ปฏิรูปการศึกษา II : กรณีศึกษา ครู และตรรกะ
มาถึงตอนที่สองว่าด้วยเรื่องครู อย่าลืมนะครับครูดีๆ มีเยอะ น่าเห็นใจครับ วันนี้ว่าด้วยเรื่องครูและการใช้ตรรกะ โดยคราวนี้จะเน้นเป็นกรณีศึกษา ครูดีๆ มีมาก ผมอาจจะโชคร้ายเองที่เจอครูที่แย่ เพราะครูที่แย่มีแค่เพียง 0.1% ของครูทั้งหมดเท่านั้น
จำนวนนักเรียนในห้อง ทำไมถึงเล่นประเด็นนี้อีกครั้ง? อย่างที่เคยได้เขียนไว้ ถ้าจำนวนนักเรียนมากเกิน ครูจะควบคุมการเรียนการสอนได้ลำบาก หากครูสั่งการบ้านก็ต้องตรวจการบ้านมากตามไปด้วย ทำให้ครูหลายคนใช้วิธีการให้นักเรียนตรวจเอง โดยตนเองเพียงแค่เฉลยแล้วก็เซ็นชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เนื่องจากครูท่านนั้นไม่อาจจะทราบได้เลยว่าตนเองสอนได้ดีแค่ไหน จุดไหนที่เด็กทำผิด และไม่เข้าใจ ผมขอเทียบกับเมื่อสมัยอยู่จีน ครูให้การบ้านเยอะจริง แต่ท่านตรวจเองทั้งหมดและเขียนคอมเม้นต์ด้วย จุดไหนที่นักเรียนชาติไหนมักจะผิดท่านรู้หมด ที่น่าตกใจเขาสามารถบอกได้ว่าชาติไหนมักจะผิดในจุดไหน นี่แหละมันทำให้ครูพัฒนาได้
สมมติว่า นักเรียนทำข้อ 4 ผิดเสียส่วนมาก แสดงว่าข้อนี้มีจุดที่นักเรียนไม่เข้าใจ การที่ครูแค่เฉลยแล้วให้นักเรียนตรวจเอง นักเรียนก็ทราบแค่ว่าข้อนี้ผิด แต่ครูจะไม่มีวันทราบว่านักเรียนเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เหตุการณ์นี้ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนักเรียนจะไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดคำตอบที่ได้จึงเป็นอย่างนี้ เพราะมันก็เหมือนข้อที่ผิดแค่ข้อหนึ่ง ในขณะที่ฝ่ายครูผู้สอน จะไม่สามารถพัฒนาวิธีการสอนใหม่ๆ เพื่ออธิบายให้นักเรียนเข้าใจได้ เพราะไม่ทราบว่าทำไมนักเรียนถึงทำผิดข้อ 4 กันเยอะ
กรณีดังกล่าวอาจมีคนบอกว่าให้ถามครูเองสิ เนื่องจากจำนวนนักเรียนที่มากเกินไป ถ้าต่างคนต่างสงสัยถามกันหมดจนครูต้องอธิบายหมดทุกข้อ ครูจะระเบิดลง
ตอนผมอยู่จีนมีเทอมหนึ่งในห้องที่เรียนมีแค่ 9 คน เรียกได้ว่าตื่นตัวตลอดเวลาในการเรียน ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่กลับสนุกในการเรียนมาก ถ้าจำนวนนักเรียนในห้องมากเกินไปครูจะจำชื่อนักเรียนไม่ได้ เมื่อจำไม่ได้ความสนิทสนมก็ไม่เกิด ผมอยากให้เราจินตนาการดู ถ้าเราไปซื้อของแล้วเจ้าของร้านนั้นจำเราได้ เราจะรู้สึกดีขนาดไหน กรณีนักเรียนก็ไม่ต่างกัน การที่ครูจำชื่อนักเรียนไม่ได้ก็เท่ากับปฏิสัมพันธ์ไม่มี ไม่ต้องพูดเรื่องความสนิทสนมอะไรเลย
