Welcome To ทองหลาง Bloggang ว่างๆ ก็แวะเข้ามา...ยินดีต้อนรับจ้า
ตามสุดฟ้า ล่าสุดรัก ตอนที่1. จุดเริ่มต้นของภารกิจ



ตามสุ ดฟ้า ล่าสุดรัก โดย ทองหลาง

1

ณ ร้านกาแฟสดเล็ก ๆ ริมถนนย่านธุรกิจใจกลางกรุงที่ได้รับการตกแต่งอย่างร่มรื่นตั้งแต่ทางเดินอิฐเล็ก ๆ ไปจนถึงบันไดสามขั้นรายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเชิญชวนให้ผู้ต้องการหลบร้อนเข้ามาสัมผัสความสดชื่นหอมกรุ่นจากมวลไม้กาแฟรสเลิศและขนมหวาน ภายใต้ชายคาของร้านแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ห้องด้านในประกอบไปด้วยเคาเตอร์วางเครื่องชงกาแฟขนาดกลางสำหรับพนักงานด้านหลังเป็นชั้นวางแก้วและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ บนเพดานติดเครื่องปรับอากาศที่กำลังให้ความเย็นฉ่ำในระดับสบายๆ

ด้านหน้าเคาเตอร์มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับบริการลูกค้าอยู่สามที่วางชิดผนังกระจกใสแผ่นใหญ่ที่ใช้แทนผนังห้องทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศภายนอกร้านได้ชัดเจนส่วนด้านนอกยื่นออกเป็นระเบียงกว้างมีโต๊ะเก้าอี้ชุดใหญ่กว่าภายในร้านอีกสามชุดสำหรับลูกค้าที่ต้องการรับลมธรรมชาติโอบล้อมรอบระเบียงด้วยไม้ประดับใบหนาและไม้ดอกส่งกลิ่นหอมคลอเคล้าเสียงจากน้ำตกเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกสงบ ร่มเย็น สบายตาสบายใจ

ภายในร้านมีลูกค้าหนุ่มเพียงคนเดียวที่กำลังนั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นพร้อมเพ่งมองหนังสือพิมพ์ในมือด้วยความสนใจรูปร่างอันบึกบึนสมส่วนอย่างคนใช้แรงกำลังอย่างสม่ำเสมอบวกกับใบหน้าคมคายเข้าข่ายหล่อเหลาปะหนึ่งนายแบบเรียกสายตาของพนักงานสาวให้วนหันกลับมามองอยู่เป็นระยะอย่างเฟ้อฝัน

เขาไม่ค่อยให้ความสนใจพนักงานสาวเหล่านั้นสักเท่าไหร่นัก แม้จะแวะเวียนเข้ามาใช้บริการร้านกาแฟแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งก็ตามและทุกครั้ง สิ่งที่เขาให้ความสนใจอย่างจริงจังคงไม่พ้นหนังสือพิมพ์และกาแฟถ้วยโปรดในมือ

“ว้าว...หล่ออะไรเบอร์นั้น...ดูกี่ทีกี่ทีก็หล่อ”

“นั่นสิ...ที่นั่งอยู่นั่นก็ว่าหล่อมากแล้ว...ที่เข้ามาใหม่ก็ใช่ย่อย...แล้วแบบนี้จะเลือกเบอร์ไหนล่ะเธอ”

เสียงกริ่งประตูส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีบุคคลเดินผ่านเข้ามาภายในร้าน พร้อมเสียงอุทานโดยความพลั้งเผลอของพนักงานสาวดังขึ้นทว่าชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ก่อน หาได้ให้ความสนใจจะเหลือบมองจนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีเงาหนึ่งวูบไหวอยู่ตรงหน้า

“มึงไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มทักทายเพื่อนฝูงสักครั้งมั่งหรือไงวะไอ้เสือยิ้มยาก”

เสียงแรกดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มผู้ถูกขนานนามว่าเสือยิ้มยากลดหนังสือพิมพ์ลง เงยหน้าสบตาเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารที่นั่งทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงข้ามก่อนจะเบนสายตาไปยังเพื่อนอีกสองคนที่กำลังเคลื่อนเข้าไปสั่งเครื่องดื่มหน้าเคาเตอร์ก่อนจะเบนทิศทางมาใกล้ และนั่งล้อมรอบโต๊ะทรงกลมตัวเล็กร่วมกับเขา ส่งผลให้ห้องกระจกเล็กๆ นั้นดูคับแคบไปถนัดตา

