สุริยาทอแสงที่โบรโม่
SUNRISE AT BROMO (14 วันในสุราบายา ตอนที่ 2)อ่านตอนที่ 1 : คลิ๊กที่นี่ อ่านตอนที่ 3 : คลิ๊กที่นี่ วันนี้เป็นวันเสาร์ 14 พย. 2552 วันนี้ไม่ class นักเรียนเลยถือโอกาสหาที่เยี่ยมชมสถานที่น่าสนใจใน Surabaya หนึ่งในนั้น หนีไม่พ้นเจ้าภูเขาไฟ Bromo ซึ่งได้ชื่อว่า "The home of the fire god" ซึ่งอยู่ห่างจากสุราบายาไปประมาณ 125 กม. แต่ต้องขับไปประมาณ 3 ชม. พาหนะไปโบรโม Mt. Bromo เป็นภูเขาไฟที่ยัง active อยู่คือยังไม่ตายว่างั้นเถอะ ซึ่งเจ้าโบรโม่นี่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,392 เมตร ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูได้ถึงปากปล่องเลยทีเดียว... เราถามหาบริษัททัวร์ที่ไว้ใจได้จากโรงแรม ซึ่งก้ได้ บริษัท Matrix Tour and Travel (https://www.matrix-tours.com ) ซึ่งมีให้เราเลือก 2 ราคา คือ แบบ 12 ชั่วโมง คือมีรถไปส่งพร้อมอาหารเช้า แต่รถจีปหรือขับเคลื่อน 4 ล้อเราต้องเช่าเอง... ส่วนแบบที่สอง คือไปพักที่นั่น เช้าก็ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและ Bromo แล้วกลับไปทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วเดินทางกลับ Surabaya... เราเลือกเอาแบบแรก ซึ่งราคาถ้าไป 2 คน (2 Pax) จะตกคนละ 650,000 RP. (Rupiah) อยากทราบว่าเป็นเงินบาทเท่าไหร่ ลองเอา 270 หารดูครับ นี่ภายในเวลา 12 ชม.นะ ถ้าเกิน ชาร์ทอีก ชม. ละ 125,000 RP. ถ้าเป็นรถที่โรงแรม ก็ 1,000,000 RP. ต่อ 8 ชม. เกิน ชาร์ทเท่ากันคือ 125,000 RP. ไปนั่งรอตรงทางขึ้น...หนาวก็หนาว 0030 น. เราออกจากโรงแรมด้วยรถ Van Suzuki ขับไปทางใต้ โดยหวังว่าจะให้ถึงที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ทันตีสี่ครึ่ง ที่นี่แปลกแสงแห่งอรุณรุ่งมาเร็วจังตี่ 4 กว่าๆ ก็เห็นแสงแล้ว... ที่จริงมันก็น่าอยู่หรอก เพราะ East Java Island น่าจะเป็นเวลาเดียวกะมาเลย์ด้วยซ้ำ (ลองดูแผนที่ประกอบ) แรกๆถนนก็ขับกันบนถนนสี่เลนส์ ซักพักก็เข้าสองเลนส์แบบสวนกัน ถนนแคบๆ ไม่มีไหล่ทาง แถมบ้านคนสร้างติดๆกับถนนอีกต่างหาก...ตอนกลางวันมอเตอร์ไซด์เยอะมาก ขับแบบถนนเป็นของข้าฯเลย คือ วิ่งทุกเลนส์ที่เป็นถนน.. บนรถมีด้วยกันสี่คน คนขับ ไกด์อินโดฯ และเราคนไทยอีก 2 คน แต่ก็คุยกันรู้เรื่องดี เข้าใจว่าไกด์น่าจะเป็นไกด์อิสระ เขาบอกว่าเคยมาเมืองไทยแล้วด้วย ส่วนคนขับรถเป็นคนของบริษัทนำเที่ยว...