วันที่อ่อนแอของป้าพนอจัน
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ตื่นมาตอนเช้าก็ปรกติดี มีธุระต้องไปทำในวันนั้น ขี่จักรยานไปประมาณยี่สิบนาที
ตอนไปก็ปรกติดีทุกอย่าง แต่เริ่มมีอาการปวดแขนนิดๆตอนเวลาสิบเอ็ดโมง ก็ไม่ได้คิดอะไร
คิดว่าคงปวดแบบปรกติ อายุมากขึ้นก็ปวดตรงนั้น เจ็บตรงนี้ จัดการธุระปะปังเสร็จ ซื้อกับข้าวเข้าบ้าน
ขี่จักรยานกลับเข้าบ้านมาเวลาเกือบเที่ยง รีบเตรียมอาหารให้สามีตามปรกติ สามีกลับมาทานอาหารกลางวัน
เราก็เตรียมอาหารกลางวันของตัวเอง ขณะที่เตรียมอาหารอยู่ ก็รู้สึกปวดเแขนมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก คิดว่าเดี๋ยวคงหาย ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย สามีกลับไปทำงาน
เราเตรียมอาหารมาสำหรับตัวเอง ตอนนี้ยกแขนไม่ขึ้นแล้ว ไม่สามารถถือถาดใส่อาหารได้
นำอาหารมาทานหน้าคอมพ์ อ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อยๆ ยกมือขวาตักข้าวไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายตักข้าวทานอย่างทุลักทุเล
เอาซิ....ชักปวดมากขึ้นมากขึ้น ...ปวดร้าวไปทั้งแขน อาการเหมือนตอนถูกฉีดยาเข้าเส้น ปวดกระดูก ปวดข้อ
เอ๊ะ....เราเป็นอะไรไป พยายามทานข้าวจนหมด ตอนนั้นมือขวาลากเม้าท์ไม่ไหวแล้ว
ก็เลยหยุดเล่น ปิดเครื่อง เก็บจานชามไปแช่ไว้ก่อน มานอนดูอาการ พยายามขยับมือกำเข้าคลายออก
กลัวเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ กลัวเส้นโลหิตในสมองแตก กลัวเป็นมะเร็ง เพราะเคยอ่านหนังสือ
และเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เคยเล่าให้ฟังว่าเขามีอาการปวดขาอย่างมาก บวมจนเดินไม่ได้
ไปหาหมอตรวจ ปรากฏเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เข้าโรงพยาบาลเพียงอาทิตย์เดียวแล้วทำเรื่องกลับเมืองไทย
ไปอยู่โรงพยาบาลที่เมืองไทยได้อาทิตย์เดียวเสียชีวิตเลย อายุเพิ่งจะสามสิบเจ็ด เธอเป็นมะเร็งที่ปอด
ทั้งๆที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ทำงานกลางคืน ต้องกินเหล้าและอยู่ในวงบุหรี่มาเกือบสิบห้าปี
และเพิ่งไปอ่านมาในเวปหนึ่งว่า มี่เด็กคนงานทำงานบ้านคนหนึ่ง ทานแต่มาม่า ไม่ชอบอาหารอื่น
วันหนึ่งเธอปวดท้องอย่างมาก ปวดขาจนเดินไม่ได้ นายจ้างพาไปหาหมอ ปรากฏเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
ลามไปหมดแล้ว ลามไปถึงมดลูก ทั้งๆที่เธอยังสาวไม่เคยมีลูกมี่สามี อยู่โรงพยาบาลไม่กี่วันก็เสียชีวิต
เรายิ่งจิตตกไปใหญ่ บอกตามตรงว่ากลัวเป็นมะเร็งมากๆ ถ้าเป็นจะทำอย่างไร รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย
จิตตกมาก.... คิดไปคิดมาอยากจะมีใครสักคนที่จะพูดฝากสั่งเสียเป็นภาษาไทยไว้ได้
พอดีเพิ่งได้พูดคุยพบปะกับเพื่อนใหม่จากห้องเอดแจแปน ชื่อน้องความฝัน มีความรู้สึกว่าน้องคนนี้เป็นคนใช้ได้
มีรายละเอียดเยอะดี ไม่ว่าน้องเขาจะตอบอะไรมีหลักการณ์ เรียกว่าเป็นคนรู้จริง และเป็นคนมีน้ำใจมาก
เพิ่งจะรู้จักกัน แต่ทำไมอยากจะพูดอยากจะระบายกับเขา เพราะเขาเคยบอกว่า เขาเคยไม่สบายมาก
ปวดหัวมากๆจากการเป็นไทรอยส์ ดังนั้นเราจึงคิดว่า ถ้าเราพูดกับคนที่เคยได้รับการเจ็บปวดมาก่อนคงจะเข้าใจความรู้สึก
น้องคงพอช่วยให้เราสบายใจขึ่้นได้บ้าง จึงกดไปหาเขา เพื่ออยากให้ใครสักคนได้รู้ว่า กำลังเจ็บกำลังปวด
มีความกลัวอยู่ลึกๆว่าจะมีอาการเส้นโลหิตในสมองแตก ไม่สามารถพูดกับใครได้อีก
เพราะมีญาติเป็นแบบนี้หลายคน กลัวจริงๆ กลัวไม่ได้สั่งเสียใคร อยู่ต่างประเทศคนเดียว
สามีแม้จะดูแลเอาใจใส่ดี แต่เวลานั้นอยากพูดไทยมาก อยากระบายออกมาเป็นภาษาไทย