อำนาจของครู ด้วยความที่วัยวุฒิต่างกันมาก โดยทั่วไปนักเรียนก็จะกลัวครูกันอยู่แล้ว แม้ว่าในช่วงหลังจะได้ยินบ่อยขึ้นว่า เด็กสมัยนี้มันไม่กลัวครู!! แล้วทำไมต้องกลัวล่ะ? ที่ถูกต้องคือให้นักเรียน "เกรง" ไม่ใช่ "กลัว" การเรียนภายใต้ความกลัว มันไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีได้หรอก
ครูไปซื้อข้าวที่โรงอาหารสามารถแซงคิวซื้อข้าวได้ แต่สอนเด็กว่าต้องต่อคิวให้เป็นระเบียบ โดยอ้างว่าเดี๋ยวครูมีสอน เด็กมันก็มีเรียนเหมือนกัน ครูสามารถเอาจานข้าวออกนอกโรงอาหารได้ แต่ห้ามนักเรียนเอาจานข้าวออกนอกโรงอาหาร ครูมีห้องอาหารครู แต่เด็กนักเรียนใช้ส่วนกลาง จะแยกทำไม? แปลกดีครับสอนว่าอะไรไม่ดี แต่ตัวเองทำซะเอง ยิ่งเรื่องกินข้าวตอนผมอยู่จีนบางทีก็ไปกินข้าวด้วยกันนะเออ
คำพูดคำจา อำนาจของครูมีมากจนน่ากลัว ครั้งหนึ่งมีนักเรียนคนหนึ่งโกนศีรษะมาโรงเรียน ชั่วโมงเรียนชั่วโมงหนึ่ง ในจังหวะที่ต้องนำงานไปส่ง ครูท่านนั้นถามว่า "พ่อมึงตายเหรอถึงโกนผม" ผมไม่หวังให้ใครเจอเหตการณ์แบบนี้ ใช่ครับ!! คุณพ่อของเขาเสียชีวิตจริงครับ เขาจึงโกนศีรษะบวชให้คุณพ่อ แต่มันสมควรพูดแบบนี้หรือไม่? เรื่องแบบนี้เอามาล้อเล่นได้หรือ?
มีครูท่านหนึ่งกล่าวว่า "มันเป็นประโยคคำถาม" ไม่ผิดครับ งั้นย้อนถามว่า ครูควรใช้ประโยคคำถามแบบนี้หรือไม่? ในทางกลับกันถ้าถามคำถามนี้กับครู ครูจะรับได้หรือไม่? ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่มากกว่าควรที่จะรู้ว่า กาลเทศะเป็นสิ่งสำคัญ ทำไมต้องล้อพ่อแม่ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนที่ทำหน้าที่คุมกฎทำผิดเสียเอง โดยยึดคติที่ว่า ข้าคือคนคุมกฎข้าคือความถูกต้อง "I am the game, you don't wanna play me, I am control, no way you can change me."
"ไม่พอใจมึงก็ไปเรียกพ่อแม่มึงให้มาลาออกไปเลย มีเด็กมากมายอยากเรียนที่นี่" เจอคำพูดแบบนี้ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน มันแสดงให้เห็นถึงการใช้ตรรกะที่ล้มเหลว ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากของคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ ง่ายดีไล่มันเลย ตรรกะป่วยแบบนี้แต่คุ้นๆ มั้ยครับ "ไม่พอใจก็ออกนอกประเทศนี้ไป"
ทำรายงาน การสั่งให้ทำรายงาน ครูมักจะสั่งให้ทำรายงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีข้อกำหนดมากมาย ต้องตัวอักษรขนาดเท่านี้ ฟอนต์นี้ จำนวนกี่หน้า รูปประกอบเท่านี้ ผมมองว่าไม่มีประโยชน์ เพราะงานที่ได้ไม่ต่างจากก๊อปปี้ข้อมูลที่มีราคาสูง