“เออ ๆ หวัดดีไอ้เก็ก ไอ้กล้า ไอ้นิน” เอ่ยทักด้วยฉายาของเพื่อนแต่ละคนแล้วเขาก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านต่อ เหมือนสิ่งนั้นน่าสนใจซะยิ่งกว่า เพื่อนรักที่นาน ๆจะมีโอกาสได้นัดเจอกันครบทีมสักครั้ง

“ไอ้รัณย์ มึงสนใจพวกกูหน่อย อุตส่าห์ ถ่อสังขารจากชายแดนมาหามึงถึงที่เชียวนะนี่อะไร ดันสนใจข่าวในหนังสือพิมพ์มากกว่าพวกกู” ภูริชประท้วงทั้งใช้มือปัดหนังสือพิมพ์ออกให้พ้นหน้าเพื่อน

“ยุ่งน่า...คนกำลังอ่านข่าว” กรัณย์เหลือบตาดุใส่เพื่อน

“ดูมันทำ...” ภูริชหันมาฟ้องเพื่อน

“นั่นดิ...พอไอ้ริชชวน กูอุตส่าห์ขออนุญาตน้องแพรวมาหา...มึงก็ยังนั่งบื้อทำหน้าเป็นหุ่นขี้ผึ้งนครปฐม เห็นหนังสือพิมพ์สำคัญกว่าเพื่อนแบบนี้...เซ็งว่ะ”จิรวัติ ทำหน้าเซ็ง

“พวกมึงอย่าไปว่ามันเลย” คณินทร์โน้มเข้าตบไหล่เพื่อนรักที่ยังนั่งเงียบไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับท่าทีของเพื่อนอีกสองคนเขายิ้มกว้าง ทั้งแจกยิ้มให้รอบวงอย่างคนที่เข้าใจในทุกสิ่ง “ไหนขอดูหน่อยกำลังอ่านอะไรอยู่”ว่าแล้วก็แย่งหนังสือฉบับใหญ่ออกจากมือเพื่อนมากวาดตามองหาความสนใจที่เพื่อนนายทหารอากาศกำลังจดจ่ออยู่

“อะไรนี่ ด็อกเตอร์สาวไทยคนแรกของประเทศที่ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะทางฟิสิกส์...” คณินทร์กวาดตามองรูปถ่ายหญิงสาวเชื้อสายเอเชีย ในกรอบข่าวเล็ก ๆ ที่ถึงภาพจะไม่ชัดแต่จุดเด่นหลายๆอย่างบนใบหน้าเรียวเล็กนั้นแสดงความสวยงามออกมาอย่างชัดเจน “สวยนี่หว่า... เฮ้ย...ไอ้รัณย์ที่บ้านมึงก็มีอัจฉริยะทางเคมีอยู่คนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ อะไรกันอย่าบอกนะว่ามึงกำลังจะนอกใจด็อกเตอร์ไอรีน”

“ไอ้นี้ก็ปากหาเรื่อง...เอามานี่” กรัณย์คว้าหนังสือพิมพ์กลับคืน

“แล้วมันยังไงวะ เห็นตั้งหน้าตั้งตาอ่านจนตาแทบถลน” จิรวัฒน์ถามพลางเหลือบตามองหน้ากระดาษที่อาจปรากฏรูปใบหน้าด็อกเตอร์สาขาฟิสิกส์ที่เพื่อนนายตำรวจพูดถึง

“ไม่มีอะไร แค่สนใจว่าคนไทยเราเก่งไม่แพ้ชาติอื่นก็แค่นั้น”

“จริงเหรอ...กูก็นึกว่ามึงเครียดเรื่องครอบครัวจนลืมแจกรอยยิ้ม”ภูริชว่า

“พวกมึงก็รู้...รอยยิ้มของไอ้รัณย์มันมีไว้ให้ด็อกเตอร์ไอรีนคนเดียวขืนมันยิ้มเรี่ยราด สาว ๆ คงได้ตามติดให้คุณด็อกเตอร์แหกอกมันยับ”

