ไปเที่ยวมัลดีฟมา ขอแนะนำ Anantara Veli Resort สวยมากๆเลยค่ะ ( ตอนที่ 1 )
( ตอนที่ 1 )
Trip Maldive นี้ เป็นอะไรที่อิฉันใฝ่ฝันมานานแล้วว่า Once in my life time ต้องขอให้ได้ไปเหยียบมันซักครั้งนึงน่ะ แล้วอิฉันจะได้ตายตาหลับ(พริ้ม) ตอนแรก Plan ว่าจะไปแบบประหยัด ที่ Club Med Kani แต่ว่า Club Med มันเต็ม ตอนช่วงที่ว่าจะไปพอดี๊พอดี ทางบริษัททัวร์ Maldive Package เค้าเลยแนะนำว่าให้ไปที่ Fullmoon Resort บอกว่าสวยมาก และราคาไม่แพงด้วย แต่พอจะ Confirm Trip ห้องพักดั๊นเต็มขึ้นมาอีกซะงั้น จะไปเที่ยวทั้งที ทำไม๊อุปสรรคมันเยอะนักนะ (พอดีตรงกับช่วงปิดเทอมของทางประเทศฝรั่งเค้า)แต่ตัดสินใจแล้วว่าต้องไป ก็จะต้องดื้อไปให้ได้ ไม่ล้มมวยให้เสียอารมณ์ เลยตัดสินใจเลือกมาที่นี่ เพราะทางบริษัททัวร์เค้าบอกว่า ข้อดีคือ เราอยู่ที่รีสอร์ทนี้ แต่ว่าเราสามารถไปเที่ยว ไปกิน ไปเล่น ไปสอดรู้สอดเห็น รีสอร์ทคนอื่นเค้าได้อีก 2แห่ง Ohh!!! Sound Good แต่ต้องจ่ายแพงขึ้นมามากหน่อย(58,900บาท/คน สำหรับค่าห้อง Water Bungalow 4 วัน 3 คืน กับอาหารเช้า และค่าตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับบางกอกแอร์เวย์ค่ะ)
Anantara Veli แห่งนี้ เดิมชื่อว่า Bodu Huraa Resort ตั้งอยู่ที่ South Male Atoll ห่างจากสนามบิน Male ประมาณ 30 นาที โดย Speedboat ค่ะ
ที่ Anantara Veliแห่งนี่ มีโรงแรมในเครือเดียวกัน แต่อยู่กันคนละเกาะ ที่อยู่ใกล้ๆกันอีก 2 รีสอร์ทคือ Anantara Dhigu กับ Naladhu Resort ค่ะ
นี่คือรูปของ Speedboat ไฮโซ ที่พาเราไปยังรีสอร์ทค่ะ
เวลาที่ Maldive ช้ากว่าที่เมืองไทย 2 ชั่วโมง แต่พอเราไปถึงที่รีสอร์ท พนักงานก็แจ้งให้เราทราบว่า รีสอร์ทเค้ามีเวลาเป็นของตัวเองอีกต่างหาก ซึ่งเวลาของที่รีสอร์ทแห่งนี้จะเร็วกว่าเวลาที่เมืองหลวงมาเล่อยู่ 1ชั่วโมงค่ะ อิฉันล่ะ งงเจงงๆ
ช่วงที่ไป (11-14ส.ค.51)ถือว่าโชคดีมากค่ะ เพราะทะเลเรียบกริ๊บ และท้องฟ้าแฉ่มใฉดีมากๆ รูปที่เห็นคือท่าเรือของรีสอร์ท พอไปถึงจะมีพนักงานมายืนตีกลองต้อนรับตามธรรมเนียมชาวเกาะบ้านเค้าค่ะ
....เมื่อไปถึง ก็มีน้องพนักงานคนไทย อัธยาศัยน่ารักมากๆ ชื่อน้องผักชี พาเราไป Check in ที่ Lobby ของรีสอร์ท ส่วนของ Lobby ก็น่ารักดี ช๊อบชอบ เพราะว่าที่พื้นเป็นทรายขาวละเอียด และ Lobby ก็โปร่งโล่งสบายดี สีสันสดใสด้วย
พอ Check in เสร็จแล้ว น้องผักชีก็พาเราเดินตามทาง ไปยังห้องพัก (เกาะเล็กมาก เดินแค่ 5 นาทีก็รอบเกาะแล้วค่ะ) ไม่ต้องกลัวหลง
อุโมงค์ต้นไม้ ตรงนี้ก็เก๋มากค่ะ
บ้านที่เราอยู่ เค้าเรียกว่า Water Bungalow ค่ะ เค้าให้เราอยู่บ้านหลังที่ 2 เพราะว่าแจ้งเขาเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าขออยู่ใกล้ๆ กลัวจะเดินไกล ก็อิฉันมันแก่แล้วนิ่คะ แถมขี้ลืมอีกซะด้วย
ห้องนอออนนน
ห้องน้ำ !!!!