ยุคที่อินเทอร์เน็ตกำลังเข้ามาในเมืองไทย นับเป็นโชคดีของผมที่บ้านมีคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นหากใครมีคอมพิวเตอร์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการทำรายงาน ทุกคนจะมองคนๆ นั้นดุจดังพระเจ้า สมัยนี้คงน้อยลงเพราะมีคอมพิวเตอร์กันหมด ยุคนั้นใครไม่มีปริ้นเตอร์ก็ต้องไปจ้างตามร้าน ราคาแผ่นละ 15.- บาท (ขาว-ดำ ถ้าสีจะแพงขึ้นอีก) รายงานหนึ่งเล่ม อย่างน้อย 20 หน้าสำหรับในส่วนเนื้อหา ถ้ารวมพวกคำนำ สารบัญ ภาพ แหล่งที่มา รวมไปถึงปก ก็ประมาณ 30 หน้า สรุปหนึ่งเล่มราคา 450.- บาท นี่เป็นราคาขั้นต่ำในยุคที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30.- บาท หลังจากตรวจเสร็จก็ไม่ได้ส่งคืน สุดท้ายก็ทิ้งเป็นขยะให้โลกร้อน นับเป็นขยะที่มีราคาแพงพอสมควร
สมัยนั้นผมเคยคิดนะว่าทำไมไม่ให้นักเรียนเขียนด้วยลายมือล่ะ? ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เป็นอย่างไร อาจจะให้ส่งทางอีเมลแล้วก็ได้ แบบนั้นก็ดีช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายได้เยอะ แต่แบบนั้นก็น่าเห็นใจครู ตรวจตาแฉะเหมือนกัน
กฎกูเหนือกฎหมาย แม้จะมีกฎหมาย หรือข้อบังคับแต่ครูไม่ทำตามซะอย่าง ใครจะทำไม "ไม่พอใจมึงก็ไปเรียกพ่อแม่มึงให้มาลาออกไปเลย" ผมเคยเห็นการวอร์มไม้ฟาดไม่ยั้งกว่า 30 ที แล้วฟาดเต็มกำลัง 6 ที อะไรคือการวอร์ม? ผมอยากจะเชื่อในคำพูดครูแต่หลายๆ ครั้งมันไม่ใช่อย่างที่ครูพูด เราก็มักจะเห็นการลงโทษแบบไม่เป็นธรรม เหมือนเมื่อวานครูทะเลาะกับเมีย แล้วเมียไม่ให้เข้าบ้านเลยมาลงที่นักเรียน
เคยมีเคสหนึ่งน่าสนใจ เวลามีเรื่องทะเลาะกันเข้าห้องปกครองฟาดก่อนคนละ 6 ที แล้วค่อยคุยกัน ต่อให้คุณยอมโดนอีกฝ่ายทำร้าย และคุณวิ่งเข้าห้องปกครอง ผลก็ไม่ต่างกันคือ ฟาดก่อนคนละ 6 ที แล้วค่อยคุยกัน ถ้ามานั่งคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุนคนอ่อนแอขาดทุนเห็นๆ กฎเขามีแต่เอาไว้ปกป้องคนดี ป้องปรามผู้ที่คิดจะกระทำผิด แต่นี่กลับตรงข้าม อย่างนี้สู้ชกกันเลยดีกว่า ยังไงก็โดนฟาด ชกกันไปเลยอย่างน้อยได้เอาคืนหลายหมัด ปัญหาจึงยิ่งลุกลาม
ปัญหาสังคมที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้คือ ความยุติธรรมมันไม่มี เราส่งเสริมให้คนทำความดี แต่สิ่งที่เรียกว่าความดีมันไม่สามารถปกป้องตัวเราได้ ทำไมเราต้องรับโทษทั้งที่เราไม่ได้ก่อ? มันถูกต้องแล้วหรือ กับการที่ลงโทษนักเรียนด้วยกฎหมู่เหมาะรวม ตียกห้อง?