“คุณด็อกเตอร์โหดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ภูริชถามด้วยความสนใจแม้เขาจะเคยพบเพื่อนสะใภ้หลายครั้ง แต่ก็แค่ผิวเผิน ไม่ค่อยจะรู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงกันสักเท่าไหร่

“กับน้องแพรวของกูใครขี้หึงกว่ากันวะ” จิรวัติถามขึ้น

“กูยกให้คุณด็อกเตอร์ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งเลยว่ะ...มึงเคยอ่านการ์ตูนขายหัวเราะไหมมึงลองนึกภาพเมียที่ยืนถือสากกระเบือหลบอยู่ข้างประตูรอต้อนรับผัวที่ชอบกลับบ้านผิดเวลาดูสิ...กูว่าน่าจะประมาณนั้นล่ะ”ว่าแล้วก็หัวเราะลั่นแบบไม่เกรงใจว่าสถานที่นั้นกึ่ง ๆ เป็นที่สาธารณะ

“จริงเหรอว่ะ...ฮ่าๆๆๆ”

บรรดาหนุ่มหล่อผู้มาใหม่ ต่างหัวเราะลั่นขำเพื่อนที่มีสีหน้าเริ่มจะเคร่งขึ้นไปอีกสองเท่าความสดใสของหนุ่ม ๆ ทำเอาบรรดาสาวพนักงานเสิร์ฟแอบมองตาเป็นมันจนเผลอเช็ดน้ำลายที่มุมปาก

“พูดเกินไปแล้วไอ้นิน เมียกูไม่โหดขนาดนั้นหรอก มึงก็พูดไปเรื่อยไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้น่ารักเท่ายาหยีของกูหรอกเฟ้ย”กรัณย์ที่นั่งเงียบฟังเพื่อนเผาตัวเองซึ่ง ๆ หน้าเอ่ยออกมาแก้ข่าว

“โห...ตั้งแต่มีเมียเป็นตัวเป็นตน ได้ติดยศเป็นผู้การมีสำบัดสำนวนขึ้นนะมึงสมแล้วที่มีเมียระดับด็อกเตอร์” จิรวัติแซวต่อ

“ยังไงกูก็สู้มึงไม่ได้หรอกไอ้ผู้การเรือเร่...มีเมียเป็นนักเขียนใหญ่คารมคมคายใครเล่าจะสู้”

“เอ้ย...นี่ไอ้กรัณย์ตัวจริงหรือป่าว...กูชักสงสัยแล้วสิมันกล้าต่อปากต่อคำเราด้วย ทุกทีเห็นแต่นั่งนิ่งกลัวดอกพิกุลจะร่วง ไหนขอดูหน้าชัดๆ หน่อยซิ” ภูริชยื่นมือมาจับปลายคางเพื่อน พลิกซ้ายขวามองหาความผิดปกติ

กรัณย์ปัดมือเพื่อนออก ขึงตามองหน้าเพื่อนด้วยสายตารำคาญโดยไม่ปิดบัง“ของบนหิ้งอย่าเอามาลบหลู่สิวะ"

“เอาน่า ไอ้รัณย์มันโตจนมีเมียมีลูกเป็นตัวเป็นตนแถมลูกมันโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว พวกมึงสู้มันไม่ได้หรอก”คณินทร์ยังคงอยู่ฝ่ายสนับสนุนลูกแม่ดอน[1]

“สรุปมึงออกจากป่ามาทำไมวะ มาเยี่ยมแม่กับน้องภีร์หรือมีธุระอย่างอื่น”กรัณย์ถามเป็นงานเป็นการ เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอตัดบทก่อนจะลามปามไปถึงเมียบังเกิดเกล้าจนกู่ไม่กลับ

“มึงจำเรื่องของกูกับคุณหมอนภัสเมื่อห้าปีที่แล้วได้ไหมวะที่มึงให้กูไปช่วยเขาจากชนกลุ่มน้อยที่ชายแดนไง” ภูริชเกริ่นเรื่อง

“จำไม่ได้สมองก็มีปัญหาแล้วเรื่องนี้ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่มึงได้แต่กูเสีย” กรัณย์เอ่ยน้ำเสียงยังคงระดับความราบเรียบไร้ความรู้สึกปะปน

“อะไรของมึงวะ กูได้มึงเสีย กูไม่ได้เข้าไปชวนพวกนั้นเล่นไพ่ไฮโลที่ชายแดนสักหน่อยจะได้มีได้มีเสีย” ภูริชทำหน้างง

