเป็นส่วนประกอบว่างั้นเถอะ กันว่าใครทานอาหารต่างถิ่นแล้วจะไม่อยู่ท้อง...ส่วน จขบ.ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ทานได้ไม่ยากขออย่าให้รสจัดจนเกินไปก็พอ สู่ย่านกลางเมืองมิลาน...ลุยฝนต่อมิลาน (Milano) เมืองมิลาน (Milan) หรือ มิลาโน (Milano) ในภาษาอิตาลี เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์เดีย และเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี (Lombardy) เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500 (ข้อมูลปี พ.ศ. 2547) โดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน (La Grande Milano) มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ ซ้าย : หน้าร้าน Prada ร้านแรกของโลก อยู่ใน Gallery Vittorio Emanuele IIเมืองมิลาน มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน (Panettone) อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ รวมไปถึง สโมสรฟุตบอลอินเตอร์มิลาน และ สโมสรฟุตบอลเอซีมิลานบน : ภาพวัวที่อยู่บนพื้นที่ทำขึ้นด้วยเซอรามิค (หน้าร้าน Prada) เชื่อกันว่าใครได้เหยียบ (ฝรั่งบอกว่า spinning) แล้วจะได้กลับมามิลานอีก... นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่เลยแทบเข้าคิวรอเหยียบ โดยเฉพาะสาวๆ เป็นที่สนุกสนานกัน ที่เมืองมิลานนี้จะว่าไปแล้วนอกจากการทำธุรกิจ การค้า แฟชั่นแล้ว จุดดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวก็คือ Duomo นี่แหละครับ สินค้าแบรนด์เนมเราสามารถหาซื้อได้ใน gallery นี้ จะว่าไปแล้ว ณ ที่ตรงนี้ก็เหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของมิลาน ส่วนเรื่องสำคัญของเราชาวไทย คือ ห้องน้ำ รู้สึกว่าจะหายากครับ ที่นี่ตรงหัวมุมจะออกไป Duomo จะมีร้าน Autogrill อยู่เราแวะตรงนั้นล่ะครับ นอกจากนี้แล้วอีกที่หนึ่งคือร้าน Mc Donal ครับ วิวภายใน Gallery Vittorio Emanuele IIGallery Vittorio Emanuele II เป็น shopping mall ที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี ตั้งชื่อตามพระเจ้า วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Vittorio Emanuele II) หลังจากที่สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลี หลังจากรวบรวมอิตาลีเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำเร็จ ออกแบบในปี 1861 และก่อสร้างโดย Giuseppe Mengoni ในระหว่างปี 1865 - 1877 เป็นลักษณะ 2 อาเขต (Arcade) ประกอบด้วยตึกสูง 4 ชั้น มีหลังคาเป็นกระจก ซึ่งเป็นการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่นิยมกันมากในศตวรรษที่ 19 อาคารนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อม 2 จตุรัส (Piazza) เข้าด้วยกัน คือ Piazza del Duomo และ Piazza della Scala.(อ่านเพิ่มเติม) ภายในกัลลอเรีย วิตโตริโอ เอมมานูเอลที่ 2 อีกมุม มหาวิหาร (Duomo) ด้านซ้ายDUOMO (มหาวิหาร) ดูโอโม แห่งนี้ถือว่าเป็นมหาวิหารใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ที่โรม แต่เป็นวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1386 (ศตวรรษที่ 14) ในสมัย จีอัน กาเลอัซโซ (Gian Galeazzo) แห่งตระกูลวิสคอนติเพื่ออุทิศถวายแด่พระแม่มาเรีย ให้ทรงประทานบุตรชายเป้นทายาทสืบตระกูล แต่กว่าจะเสร็จต้องรอถึง 427 ปี Duomo หน้าตรงๆบ้างวัสดุที่นำมาก่อสร้างเป็นหินอ่อนเกือบทั้งหลัง จากพื้นถึงยอดวิหารมีความสูง 157 เมตร กว้าง 92 เมตร หลังคาและตัวอาคารด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด โดยมีรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองทั้งองค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่สูงสุด นอกจากนั้นแต่ละยอดก็ประดับไปด้วยรูปสลักหินอ่อนเป็นรูปนักบุญองค์ต่างๆ ส่วนอื่นๆยังมีรูปปั้น รูปสลักทั้งนักบุญ บุคคลสำคัญและรูปสัตว์ต่างๆอีกกว่า 2,245 รูป. Duomo ด้านขวาบ้างบางคนเรียกมหาวิหารแห่งนี้ว่า มหาวิหารเม่น นั่นเป็นเพราะด้านนอกมีแต่ยอดปลายแหลมสลักสเลลวดลวยสวยงามโผล่ขึ้นไปบนท้องฟ้าเต็มไปหมด การตกแต่งภายในกลับเรียบง่าย ภายในนั้นสามารถจุผู้คนได้ 40,000 คน .... ถ้าอยากชมหลังคาวิหารให้ไปด้านหลังด้านนอก จะมีลิฟท์ขึ้นไปชมทิวทัศน์ด้านบน บนยอดแหลมของ Duomo มีรูปปั้นอยู่บนยอดเสียดายที่ได้ภาพมาไม่ค่อยดี เพราะวันที่ไปฝนตกหนัก ต้องให้ผู้ช่วย (คนข้างตัว) รออยู่ใน Gallery Vittorio Emanuele II ส่วนตัวเองไหนๆก็มาแล้วเลยยอมเปียกบ้าง โดยกางร่มออกไปลุยฝน โต้ลมหนาวกลางจตุรัสเพื่อเก็บภาพพวกนี้กลับบ้าน แต่ก็ทำได้เท่าที่เห็นแหละครับ เพราะใช้คอหนีบร่ม มือถือกล้อง เจอทั้งละอองฝน นึกว่าไม่รอดซะแล้ว อนุสาวรีย์ วิตโตริโอ เอมมานูเอลที่ 2 ถ่ายภาพเสร็จ วิ่งมาหลบฝนที่นี่ (อาคารด้านขวามือมหาวิหาร) ภายใน Duomo มีภาพวาดมากมาย ความสวยงามอีกอย่างของที่นี่คือกระจกสี ด้านในอีกมุม มีโรงศพนักบุญให้ชมและสักการะด้วย ภายใน Duomo อีกมุม นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้กำลังฟังไกด์บรรยาย ภาพมุมกว้างของ Duomoปิอัซซา เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) เป็นจัตุรัสที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองมิลาน ที่นี่มีความสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ศิลปกรรม, วัฒนธรรม, และเป็นจุดรวมด้านสังคมต่างๆ มีพื้นที่ทั้งหมด 17,000 ตารางเมตร เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และพัฒนามาพร้อมกับมหาวิหาร (Duomo) ซึ่งใช้เวลากว่า 6 ศตวรรษจึงสำเร็จเรียบร้อย รอบๆจตุรัจจะประกอบไปด้วย มหาวิหาร (Duomo), อนุสาวรีย์ วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2, Vittorio Emanuele II Gallery และอาคาร The Royal Palace of Milan กลับมาหลบฝนและซื้อสินค้าภายในกัลลอเรีย วิตโตริโอ เอมมานูเอลที่ 2 รูปปั้น รีโอนาโด ดาร์วินชี หน้ากัลลอเรียฯเลโอนาร์โด ดา วินชี เลโอนาร์โด ดา วินชี (อิตาลี: Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง เลโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น Leonardo da Vinciวันนั้นคั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายที่มิลาน เราเจอฝนตลอด การถ่ายภาพทำได้ยากมาก แต่ทำไงได้ เมื่อมาถึงแล้วมีภาพติดมือกลับบ้านก็ยังดีกว่ากลัวฝนและหนาวความสวยงามและอลังการของ Duomo ทำให้เราทึ่งถึงความสามารถของคนในยุคนั้น ที่สร้างมหาวิหารนี้ด้วยความจงรักภักดีและศรัทธาต่อสิ่งที่พวกเขาเคารพรักอย่างแรงกล้า แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากมายเท่าใดก็ตาม ความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่ทิ้งไว้ให้เราได้เห็นในปัจจุบันนั้นจึงมีค่ามากมายนัก บล๊อกนี้เลยต้องจากกันดื้อๆแบบนี้ คอยพบกันใหม่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครับ . จากกันด้วยวิวเมืองมิลาน ภาพนี้ครับ Paul Mauriat - Love is blue_______________
Create Date : 24 ธันวาคม 2555
33 comments
Last Update : 28 กรกฎาคม 2556 14:08:59 น.
Counter : 8330 Pageviews.