ผมมองเจตนาของครูที่ตั้งกฎแบบนี้ว่า มีเจตนาที่ดีในการป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนมีเรื่องทะเลาะกัน แต่ท่านคงจะขาดความรอบครอบ ลืมนึกถึงช่องโหว่ที่มี และคิดไม่ถึงว่าจะมีเด็กที่ยอมไม่ลงมือ แต่มุ่งหน้าเข้าหาครูเพื่อหวังความช่วยเหลือ
เมื่อเด็กไร้ที่พึ่ง ผู้ปกครองเลยพาเด็กไปแจ้งความเรื่องโดนทำร้ายร่างกายจนเป็นคดีความ สุดท้ายครูต้องเชิญผู้ปกครองมาพูดคุย ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่เรื่องนี้ไม่กระจายออกไป ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นข่าวสถาบันจะเสียชื่อ แต่คนที่ซวยคือเด็กที่โดนทำร้าย เขาจะโดนสังคมประณามว่าทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสีย แต่เดี๋ยวก่อนเขาคือผู้รับเคราะห์มิใช่หรือ? จากเหตุการณ์ดังกล่าว ครูได้ประกาศหน้าเสาธงว่า หากมีเรื่องอะไรให้มาปรึกษาครู ไม่ใช่ไปแจ้งความ ปรึกษาครูแล้วครูฟาดก่อนคนละ 6 ที จากนั้นค่อยคุยกัน? เขียนมาถึงตรงนี้เราน่าจะเห็นถึงวงจรอุบาทว์แล้ว
มีเรื่องมีปัญหา -> เข้าหาครูโดนตีทั้งคู่ ครูแก้ปัญหาไม่ได้ -> ฝ่ายถูกกระทำแจ้งความ -> เรื่องกลับมาที่โรงเรียน -> มีปัญหาต่อ
กรณีตีทั้งห้องเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ทำไมคนที่ไม่ได้ทำความผิดจะต้องเป็นเหยื่อจากการลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผล โดยอ้างว่าเพราะไม่เตือนเพื่อนเลยต้องโดนด้วย เตือนเพื่อนมันจะฟังเหรอ? เราไม่ใช่พ่อมันนี่ การทำโทษทั้งห้องจุดประสงค์ของครูอาจจะต้องการให้ในห้องประณามคนที่ทำผิด แต่กรณีเลวร้ายที่เจอคือ คนที่ทำให้เพื่อนโดนลงโทษโดนทุกคนกระทืบ น่าคิดเหมือนกันว่าสุดท้ายถ้าเกิดฆ่ากันตายขึ้นมาคงสนุกดีพิลึก ยิ่งสมัยนี้เด็กหัวร้อน ปืนหาง่ายจะตาย
ไล่ตัดผม ทรงนักเรียน มีผู้รู้ท่านหนึ่งได้ให้ความรู้ว่า ในสมัยก่อนสุขอนามัยของประเทศไทยยังไม่ดี ดังนั้นจึงต้องให้ตัดผมสั้น ฟังดูมีเหตุผล แต่ปัจจุบันยังตัดอยู่ ถ้าจะพูดเรื่องสุขอนามัย แสดงว่าการสาธารณะสุขของประเทศไทยนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญท่านทราบหรือไม่ว่า ผมทรงนักเรียนเกิดขึ้นเมื่อสมัยต้นๆ ปี 2500 นี้เองจากคณะปฏิวัติคณะหนึ่ง และมีคำสั่งกระทรวงยกเลิกกฎนี้ไปแล้ว เมื่อประมาณปี 2550 นับถึงตอนนี้ 10 ปีแล้วนะ
ตรวจผม ฟังดูเหมือนนักโทษดีครับ ครูบางท่านบ้าอำนาจเกิน แค่ไปตรวจผมแล้วพูดเลขที่และห้องเสียงเบาไปหน่อย ก็โดนเอากรรไกรตัดผมข้างหน้า ฟาดอีก 3 ที แล้วไล่ไปต่อแถวหลังสุด มันเป็นความผิดร้ายแรงขนาดนี้เชียวหรือ จรรยาบรรณครูมิได้กล่าวไว้หรือว่า "ครูต้องรักและเมตตาศิษย์" แบบนี้จะเรียกว่าทำเพื่อสนองความใคร่รึเปล่า
ครูบางท่านลงทุนไปซื้อบัตตาเลี่ยนมาเพื่อกล้อนผมโดยเฉพาะ เงินที่ซื้อบัตตาเลี่ยนคงไม่พ้นงบหลวงซึ่งเป็นภาษีของเราๆ ท่านๆ แทนที่จะเอาเงินไปซื้ออุปกรณ์เพื่อพัฒนาการศึกษา กลับไปซื้อบัตตาเลี่ยนมาเพื่อกล้อนผมเด็ก แทนที่จะเอาเวลาไปนั่งวางแผนคิดแผนการศึกษา หรือเอาเวลาไปหาข้อมูลเพื่อพัฒนาการสอน กลับเอาเวลาไปนั่งตรวจผม กล้อนผม ทุกเดือนเราต้องเสียเวลามากเท่าไหร่ในการทำเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างการตรวจผม เวลามีต้นทุนนะครับ!! ที่น่าอนาถยิ่งกว่าคือการกล้อนหัวเด็กในวันสอบ เพราะอย่างไรเสียเด็กก็หนีไม่ได้
ครู ตามความหมายของพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า ผู้สั่งสอนศิษย์ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ไม่ได้มีหน้าที่ตัดผม นั่นมันหน้าที่ของช่างตัดผม คนที่ได้ชื่อว่าครู ขนาดหน้าที่ของตนคืออะไร ยังไม่ทราบ แล้วจะสอนศิษย์ได้อย่างไร ประเทศไทยที่มีปัญหาเรื่องความวุ่นวายไม่รู้จักจบเพราะคนในชาติไม่รู้หน้าที่ของตน หน้าที่ของครูสอนหนังสือคือตัดผม? ถ้าคำตอบคือใช่เราคงต้องเผาตำราครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ยังจำได้มั้ยว่าใครกล่าวไว้ว่า "ให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยไม่ก้าวก่ายสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน" จำได้มั้ย?