“มึงได้เมีย กูเสียน้องไง”

“เฮ้ย...มุขดีนี่หว่า กูขอซื้อสิบบาท ฮ่าๆๆ” คณินทร์หัวเราะทั้งคว้ามือกรัณย์มาเขย่าอย่างชอบใจ

“ไอ้นี่ก็เส้นตื้นเชียว เขาจะคุยเป็นการเป็นงานกัน” จิรวัติขัดขึ้นบ้างแต่ก็อดขำมุขหน้าตายของเพื่อนทหารอากาศไม่ได้

“เออ เข้าเรื่องแล้ว” ภูริชหันมาทำตาดุใส่เพื่อนที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มยกเว้นนายทหารอากาศหนุ่มที่ยังตีหน้าเฉย ทว่าดวงตากลับไหวระริก

“ว่ามารอฟังอยู่” กรัณย์เปิดโอกาส ความสนใจข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ถูกดึงไปจนสิ้น

“ตอนนั้น หลังจากที่กูไปช่วยคุณหมอ” ภูริชมองซ้ายมองขวาทั้งลดระดับเสียงลง ดั่งเรื่องที่เขากำลังเอ่ยขึ้นเป็นความลับสุดยอด ชวนให้เพื่อนๆ พลอยยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว “กูได้พิมพ์เขียวสร้างอาวุธกลับมาด้วยแผ่นหนึ่งกองทัพบกเอามาพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามันคล้ายจรวดมิสไซล์แต่ก็มีบางอย่างดูแปลกไปจากมิสไซล์ทั่วไปที่ใช้อยู่ในกองทัพทางสรรพาวุธกองทัพบกอยากศึกษาโครงสร้างของมันให้ละเอียด แต่ทางเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ครั้นจะเก็บไว้ก็คงหาประโยชน์จากกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้ก็เลยให้กูเอามาส่งมอบให้ศูนย์วิจัย ฯ ของกองทัพอากาศ” 

“เรื่องนั้นมันก็เมื่อสามปีก่อนไม่ใช่เหรอ ของก็ส่งมอบไปแล้ว ไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้มึงมาโผล่แถวนี้ได้นะ”กรัณย์ตั้งข้อสังเกต

“แต่บังเอิญว่ามันเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กูได้มีโอกาสเข้าเมืองซะด้วยสิไหน ๆ เข้าเมืองมาทั้งทีก็อยากเจอเพื่อนบ้าง ก็เลยโทรนัดพวกมึง”

“อืม...มาราชการ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ น่ายกย่อง” จิรวัชกล่าวชมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“เหตุผลหลัก? ยังไง? เป็นความลับของทางราชการหรือเปล่า พอจะเกริ่น ๆให้พวกเรารู้บ้างสักนิดได้มั้ย” คณินทร์แสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้า ทั้ง ๆที่เจ้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยังคงนิ่งเงียบตามนิสัย

“มีข่าวจากสายข่าวกองทัพแจ้งมาว่า พิมพ์เขียวชิ้นนี้มีอยู่ในรายการที่จะถูกนำไปประมูลโดยกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งที่ใครๆ ต่างรู้จักดีว่าพวกมันเป็นกลุ่มก่อการร้ายระดับต้น ๆ ของโลก”

“ตอนนี้พิมพ์เขียวยังอยู่ที่กองทัพอากาศนี่พวกมันเปิดประมูลของที่ไม่มีอยู่ในมือได้ด้วยเหรอ”กรัณย์เงยหน้าสบตาเพื่อนที่ดูเหมือนจะออกออกการเคร่งขรึมขึ้นเป็นเท่าตัว

“ก็เพราะอย่างนี้สิทางทัพบกรู้สึกกังวล เลยส่งกูมาดูพร้อมตรวจสอบความปลอดภัยในการจัดเก็บ...สายข่าวแจ้งว่ากลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้มันพร้อมจะโจรกรรมสินค้าทุกชิ้นสำหรับผู้ชนะการประมูลพวกเรายังไม่รู้จักถึงความซับซ้อนของโครงสร้างที่ถูกเขียนขึ้นไม่รู้มันจะเอาไปดัดแปลงเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพมากมายแค่ไหน”