พอเปิดหน้าต่างห้องน้ำ แล้วมองลงไปข้างล่าง ก็โอ้โห กรี๊ดดด กอปะการัง แล้วก็ฝูงปลา อยู่ใต้บ้านเรานี่เอง ไม่อยากจะเชื่อเลยตังเองงงง
เอ้า ! ดูซะๆ เดี๋ยวจะหาว่าโม้ ปลาตัวโตๆทั้งน้าน นึกถึงแหจับปลาของบ้านเราขึ้นมาทันทีเลย
ปลากระเบนก็มีนะ ตื่นเต้นจัง เห็นตั้ง 2 ตัวเชียว ตัวใหญ่กว่าจานกินข้าวแน่ะ
เฮ๊ะ!!! ดูปลาไปมาแล้วชักหิว อิฉันขอไป Check ดูว่าที่นี่มีอะไรให้เราหม่ำบ้างดีก่า
ร้านอาหารแรกชื่อ73 ดีกรี เป็นที่สำหรับเรากินอาหารเช้าทุกวันค่ะ
มาดูซิว่ามีอะไรกินบ้างเอ่ย ! ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะอิฉันถือมั่กๆฮ่ะ ว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ของอิฉัน ต้องดูดีและกินอร่อย ถึงจะรับทานนะคะ
ข้าวสวยก็มีกินนะ ไม่ต้องกลัวอด
ที่เห็นคือทั้งหมดของอาหารเช้า ที่รวมอยู่กับค่าโรงแรมอยู่แล้ว ส่วนมื้อกลางวันกับมื้อเย็น เราต้องจ่ายเองค่ะ
ขอบอกเรื่องน้ำดื่มหน่อยนะคะ ที่นี่เค้าให้น้ำดื่ม(น้ำเปล่า) 4ขวดเล็ก/วัน/ห้อง แต่เพื่อนที่ไปรีสอร์ทที่อื่นมา บอกว่าเค้าให้ 2ขวดเล็ก/วัน/ห้อง อิฉันเลยหิ้วน้ำไปด้วยจากเมืองไทย 2 ขวดลิตร ซึ่งก็ดีที่เอาน้ำไปด้วย ทำให้ไม่ต้องไปซื้อน้ำซึ่งราคาแพงมาก เวลาไปทานข้าวที่ไหน อิฉันก็หอบหิ้วน้ำเปล่าขวดลิตรของอิฉันเข้าไปในร้านเค้านั่นแหละค่ะ เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะพนักงานทุกคนเขาใจดีจะตาย อารมณ์สบายๆแบบชาวเกาะ ไม่ซีเรียสเลยค่ะ
อ้ะ!!! พออิ่มแล้ว เราไปเที่ยวกันดีกว่า
วันนั้น อย่างแรก ตั้งใจว่าจะซื้อทัวร์เครื่องบินน้ำ เพราะว่าอยากเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วมองลงมาดูวิว คงจะสวยน่าดู แต่ความฝันนั้นได้ถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเค้าบอกว่าที่รีสอร์ทแห่งนี้ไม่มีให้บริการอันนี้ แป่วววว แล้วเครื่องบินเค้าก็ไม่บินมารับด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากนั่งเครื่องบินน้ำดูวิว ก็จงไปอยู่รีสอร์ทที่มีรับส่งอยู่แล้วด้วยเครื่องบินน้ำซะเลย จะสะดวกกว่า หรือไม่ก็ลองเช็คดูกับทางโรงแรมที่คุณจะไปอยู่ว่ามีให้บริการอันนี้รึปล่าว จะได้ไม่อกหักเหมือนอิฉันนะคะ O.K.ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้น เราก็ไป snorkle ดูกระเบนราหูกันดีกว่า เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเห็นมันตัวเป็นๆ ว่ายอยู่ในน้ำ ที่อิฉันไม่ซื้อทัวร์ไปดำดูปะการังที่มัลดีฟ เพราะหัวหน้าทัวร์ที่ชื่อ Sandy บอกว่าถ้า U มาจากเมืองไทย แล้ว U เคยไปดำที่เกาะเต่า,เกาะสิมิลัน หรือหมู่เกาะสุรินทร์มาแล้ว U ก็ไม่ต้องไปเสียเวลามาดำดูปะการังที่นี่หรอก เพราะปะการังที่บ้าน U สวยกว่าเย๊อะ OK.undersatnd แล้ว ที่นี่มีปลาตัวใหญ่ๆเยอะ ถ้างั้นเราไปดูปลากันเถอะ อิฉันจ่ายค่าทัวร์ไป 55$ (ประมาณ 1,800 ฿ ) / คน แล้วเราก็เดินไปเอาหน้ากากดำน้ำ กับ Fin (ฟรีรวมอยู่ในแพ็กเกจ) แล้วก็วิ่งตูดแป้น ขึ้นเรือไป
ระหว่างทางทั้งขาไป และขากลับ เรือของเราก็พบกับปลาโลมาฝูงใหญ่ เลี้ยวมาทักทายและว่ายน้ำโชว์แข่งกับเรือเรา น่ารักมากๆค่ะ
จุดสำหรับดูปลากระเบนราหู Mantaray อยู่ทางทิศใต้ของรีสอร์ท แล่นเรือไปประมาณ 30 นาทีก็ถึง เราจะเห็นเรือทัวร์อื่นๆอีก 3-4 ลำ จอดลอยลำอยู่รอบๆตรงจุดนั้น
ลูกเรือจะปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ แล้วคอยมองหาวี่แววของปลากระเบน กระเบนน้อยจ๋า หนูอยู่ไหนเอ่ย??? ออกมาให้เห็นหน้ากันหน่อยนะจ๊ะคนดี ในขณะนั้นพวกเราก็ต้องรีบใส่หน้ากาก ใส่ฟิน เตรียมพร้อมปฏิบัติการโดดลงน้ำ พอลูกเรือส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง Sandy หัวหน้าทัวร์ก็กระโดดลงน้ำไปก่อน ลูกทัวร์ที่เหลือก็กระโดดตามลงไปทีละคน อิฉันลงเป็นคนสุดท้าย พอลงไปก็มองหา Sandy แล้วว่ายไปทางนั้น อิฉันว่ายไปได้ซัก 1 นาที ก็ป๊ะเข้ากับคุณ Mantaray ตัวมหึมา เท่ารถเก๋งคันโต กำลังว่ายสวนมาทางอิฉัน โอ!!! พระแม่เจ้า ช่วยลูกช้างด้วย อิฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ทำยังไงดี มันว่ายมาทางนี้ซะด้วยซิ กลัวจังเลย ทำอะไรไม่ถูก กลัวมันจะกัดเอา (โง่ไม๊นี่คนเรา) แล้วมันก็พลิ้วตัว เลี้ยวซ้ายหายไป อย่างไม่ทันได้กระพริบตา O.K. นะ ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เห็นกันจะๆขนาดนี้ ถือว่าโชคดีนะเรา หลังจากนั้น Sandy ก็พาไปว่ายดู (ซาก) ปะการังแถวๆนั้น ปะการังไม่สวยเลย ดูแล้วเศร้า แต่ว่าปลาตัวโตๆเยอะอยู่ แต่กระแสน้ำแรงมากๆ คอยจะพัดออกอยู่ตลอด ตีฟินจนเหนื่อย ว่ายกลับไปกลับมาๆอยู่ที่เดิมประมาณ 5 รอบ คิดว่าไม่เอาแล้วดีกว่า เลยขึ้นเรือกลับรีสอร์ทดีกว่า