เหตุผลที่ไร้เหตุผล ครูบางท่านสู้ด้วยเหตุผลไม่ได้ก็เริ่มแถ แล้วถ้าปล่อยให้ไว้ผมยาวจะทำให้ฉลาดขึ้นหรือ? ที่ร้ายกว่าเคยครูท่านหนึ่งกล่าวว่า ไว้ผมยาวจะทำให้โง่ ไม่ฉลาด ไว้ผมสั้นจะฉลาด มันทำให้เราเข้าใจทันทีว่า ประเทศทางยุโรปเป็นประเทศที่ล้าหลัง ด้อยพัฒนา และคนยุโรปนั้นโง่ เพราะไว้ผมยาว แม้แต่ประเทศอย่างญี่ปุ่นก็เช่นกัน เด็กไม่ฉลาดโง่กันหมด จีนประเทศกำลังพัฒนาก็พัฒนาไปในทางโง่ ต้องอย่างประเทศไทยเด็กฉลาด เก่งกาจไร้คู่แข่ง สมกับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ผมสั้นฉลาดล้ำ แตกต่างจากประเทศด้อยพัฒนาอย่างพวกยุโรป ถ้าผู้อ่านเห็นด้วยกับครูท่านนี้ก็สมควรที่จะไปเช็คสมองที่โรงพยาบาล เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสมองท่านมีปัญหาแล้ว
ศีลถ้าปฏิบัติได้ครบ 5 ข้อ = มนุษย์ (นับในรอบ 1 วัน) ครูท่านนี้ยอมที่จะโกหกนักเรียน ทำให้วันนั้นท่านไม่ใช่มนุษย์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ครูท่านนี้ยอมละทิ้งการเป็นมนุษย์ ความรักลูกศิษย์ หรือ ทิฐิ
การดูถูกเหยียดหยาม ผมรู้สึกแย่กับครูประถมท่านหนึ่ง โดยท่านสั่งให้นักเรียนซื้อคนหนึ่งกระเป๋าใหม่ ห้ามใช้กระเป๋าที่เป็นแบบซิปปิดด้านบน ซึ่งกระเป๋านั้นก็ไม่ได้ผิดระเบียบ พร้อมทั้งพูดเชิงดูถูกเหยียดหยามว่า ไม่มีใครใช้กระเป๋าแบบนี้กัน ปัญญาอ่อนรูดซิปด้านบน เหมือนเด็กอนุบาล แล้วพูดทุกวัน แต่พอเราแยกย้ายไปเรียนมัธยม ปรากฏโรงเรียนมัธยมที่ผมรู้จักแทบทุกที่ใช้เป้ (อนุบาลก็ใช้เป้นะ)
ไอ้เตี้ย ไอ้แว่น ไอ้เบี้ยว ไอ้เป๋ ไอ้ดำ เป็นคำพูดที่ racists มาก แต่ครูหลายท่านชอบเรียกนักเรียนแบบนี้ ทั้งที่หน้าอกก็มีชื่อปักอยู่ แต่กลับไม่เรียกชื่อ จะว่าไปไม่ว่ากรณีไหนก็ไม่ควรเรียกสิ่งที่ส่อเจตนาเหยียดหยามแบบนี้
คิดนอกกรอบ เรื่องรองเท้าหาย เหตุที่หายเพราะถอดรองเท้า การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว ถ้าไม่ถอดรองเท้า รองเท้าก็ไม่หาย ปัญหาง่ายๆ แบบนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมครูคิดกันไม่ได้ แล้วก็ปล่อยให้ปัญหารองเท้าหายวนเวียนซ้ำซาก
เด็กถามคำถามว่าเข้าแถวหน้าเสาธงทำไม แดดร้อน ครูตอบว่าสมัยก่อนครูก็ทำแบบนี้เหมือนกัน บ้างก็ว่าเป็นการฝึกความสามัคคี แต่ครูไปหลบแดด? คำตอบของครูแต่ละอย่างมันคือ การแถ ไม่สามารถให้เหตุผลที่สมเหตสมผลได้ ซ้ำร้ายถ้าครูคนไหนแย่หน่อยก็จะด่าเด็กว่าไม่รักชาติ การรักชาติคือการเคารพธงชาติแต่ทำผิดกฎหมายอย่างนั้นรึเปล่า? หรือต่อให้ครูมาร่วมตากแดดเคารพธงชาติด้วยก็ตาม ทำไมต้องมาตากแดดด้วยกันล่ะ? ทำไมไม่คิดนอกกรอบโดยหาสถานที่ใหม่ที่ไม่ร้อนเพื่อเคารพธงชาติ มัวแต่ทำตามๆ กันมา เชื่อตามๆ กันมา ดีงามเหลือเกิน
การใช้ตรรกะ หลายครั้งครูไทยใช้ตรรกะไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่าง ครูมีสิทธิ์อะไรในการตัดผมเด็ก เรามักจะได้ยินคำตอบเพี้ยนๆ ว่า "ไม่พอใจก็ลาออกไป" หรือ "ไม่ก็ตอนเข้าเรียนไม่ได้แหกตาดูกฎที่เขาตั้งเหรอ" ขอย้ำนะ กฎกระทรวงไม่ได้ระบุว่าครูสามารถตัดผมเด็กได้ กฎไม่ได้อนุญาตให้ครูตัดได้ จะแจ้งเตือนเป็นวาจา หรือเป็นใบเตือนตามที่กฎระบุไว้ก็ทำไป ตราบเท่าที่กฎได้ระบุไว้ไม่มีใครว่าครูได้หรอก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำตามกฎ
เด็กไม่ตัดผม กฎให้ครูตักเตือน ก็ต้องทำตามโดยการตักเตือน อย่าใช้ตรรกะวิบัติที่ว่า เด็กทำไม่ทำตามกฎไม่ตัดผมครูเลยไม่ทำตามกฎบ้าง มันไม่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มีไลน์มีกล้องกันทุกคนถ่ายส่งผู้ปกครองสิ ให้ผู้ปกครองได้ทราบเลยว่าลูกตัวเองทำไม่ถูกต้อง แถมมีหลักฐานในการลงโทษครั้งต่อไปด้วย
ถ้าทุกคนยังคิดแต่ว่า "ยอมให้ครูตัดผม ดีกว่าโดนตัดคะแนน มันก็ไม่ต่างกับยอมยัดเงินให้ตำรวจดีกว่ารับใบสั่งหรอก" แม้ว่าโดยส่วนตัวจะเชื่อว่าหลายๆ คนชอบที่จะยัดเงินตำรวจมากกว่าก็ตาม
ครูบางท่านก็ไร้สาระเกิน อ้างว่าคำสั่งยังมาไม่ถึง คำสั่งนี้ออกนานถึง 10 ปี และประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว โรงเรียนคุณอยู่ที่ไหน คำสั่งถึงยังมาไม่ถึง ถ้าครูคนไหนอ่านข้อความนี้ได้ ก็น่าจะอนุมานได้ว่าเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ในยุคที่เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือได้การอ้างแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงคุณภาพครูคนนั้นได้เป็นอย่างดี
การประเมินครูที่ไร้สาระ ครูมักจะอ้างเรื่องไม่มีเวลาสามารถพัฒนาการเรียนการสอน ส่วนหนึ่งเพราะต้องทำแบบประเมิน และประเมินวิชาการบ้าบอตลอด อันนี้เป็นปัญหาของจริงที่เรามักจะพบทั่วไป ตราบใดที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยังบ้า KPI เราก็จะได้แต่ KPI แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ครูที่ทำประเมินเก่งก็ได้ดีไป ทำประเมินไม่เก่งขโมยผลงานเด็กไม่ได้ก็จบสิ้น ผมไม่ได้มองว่า KPI มันไม่ดี แต่คนไทยบ้ากับระบบนี้มากเกินไป สุดท้ายจะก็ได้แต่ KPI ตามที่ต้องการ แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่
สิ่งที่ครูเรียกร้องกันมากมายคือ ยกเลิกเรื่องการประเมินโง่ๆ แบบนี้ วันๆ นอกจากหน้าที่สอนหนังสือ ยังต้องมาทำการประเมิน และหน้าที่อื่นๆ อีก น่าเห็นใจนะ เสียงครูผู้น้อยก็ส่งไปไม่ถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองด้วย
"พูดมากมึงก็ไสหัวไปอยู่จีนสิวะไอ้สัตว์ อวยจีนอยู่ได้" อาจจะมีคนคิดแบบนี้ แต่นั่นก็เป็นการแสดงออกถึงสติปัญญา และการใช้ตรรกะที่ดีของเขา ครั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีกรณีศึกษาต่างๆ มากมายจากครู และที่เกี่ยวข้องกับครู น่าเห็นใจในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องประเมิน ผมทำได้ก็แค่มาถกประเด็นปัญหาที่มองเห็น ใครสนใจจะแชร์แลกเปลี่ยนข้อมูลจัดมาได้เลย อย่าให้ต้องรอนาน
ผมไม่ได้ต่อว่าครูที่ดี ครูที่ดีมักอยู่ไม่ได้ มันเหนื่อยครับ เงินเดือนก็น้อย ครูฝ่ายปกครองใช่ว่าเด็กจะเกลียดอย่างเดียว แม้แต่ครูด้วยกันเองก็เกลียด เพราะมันท่ามาก วางอำนาจแม้แต่ครูด้วยกันเอง เอาล่ะ!! เรื่องนั้นช่างมันก่อน ในเมื่อเราเห็นถึงจุดด้อย และปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขอย่างไรล่ะ ทุกประเด็นแก้ไขได้ แน่นอนมันอาจเป็นปัญหาปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนี้ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมีปัญหาแบบนี้จริงๆ
Create Date : 02 กรกฎาคม 2560 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2560 22:29:39 น. |
|
73 comments
|