“ชักอยากเห็นแล้วสิ...ไอ้พิมพ์เขียวอาวุธที่ว่ามันจะซับซ้อนเข้าใจยากขนาดไหน...พูดถึงมิสไซล์แหล่งผลิตไหน ๆ ก็คงใช้หลักการเดียวกัน” เรื่องเล่าของภูริชกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของคณินทร์นายตำรวจนักประดิษฐ์ได้มากพอควร

“ตอนนี้มันถูกเก็บไว้ที่ศูนย์วิจัยกองทัพอากาศศักยภาพของเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร” กรัณย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะห้วนอยู่บ้าง เมื่อเขาเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจกับการถูกตรวจสอบเหมือนไม่ไว้วางใจกันของเหล่าทัพอื่น

“เออ...กูรู้ แต่มาดูหน่อยก็ดีนะ สายข่าวบอกว่า พวกที่จ้องจะช่วงชิงล้วนแต่มือพระกาฬ ระดับหน่วยงานสากลยังเอาไม่อยู่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”

คำอธิบายของภูริช มีเหตุผลพอ กรัณย์จึงมิได้เอ่ยอะไรต่อไปอีกนอกจากหันมาสนใจเพื่อนอีกคน ที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ

“ไอ้นิน ถ้ามึงอยากดูจริง ๆ ไปหากูที่กรม แล้วกูจะทำหนังสือขออนุญาตเข้าชมพิมพ์เขียวฉบับนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องที่ลับสุดยอดจริง ๆ คงได้รับอนุมัติ”

“ขอบใจมากไอ้รัณย์...แต่ช่วงนี้งานกูก็เยอะใช่เล่น...ถึงจะย้ายมาประจำการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วก็เถอะคงอีกนานกว่าจะว่างแวะไปดู แต่ยังไงก็จะขอไปดูเป็นบุญตาสักครั้งล่ะ” คณินทร์เอ่ยพลางหัวเราะ

กรัณย์เหลือบตามองอีกคนดูจะเงียบกว่าใครก็อดที่จะหันไปถามเพื่อนที่หันไปส่งยิ้มหวานตอบโต้กับพนักงานเสิร์ฟสาวที่ยกกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ “แล้วมึงล่ะไอ้ต้นกล้า”

“ไอ้ริชชวน กูก็เลยมา” จิรวัติตอบสั้น ๆสายตายังเหลือบมองตามพนักงานไปจนถึงเคาเตอร์

“มึงใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ...แกอยู่สัตหีบนะเฟ้ยไม่ได้อยู่แถวท่าเรือคลองเตย ” คณินทร์ถามขึ้นบ้าง

“แหม...ก็มีบ้างที่เราจะคิดถึงเพื่อน...ไกลแค่ไหนก็พร้อมจะดั้นด้นมาหา”

“แน่ใจเหรอที่พูด” คณินทร์ยังไม่เชื่อน้ำมนต์เพื่อนรัก เพราะใคร ๆต่างก็รู้ดีว่าตั้งแต่แต่งงานมา จิรวัติเป็นโรคติดเมียเรื้อรัง

“แต่อันที่จริง กูพาน้องแพรวมาติดต่องานที่สำนักพิมพ์ ก็เลยถือโอกาสมาสมทบอีกคน”

“ว่าแล้วเชียว...หน้าอย่างมึงนี่นะ...คิดถึงเพื่อนจนกล้าห่างอกเมีย”คณินทร์ตบเข่าฉาด “ส่วนกู หลังจากย้ายเข้ามาอยู่กรมกองไม่ได้ออกสืบเหมือนเดิมมันก็ว่าง ๆ เหงา ๆ ไอ้ริชโทรปุ๊บ กูก็ดำดินมาปั๊บ”ไม่จำเป็นต้องมีใครถาม นายตำรวจหนุ่มก็เอ่ยถึงเหตุผลในการมาครั้งนี้ด้วยใบหน้าที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ลืมถามคนที่มาก่อนใคร “แล้วมึงล่ะไอ้รัณย์ วันนี้ว่างเหรอ...ถึงได้มาทำเก็กนั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่นี่ได้ กูได้ข่าวว่ามึงผันตัวเองจากครูฝึกหน่วยรบพิเศษมาเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษสังกัดกองทัพอากาศไม่ใช่เหรอ”