แล้วก็ไม่ผิดหวัง น้องเขารับรู้ด้วยความเข้าใจ ให้กำลังใจ แค่นี้เราก็พอใจแล้ว จะโทรทางไกลไปหาลูกก็กลัวลูกกังวล
จะโทรไปบอกสามีว่าไม่สบาย ก็เกรงใจกลัวเขาเสียงาน เป็นกังวลกับเรา เดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว
ถ้าโทรไปบอกก่อนเดี๋ยวเขาไม่เป็นอันทำงาน เสียการงาน รอเขากลับมาแล้วค่อยไปหาหมอ
ต้องขอขอบคุณ ความฝันและสุดที่รัก ไว้ในบล็อกนี้ ที่โทรไปรบกวน
พอตอนเย็นห้าโมงสามีกลับจากทำงาน เล่าให้เขาฟังว่าเจ็บปวดแขนจนยกไม่ขึ้น แล้วเริ่มมีไข้ตัวร้อน
สามีพาไปหาหมอ โดยเรียกแท็กซี่มารับ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเรากลัว เราอ่อนแอ กลัวเป็นมะเร็งที่สุด
เมื่อไปถึงคลีนิคที่รักษากันประจำเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ไปถึงไม่ต้องรอนานเหมือนทุกที
ได้เข้าไปตรวจเข้าเครื่องแสกนสมอง ใจไม่ค่อยดีเลย นอนเฉยๆเข้าอุโมงค์อยู่ห้านาที
หลังจากนั้นก็ไปเอ็กซเรย์แขนสองครั้ง กลับมานั่งรอหมอเรียก ยังคงปวดแขนอยู่
ก่อนเข้าพบหมอ วัดความดันได้ ๑๓๐ ปรกติดี พบหมอก็เล่าให้ฟังว่าเริ่มปวดแต่กี่โมง หมอดูเอ็กซ็เร่ย์ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ สมองก็ไม่มีปัญหา กระดูกแขนก็ปรกติ ตรวจหัวใจก็เต้นปรกติ แต่มีไข้เล็กน้อย สรุปหาสาเหตุไม่ได้ จัดยามาให้สามชนิด และขอตรวจเลือด
เพราะเราบอกว่าเรากลัวการเป็นมะเร็ง หมอก็ให้ไปเจาะเลือด หาเส้นนานหน่อยเพราะอ้วน
พยาบาลที่นี่ดีจริงๆ ขอโทษเราตลอดเวลา กลัวเราเจ็บ จริงๆแล้วพยาบาลมือเบามากไม่เจ็บเลย
ได้เลือดไปสี่หลอด วันรุ่งขึ้นจึงรู้ผล เรากลับบ้าน สามีไปซื่้อข้าวต้มมาให้ทาน ทานข้าวแล้วทานยา
นอนแต่สองทุ่มจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมาแขนหายปวด แต่ยังเจ็บที่ข้อศอกอีกหน่อย ดีใจว่าหายปวดแล้ว
แต่ยังไม่เต็มที่ สามีตื่นมาตีห้า ซักผ้าตากให้ เตรียมอาหารมาให้ถึงที่นอน เอาใจเสียจนเกรงใจมาก
ทานอาหารและยาเสร็จก็นอนต่อ สามีโทรมาเช็คอาการตลอด ตอนกลางวันก็ไม่ต้องทำอาหารให้
เพราะเขาซื้ออาหารปินโตทานเอง เราก็ได้พักเต็มที่ ตอนบ่ายคุณรัตน์โทรมาถามอาการ
นอนพักจนถึงเย็นสามีกลับมา แล้วรีบไปคลีนิค ไปฟังผลเลือด กลับมาหน้าตาสดชื่นเราค่อยใจชื้นหน่อย
ผลการตรวจเลือด ปรกติดี ไม่เป็นเบาหวานอย่างที่กลัว ไม่เป็นมะเร็ง แต่ที่ต้องกังวลกลายเป็น
เม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง เออแล้วมันจะเป็นอย่างไรหรือ ไม่รู้เลยว่าจะเป็นผลทำให้เกิดอะไร
ตอนนี้ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ปรกติแล้ว ไม่มีไข้ ไม่เวียนหัว ไม่ปวด สามารถพิมพ์ได้ปรกติ
เฮ้อ....โล่งอกไป คิดว่าจะเป็นอะไรมากแล้ว ไม่เจ็บป่วยนี่ดีกว่าอะไรทั้งหมด เพิ่งคิดก่อนที่จะเป็นวันเดียว
ว่าเราปีนี้ดีจัง ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นไข้เป็นหวัด คิดได้วันเดียวเป็นเลย เสียเงินค่ายาค่าตรวจไปหมื่นเยน
สามีเอาใจซื้อผลไม้มาให้อีกเพียบ การไม่สบายครั้งนี้ ได้เห็นน้ำใจสามี และขอบคุณเพื่อนๆที่โทรมาถามไถ่ด้วยความห่วงใย
มีคุณเต่าญี่ปุ่นและคุณกระตุกหนวด ขอขอบคุณทุกคนไว้ในนี้
ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
คนเราอายุมากขึ้น โรคนั้นโรคนี้ก็ถามหา ตอนนี้อายุห้าสิบเจ็ดปี หลายอย่างเปลี่ยนแปลง
ใครที่ยังหนุ่มยังสาวอยู่ ก็ให้ระวังสุขภาพด้วย รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นเรื่องเสี่ยงก็อย่าไปลอง
วันที่ป้าพนอจันอ่อนแอ ป้าพนอจันร้องไห้ เพราะกลัว กลัวเป็นมะเร็ง ไม่อยากรู้จักกับเขาเลย
Create Date : 18 มิถุนายน 2551 |
|
61 comments |
Last Update : 18 มิถุนายน 2551 11:32:13 น. |
Counter : 1836 Pageviews. |
|
|
|