ชั่วโมงแรกรถวิ่งบนทางราบ หลังจากนั้นก็วกขึ้นตามไหล่เขา ตลอดเส้นทางมีบ้านคนตั้งเรียงรายตามถนนตลอดเส้นทาง ประมาณตี 2 ครึ่งเราก็ถึงหมู่บ้านขนาดใหญ่ หรือเมืองก็ไม่รู้.... ซึ่งเป็นชุมชนของชาวฮินดู เราไปพักรถ Van เราไว้ที่นั่น และทานกาแฟแก้หนาว อากาศบนนั้นเย็นต่ำกว่า 20 องศา ตี 2 ครึ่งเราก็ออกเดินทางต่อโดยรถ 4WD Toyota Land Cruiser โดยเช่าจากที่นั่น ราคา 345,000 RP. พร้อมคนขับ ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 30 นาทีกว่าจะถึงยอดเขา Penanjakan ซึ่งเป็นจุดชมวิว.... ถึง Penanjakan เราเห็นรถจอดเต็มไปหมด ตื่นเต้นกันเอาเลยล่ะ ว๊าว! ขบวนจี๊บ... แต่อากาศนี่สิ หนาวมาก น่าจะต่ำกว่า 10 องศา. แสงทองแรกเริ่มจับขอบฟ้า ตายเป็นตาย หนาวก้ไม่กลัวเพราะเราเตรียมแจ๊คเก็ตไปด้วย... เดินผ่านเรือนแถวที่เขาก่อไฟไว้ในเตา ใครหนาวก็ไปผิงได้ แถมมีข้าวโพดร้อนๆขายด้วย เห็นบางร้านมีเสื้อกันหนาวให้นักท่องเที่ยวเช่าด้วย... ไม่กลัว เมื่อใจรักจะเที่ยวจะกลัวทำไมหนาวแค่นั้น เดินดุ่ยๆขึ้นไปรอที่ View Point กับคนอื่น.... นึกว่าตีสามกว่าๆจะยังไม่มีใคร ที่ไหนได้เกือบเต็มบริเวณแล้ว เจอชาวอินโดแนะนำให้เราไปจองที่สำหรับถ่ายภาพไว้ด้านหน้าๆ เพราะถ้าสายกว่านี้จะไม่มีที่ .... ก็ขอบคุณที่แนะนำ เพราะสายมา (หลังสี่นาฬิกา) เป็นอย่างว่าจริงๆ... มองหาไกด์คนเก่ง ปรากฏว่าหายไปผิงไฟด้านล่างซะแล้ว เวรกรรม จะทริปดีไหมเนี่ย.. เริ่มเพิ่มขึ้นๆ 0520 น แสงทองเริ่มเต็มท้องฟ้า ทุกคนก็ตื่นเต้น ลืมความหนาวกันเลย เพราะคงได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตในไม่ช้า หลายคนเริ่มกดชัตเตอร์กันอย่างเมามัน ถ่ายไว้ทุกแง่ทุกมุม...... ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึงตอนที่เราไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บนยอดภูกระดึงละกัน คล้ายๆยังงั้นเลย รอแล้วรอเล่า แสงเริ่มชัดขึ้นๆ จนเห็นเจ้าภูเขาไฟ 3 ลูกในหุบเขาด้านล่างแล้ว แต่พระอาทิตย์กลมโตก็ไม่มาซักที.... พอรู้อีกทีก็เห็นกลุ่มเมฆบดบังอยู่ โถนาย wicsir อุตส่าห์ดั้นด้นมา เอาน่ะเห็นแสงทองก็ยังดี .... มิน่าล่ะในเอกสารนำเที่ยวเขาถึงเขียนไว้ว่า "If the weather permit" โถคุณเมฆไม่น่ามาเลยนะ... ยังไม่มาซักที เริ่มเห็นภูเขาไฟกลุ่มภูเขาไฟโบรโม่ ตั้งอยู่ในแอ่งกะทะของภูเขาไฟโบราณดึกดำบรรพ์ ที่เรียกว่า "Tengger Crater" เห็นแล้ว ที่จุดชมวิวจะมองเห็นเจ้า Bromo ได้ชัด เพราะสัญลักษณ์เขาจะมีควันกำมะถันพวยพุ่งอยู่ ส่วนข้างเคียงทั้งลูกหน้าและหลังจะมีชื่อเรียกกันอยู่ (ดูในแผนผัง) ซึ่ง highlights จริงๆ คือ เจ้า Bromo ซูมเข้าไปที่ปากปล่อง ลูกนี้ชื่อ Mt. Semeru (บางคนเรียก สุเมรุ) อยู่หลังโบรโม่ แผนผังที่อยู่จุดชมวิวผู้มาชมพระอาทิตย์ขึ้น ดูเอาเองละกันว่ามากขนาดไหน ลูกนี้อยู่หน้า Bromo ชื่อ Mt. Batok ลูกซ้ายสุดที่มีควันขึ้น คือ Mt. Bromo ล่ะ ชุมชน Cemoro Lawang ที่อยู่ในหุบเขาใกล้กับ Bromo ผู้คนที่มารอถ่ายภาพ แม้อากาศจะหนาว แต่คนก็ไม่ถอย ทางขึ้นไปที่วิวพ้อยท์ เมื่อไม่เจอก็กลับลงไป ประมาณ 0610 น เราก็อำลา View Point ตรงนั้นเพื่อนั่งรถ โตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์ ไปด้านล่าง หรือในหุบเขาเพื่อไปยลเจ้าโบรโม่อย่างใกล้ชิด.... เส้นทางตัดไปบนสันเขาที่เข้าใจว่าเกิดจากฝุ่นละอองของภูเขาไปที่พวยพุ่งขึ้นมาต่อกันเป็นเวลายาวนาน เพราะสันเขาคม และแคบมาก ทำให้เราตื่นเต้น (กลัว) พอสมควรเมื่ออยู่ในนั้น แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมากับรถตู้ธรรมดา โถช่างกล้า.. เดินทางลงไปชม Bromo ใกล้ๆด้วย Toyota Land Cruiser 4WD ข้างทางที่ไปโบรโม่ ระหว่างทางก็หยุดถ่ายภาพ ค่อยๆลงไปตามถนนแคบๆ ทางแบบนี้ เจ้าโตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์ พาเรามาจอดในหุบเขาที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านภูเขาไป สีออกดำๆ และผสมแดง หรือ "ทะเลทรายดำ" หรือ "Sea of Sand" .... ตามสัญญาที่เช่ารถตู้มาคือมีไกด์ และค่าม้าฟรีด้วย.... และก็ตามนั้น พอได้ม้าเสร็จสรรพ เจ้าของม้าก็จูงพาเราไปที่ฐานของเจ้า Bromo (Foot of Mt. Bromo) ซึ่งระยะทางประมาณ 500 เมตรเห็นจะได้ ตอนที่ขี่ม้านี่เล่นเอาหวาดเสียวเหมือนกัน เพราะไม่เคย เจ้าของม้าบอกให้เราจับเส้นบังเหียนทั้งสองข้างไว้ แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ ยังกลัวตกอยู่ดี พอจะปรับตัวได้ ก็ถึงที่ซะแล้ว... ลงไปถึงก็ขี่ม้าต่อ ลงจากม้าก็ขึ้นบันไดต่อ ลงหลังม้าเสร็จก็ไปปีนกระไดต่ออีก 245 ขั้น ตอนนี้รู้สึกแย่มากๆ หายใจไม่ค่อยทัน อาจจะอากาศเบาบางก็ได้ ปีนไป ถ่ายภาพไป (ไม่ใช่อะไรหรอกจะได้พักเหนื่อยน่ะ) สุดท้ายก็ถึงปากปล่องจนได้... มองลงไปตามบันได ขึ้นไปถึงปากปล่อง ที่ปากปล่องเขาทำรั้วกั้นผู้กล้าไว้ ไม่ให้ปีนลงไปสำรวจปล่องควันอย่างใกล้ชิด.... ที่ปล่องควันนั้นจะอยู่ลึกลงไปในกรวย ส่วนขอบปากปล่องเป็นสันสูง คม ด้านที่ลมพัดเถ้าถ่านไปจะกลายเป็น สันเขาคมๆเป็นเหลี่ยมลดหลั่นกันไป ควันพวยพุ่งมาจากรอยแยก อีกภาพ Mt. Batok ลูกด้านหน้าที่มองเห็นจากด้านบนยอด Penanjakan ที่เป็นสีน้ำตาล ลูกนี้กำลังรอการประทุ มองลงมาด้านล่าง กลับลงมาที่จอดรถ หลังจากทัศนาภูเขาไฟโบรโม่พอประมาณ จนได้กลิ่นกำมะถันหนักขึ้น ก็ลงจากปากปล่องไปขึ้นม้าซึ่งเจ้าของมายืนรออยู่ด้านล่างแล้ว.... ตรงนี้สำคัญ เราต้องจำชื่อเจ้าของม้าให้ได้ ส่วนมากเขาจะเขียนชื่อตัวเองให้นักท่องเที่ยวถือไว้ ถ้าขึ้นม้าใหม่ต้องจ่ายใหม่ (ไม่รู้ราคาจริงๆ แต่เห็นเพื่อนบอกว่าไกด์จ่ายแค่ม้าละ 10,000 RP.) แต่ตอนถามเจ้าของม้า เขาบอกว่า 100,000 RP. สำหรับค่าม้า ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนถูกต้อง..... แต่ถึงอย่างไรเราก็ให้ทริปเขาคนละ 10,000 RP. หุบเขาด้านล่างที่เห็นสีดำ เรียกว่า Sea of Sand ซึ่งเป็นผลมาจากขี้เถ้าภูเขาไฟ จนกลายเป็นทะเลทรายดำ ประมาณ 0820 น. เราก็ออกจากหุบเขา และกล่าวอำลาเจ้ายักษ์หลับ Bromo เพื่อกลับไปต่อรถตู้เราที่หมู่บ้าน รถเราไต่เขาขึ้นทางเดิม เห็นคนขับเขาใส่เกียร์ขับสี่ล้อก็อุ่นใจ รถคันนั้นแม้จะอายุ 29 ปี แต่สภาพยังเยี่ยมมาก แรงม้าเหลือเฟือที่จะปีนเขา เห็นแล้วอยากได้จัง... พอมาถึงที่เราจอดรถไว้ ไกด์ชวนเรามานอาหารพื้นเมืองที่นั่น เราเลยบอกไปว่า น่าจะไปหาร้านตามทางทานนะ เพราะยังไม่หิว...แต่ความเป็นจริงเรากลัวสิ่งแวดล้อมที่นั่นมากกว่า กลัวท้องเสียตอนเดินทางน่ะ.. Van Suzuki พาเราออกจากหมู่บ้าน ผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวลงเขา ซึ่งข้างทางมีการปลูกพืชแบบขั้นบันไดตามไหล่เขาเต็มไปหมด บ้านคนหนาแน่นในสองฟากทางที่ถนนผ่าน แทบจะไม่มีที่ไหนเลยว่าง..... เราคุยกันในเรื่องสัปเพเหระ รายได้เอย ความเป็นอยู่ของผู้คนและอื่นๆจนถึงร้านอาหารใกล้ๆสุราบายา ทานมื้อเช้าเสร็จ ก็ไปซื้อผ้าบาติก (Batik) ต่อในเมือง ก่อนที่จะส่งเราที่โรงแรมตอนเที่ยงวัน... ลาจาก Bromo ด้วยภาพนี้ครับ ลาก่อน Bromo เจ้ายักษ์หลับ, Good bye...Selamat Tinggal___________ END __________
Create Date : 02 ธันวาคม 2552
30 comments
Last Update : 4 มิถุนายน 2562 8:01:58 น.
Counter : 4000 Pageviews.
โดย: nLatte 2 ธันวาคม 2552 9:46:58 น.
โดย: nLatte 3 ธันวาคม 2552 7:33:22 น.
โดย: babyL' 3 ธันวาคม 2552 14:02:28 น.
โดย: chenyuye 3 ธันวาคม 2552 14:46:29 น.
โดย: แม่ปู (myroom_pu ) 3 ธันวาคม 2552 15:49:14 น.
โดย: หอมกร 3 ธันวาคม 2552 17:08:09 น.
โดย: หอมกร 4 ธันวาคม 2552 15:29:26 น.
โดย: ตะไคร้หอม IP: 222.123.140.41 7 ธันวาคม 2552 9:32:28 น.
โดย: nLatte 8 ธันวาคม 2552 7:14:53 น.
โดย: nLatte 8 ธันวาคม 2552 9:26:53 น.
โดย: wicsir 8 ธันวาคม 2552 9:54:44 น.
โดย: ขึ้นเป้ 8 ธันวาคม 2552 13:55:57 น.
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 8 ธันวาคม 2552 21:28:56 น.
โดย: chenyuye 8 ธันวาคม 2552 22:38:17 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [? ]
...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......อยากจะบอกว่า @ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว @ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ. @ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก... ด้วยจริงใจ นาย wicsir.
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31