“อยู่ในเครื่องแบบอย่างนี้ มึงคิดว่ากูว่างไหมล่ะ...แต่เพื่อนนัดทั้งที ยังไงก็ต้องทำตัวให้ว่าง” กรัณย์ตอบ

“เออ..ลืมไปว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุด ว่าแต่ธุระอะไรวะสำคัญหรือว่าแค่เข้ากรมไปปฏิบัติงานตามปกติ” ภูริชถามบ้าง

“ก็ทั้งสองนั่นแหละ...บ่ายวันนี้จะมีเด็กใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในสังกัดหน่วยคอมมานโดที่กูรับผิดชอบอยู่”

“ปีนี้ผ่านหลักสูตรเยอะหรือป่าว” ภูริชถามด้วยความสนใจ

“ก็พออาศัยทำยาได้ล่ะ...หลัง ๆ หายากเต็มที คนติดความสบายเยอะจนไร้ความอดทน”

“มึงผันตัวจากครูฝึกมารับงานผู้บัญชาหน่วย คงเหงาไม่น้อยสินะ”

“ทำไงได้ กูก็อยากจะมีเวลาให้เมียให้ลูกบ้าง...อยู่ด้วยกันมาจนลูกวิ่งฉิวแล้วด็อกเตอร์ไม่เคยว่าเคยบ่น ก็ขอทำอะไรเพื่อเขาสักเรื่องเถอะ” กรัณย์เอ่ยจากใจ

“อืม...ก็อย่างว่าล่ะ ชีวิตทหารตำรวจอะไรจะสุขใจเท่าการได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว จริงไหม” จิรวัติเอ่ยอย่างเห็นด้วยเต็มร้อย

“เอาล่ะ...ไหน ๆ ก็มาเจอกันแล้ว เราไปหาอะไรอร่อย ๆที่อิ่มท้องกว่ากาแฟหม่ำกันเถอะ ก่อนที่ไอ้รัณย์มันจะไปทำธุระของมัน”คณินทร์เสนอความคิด

“แล้วเราจะไปกินอะไรกันดีล่ะ...” ภูริชขอความคิดเห็น

“กวยจั๊บดอนเมืองดีมั้ย” คณินทร์ตอบแบบไม่ต้องคิดนาน

“โหไอ้นี่ โตจนเป็นเจ้าคนนายคนแล้วมึงยังไม่เลิกกินกวยจั๊บอีกอีกเหรอ”

“ไม่ได้กินนานแล้วขอย้อนอดีตกันหน่อย...เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง...หรือพวกมึงไม่ไป”

“ไปสิวะ...เอ้าลุก ๆ ๆ หลายปีแล้ว ร้านเก่าเจ้าเดิมเจ๊งไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้”

“ยังโว้ย...ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนต้องจองคิว...เดี๋ยวกูโทรจองโต๊ะก่อน ถ้าไปแบบไม่จองมีหวังพวกมึงได้ยืนซดกวยจั๊บอยู่หน้าร้านเรียกลูกค้าให้อาม่า” คณินทร์บอกก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขที่ในเครื่องมีเพียงไม่กี่หมายเลขที่ได้รับเกียรติจากเขาบันทึกเอาไว้“เรียบร้อย...”

“เส้นใหญ่นะมึง มีเบอร์ร้านซะด้วย” ภูริชแซว

“ก็ว่าจะจีบหลานสาวอาม่าอยู่เหมือนกันกะว่าจะได้กินกวยจั๊บฟรีไปตลอดชีวิต เผอิญเจอคุณมินท์ซะก่อน” คนตอบ ตอบหน้าระรื่น

“เหอะ...ไอ้ขี้งก...ไปเถอะ ฟังไอ้นินพล่ามมาก ๆเดี๋ยวจะเพี้ยนกันไปหมด” ภูริชไล่ให้เพื่อนลุก ก่อนทั้งหมดจะเดินกอดคอโอบเอวตามกันออกจากร้านไปทิ้งไว้แค่สายตาเชื่อม ๆ หวาน ๆ ของพนักงานสาวที่ทำท่าจะละลายลงตรงนั้น

“นี่...เธอว่าสุดหล่อกลุ่มนี้จะอยู่ในกลุ่มสัตว์ประเภทมีเขาหรือเปล่า...”เสียงพนักงานสาวคนหนึ่งถามเพื่อนเหมือนละเมอ

“อะไรของเธอ...สัตว์ประเภทมีเขา” อีกคนทำหน้างง

“พวกเก้งกวางนั่นไง”

“ไม่มั้ง...ได้ยินแว่ว ๆ ว่านินทาเมียกันอยู่”

“เฮ้อ...ถึงไม่ใช่ก็หมดสิทธิ์ทั้งคิดและฝันแล้ว...”

จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจดัง ๆ ออกมาพร้อมกันทั้งสองคนก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มกว้าง เมื่อมีลูกค้าเปิดประตูเข้ามาใช้บริการเป็นรายต่อไป



หลังแยกย้ายเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง ภูริชติดตามกรัณย์เข้ากรมมาด้วยเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลงโดยเร็ว เพื่อจะได้มีเวลาให้กับครอบครัวที่ห่างหายจากลากันมานานทั้งแม่ และน้องภีร์ต่างดีอกดีใจกันยกใหญ่เมื่อได้ข่าวว่าเขาเข้ากรุงเทพฯ และจะพักอยู่บ้านอีกหลายวัน

ถือเป็นความโชคดีที่เขามีเพื่อนผู้อยู่ในตำแหน่งที่ให้ความสะดวกในการทำงานมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น...เมื่อเขานำหนังสือจากหน่วยงานกองทัพบกแจ้งความประสงค์ที่จะเข้าตรวจสอบแปลนอาวุธที่ถูกนำมาจัดเก็บไว้ยังศูนย์วิจัยของกองทัพอากาศก็ได้กรัณย์ช่วยเหลืออย่างเต็มที่

“พิมพ์เขียนฉบับนี้ทางเราเก็บไว้เป็นอย่างดีมีนักวิจัยของกองทัพชั้นแนวหน้าที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องกลเข้ามาศึกษากันอย่างละเอียดเป้าหมายหลักของเราคือการเปลี่ยนอาวุธสงครามร้ายแรงชิ้นนี้ให้กลายเป็นเครื่องกลที่ให้ประโยชน์แก่มนุษยชาติแทนการทำลายล้าง”หัวหน้าวิจัยเอ่ยขณะเดินไปพร้อมนายทหารมากฝีมือของกองทัพบกที่เขาพอจะเคยได้ยินชื่ออยู่บ้างในหน่วยรบพิเศษที่ความสามารถคงไม่แตกต่างจากผู้การกรัณย์หัวหน้าหน่วยคอมมาโดของกองทัพอากาศเท่าไรนัก

“เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนเชียวครับถ้าอาวุธสงครามทำลายล้างถูกเปลี่ยนให้นำมาใช้ประโยชน์ในทางตรงกันข้ามได้คงดีไม่น้อย” ภูริชเอ่ยอย่างชื่นชม

“แต่น่าเสียดายที่สามปีผ่านไปพวกเรายังหาจุดที่จะเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นไปตามความคิดไม่ได้...โครงสร้างอาวุธชิ้นนี้ยิ่งศึกษาก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ มันใช้หลักการทำงานคล้ายอาวุธนิวเคลียร์แต่เป็นนิวเคลียร์ที่มีขนาดเล็ก นำวิถีด้วยความร้อนเหมือนมิสไซล์ยิงออกไปเพียงครั้งเดียว สามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความร้อนในตัวเองประจุระเบิดแตกตัวออกเป็นทวีคูณส่วนรัศมีการทำลายล้างเท่าไหร่ ทางเรายังไม่ฟันธงลงไปว่าอาวุธชนิดนี้จะแพร่กระจายความรุนแรงไปได้ไกลแค่ไหน”

“อันตรายถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูริชถึงกับหน้าเผือดสีเขาหันมาสบตากับเพื่อนที่แม้จะไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาให้เห็นเขาก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก เมื่อรับทราบถึงอันตรายอันไร้ขีดจำกัดของมัน“ทำไมกองทัพไม่เสนอทำลายทิ้งไปซะล่ะครับ”