พอกลับมาถึง ...อิฉันก็ว่ายน้ำที่สระของโรงแรมต่อไป
ที่ติดกับสระว่ายน้ำ มีบาร์และร้านอาหารชื่อร้านโดนี่บาร์ ขอบอกว่า Drink ทุกอย่างที่ลองสั่งมาดื่ม ไม่อร่อยเลยซักอย่าง ถือว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของบาร์เทนเดอร์ที่นี่ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าพนักงานที่นี่เค้าเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด เค้าไม่ดื่มเหล้า เค้าเลยไม่รู้ว่าไอ้ที่ทำมาให้กินนั้นมันไม่ได้เรื่องเอาซะเล๊ยยยย
อารมณ์เสีย ไปหาข้าวกลางวันกินกันดีกว่านะหมู่เฮา
มื้อกลางวัน เราตั้งใจไปกินอาหารไทย ที่ร้าน Baan Huraa ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในน้ำ ตรงกึ่งกลางทางเดินที่เป็นสะพานไม้ที่ทำไว้เชื่อมต่อระหว่าง รีสอร์ทที่เราอยู่กับเกาะ Naladhuu รูปทรงของร้านก็สวยงามดีค่ะ
ภายในร้าน ตกแต่งลวดลายแบบไทย สวยมากๆค่ะ อาหารก็อร่อยมากๆ ขอบอก รสชาติแบบลืมไปเลย นึกว่านั่งกินอยู่ที่เมืองไทยยังไงยังงั๊น ที่อร่อยเหาะได้แบบนี้ก็เพราะเค้า Import พ่อครัว แม่ครัว รวมทั้งพนักงานเสริฟ ครบก๊วน มาจากเมืองไทยทั้งหมด รสชาติอาหารจึงเป็นของแท้ ทำให้ลูกค้าของร้านอาหารไทยแห่งนี้เยอะมาก ถึงขนาดต้องมีการจองโต๊ะล่วงหน้า มิฉะนั้นก็อดกินนะจ๊ะ น่าภูมิใจเนอะ
ตรงกลางร้านมีรู ไว้สำหรับดูปลา และให้อาหารปลา ปลาเยอะแยะมาก ดูกันจนเวียนหัว
อิ่มแล้ว ไปเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย ถ่ายรูปกันดีกว่า
เย็นนั้น รู้สึกเหนื่อย เลยตัดสินใจกินข้าวเย็นที่รีสอร์ท (ร้าน 73 Degree) เพราะว่าหมดแรงเดินไปไกลๆแล้ว คืนนั้นกินอาหารทะเลกัน (ขอบอกว่าสู้อาหารทะเลที่บ้านเราไม่ได้หรอกค่ะ เค้าปรุงรสชาติแบบฝรั่ง โชคดีที่อิฉันพกน้ำจิ้มแจ่วบองกับน้ำจิ้มทะเลเผารสซาบซ่าติดมาด้วยจากเมืองเรา เลยทำให้ชีวิตมีรสชาติ ม่วนชื่นอย่างแรง)
บรรยากาศยามค่ำคืน
ห้องน้ำ ดูตอนกลางคืนก็สวยดีนะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนที่ 2 ค่ะ Blogนี้เนื้อที่หมดแล้วค่ะ
Create Date : 27 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 19 กันยายน 2551 19:54:32 น. |
|
15 comments
|
Counter : 6419 Pageviews. |
|
|