Counter : 2492 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณTui Laksi, คุณhaiku, คุณcomicclubs, คุณnewyorknurse, คุณkae+aoe, คุณThe Kop Civil, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณJinnyTent, คุณRinsa Yoyolive, คุณClose To Heaven, คุณสองแผ่นดิน, คุณชีริว, คุณmambymam, คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณกาบริเอล, คุณschnuggy, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณSai Eeuu, คุณอุ้มสี, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณเกศสุริยง, คุณtuk-tuk@korat, คุณซองขาวเบอร์ 9, คุณInsignia_Museum, คุณกิ่งฟ้า, คุณzungzaa, คุณเนินน้ำ, คุณALDI |
โดย: คุณต่อขอชี้แจง (toor36 ) วันที่: 2 กรกฎาคม 2560 เวลา:22:08:16 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 2 กรกฎาคม 2560 เวลา:23:06:53 น. |
|
|
|
โดย: comicclubs วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:1:22:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:37:10 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:14:37 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:14:55:54 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:15:30:37 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:16:01:24 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:18:55:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:18:55:32 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:20:02:56 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:0:21:27 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:4:27:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:36:08 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:8:24:33 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:41:45 น. |
|
|
|
โดย: กาบริเอล วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:06:12 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:31:02 น. |
|
|
|
โดย: comicclubs วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:51:39 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:12:47:03 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:10:32 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:16:51 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:22:48:06 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:23:40:26 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:3:35:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:27:53 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:19:42 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:40:41 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:01:37 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:31:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:44:45 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:14:23:10 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:2:40:37 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:2:42:43 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:19:23 น. |
|
|
|
|
|
บล็อกนี้อยู่ในหมวด Education Blog ยินดีเปิดรับทุกความคิดเห็นของเพื่อนๆ ที่มีล็อคอิน เพื่อพูดคุยอย่างสร้างสรรค์
แม้ท่านจะใช้ตรรกะวิบัติมาพูดคุย แต่เราจะไม่ใช้ตรรกะวิบัติกับท่านแน่นอน