“ครั้นจะเสนอให้ทำลายก็เหมือนกับว่ามันมีบางอย่างที่เรายังไม่รู้ ยังก้าวไปไม่ถึงขีดจำกัดของมันมันชวนให้ค้นคว้า ค้นหาสิ่งที่ซ่อนเร้น ผมเชื่อว่าของทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีโทษมหันต์ ก็ย่อมมีคุณอนันต์ เราต้องการค้นคว้าหาสิ่งนั้น” หัวหน้าวิจัยเอ่ยก่อนจะพานายทหารทั้งสองมาหยุดลงตรงหน้าตู้เหล็กขนาดใหญ่ หนา ที่ถูกเชื่อมติดแน่นไว้กับพื้นอย่างถาวร

กรัณย์มองตู้นิรภัยด้วยความรู้สึกผ่อนคลายลง ความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัย รวมถึงการคุ้มครองป้องกันระดับที่แมลงวันสักตัวคงยากที่จะบินผ่านระดับนี้ถ้าไม่ใช่เทพบนฟ้าก็ยากจะโจรกรรมไปได้ยิ่งเขาเห็นกรรมวิธีในการเปิดตู้นิรภัยที่ใช้การสแกนม่านตาพร้อมลายนิ้วมือด้วยแล้วยิ่งรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย

“ตู้นิรภัยสามารถเปิดได้กี่คนครับ” ภูริชเคยถามขณะหัวหน้าวิจัยนำพิมพ์เขียวออกมากางให้เขาตรวจสอบบนโต๊ะ

“สามคนครับแต่ทุกครั้งที่เปิดตู้จะมีสัญญาณส่งตรงไปยังส่วนกลางเพื่อตรวจสอบและบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของผู้เปิดเอาไว้ ด้วยกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้รอบทิศและที่สำคัญอุปกรณ์อีเล็กทอนิกส์ทุกชนิด หากผ่านเข้ามาภายในนี้ จะถูกปิดกั้นไม่อาจใช้งานได้...เชิญตรวจสอบได้เลยครับ รับรองว่าไม่มีใครสามารถคัดลอกหรือทำสำเนาขึ้นมาได้อีกแน่นอน”หัวหน้าวิจัยเอ่ยอย่างมั่นใจ

ภูริชกวาดตาดูพิมพ์เขียวที่เขาเคยเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนชายหนุ่มหันมายิ้มอย่างสุภาพ “ครับ...เป็นฉบับที่ผมนำมามอบให้เมื่อสามปีก่อนจริงๆ” เขาม้วนแผ่นกระดาษเก็บลงในกระบอก ทั้งส่งให้ผู้เก็บรักษา “เห็นระบบป้องกันที่แน่นหนาอย่างมากของที่นี่แล้วผมก็เบาใจเชื่อว่าทางกองทัพบกคงรู้สึกไม่ต่างกัน”

“นานขนาดนั้นท่านผู้พันฯยังจำได้ ผมล่ะทึ่งจริง ๆ” กรัณย์เอ่ยชมด้วยน้ำเสียงเย้า

ภูริชหันมาสบตาเพื่อน ระยะเวลาสามปี เนิ่นนานเพียงนั้นคงยากจะจดจำถึงรายละเอียดหรือแยกแยะได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือฉบับจริงหรือไม่แต่ตำหนิในกระดาษแผ่นใหญ่ที่มีอยู่ มีเขาเท่านั้นที่รู้และนี่คือเหตุผลที่เขาถูกส่งให้มาตรวจสอบ หลังได้รับข่าวการประมูลครั้งนั้น



[1]แม่ดอน เป็นคำเรียกขานดอนเมือง สถานที่ตั้งกองทัพอากาศ




Create Date : 03 เมษายน 2561
Last Update : 14 มิถุนายน 2561 5:26:26 น. 2 comments
Counter : 3710 Pageviews.

 
สนุกและน่าตื่นเต้นมากค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: แป้ง IP: 223.207.166.2 วันที่: 3 เมษายน 2561 เวลา:13:24:27 น.  

 
อ่านต่อได้ที่ไหนคะ


โดย: สมาชิกหมายเลข 4045359 วันที่: 21 พฤษภาคม 2561 เวลา:15:33:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นิยายฝันหวาน
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เชิญอ่านนิยายสนุกๆ สไตล์นิยายฝันหวาน



Writer By tonglang
: Copyright © 1999-2008
ข้อตกลง
1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน

2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที


Group Blog
 
 
เมษายน 2561
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
3 เมษายน 2561
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add นิยายฝันหวาน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.