... มาแว้วๆ ***ยอดรักนักศิลป์ตอนที่ 26 ทางรอด *** OG 2 ตอน13-ตอนจบ** **คลิกอ่านทุกเรื่องได้ที่เมนูด้านซ้ายเลยจ้า.. ^_^
“ความทุกข์-หากเล่าสู่กันฟังจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่วนความสุข-ถ้าเราแบ่งปันมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” ขอบคุณลูกบล็อกทุกท่านที่ร่วมสร้างบล็อกแห่งความสุขนี้ขึ้นมา อยากให้พื้นที่ในบล็อกแห่งนี้ได้เป็นที่แบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน จะไม่มีรักรูปแบบใดที่เป็นไปไม่ได้ ณ ที่แห่งนี้....วอนวอน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
26 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ตอนที่ 2 หลง รัก (Lost and Love)



“คุณอึนชัน! คุณอึนชัน!”
ร่างเล็กสลึมสลือขึ้นตามเสียงเรียก ภาพเลือนรางของร่างบางที่ชะโงกหน้ามาดูเธออย่างเป็นห่วงค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ

“เป็นยังไงบ้างค่ะ” แชวอนก้มถามร่างเล็กที่นอนหนุนตักอยู่อย่างห่วงใย

อัญชันที่ตอนนี้รู้สึกตัวอย่างเต็มที่ เบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าดาราสาวขวัญใจของตัวเองตรงหน้า ก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดพราดอย่างลนลานจนศีรษะของเธอเกือบจะชนเข้ากับของแชวอน

“คุณอึนชัน คุณเป็นยังไงบ้าง?” จินโฮที่เห็นอาการตื่นตกใจของเธอเอ่ยถามขึ้น

“เอ่อ.......” อัญชันพยายามรวบรวมสติอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สมองเธอจะ Error ไปซะแล้ว เธอทำได้แต่เพียงทำปากพะงาบๆอยู่อย่างนั้น ทุกคนต่างมองดูเธออย่างเป็นห่วงและเกรงว่าเธอจะเป็นอะไรร้ายแรง ก่อนที่โทรศัพท์ของคุณจางจะดังขึ้น

“ตายแล้วได้เวลาแล้วละจ๊ะ แชวอนรีบไปเร็ว เดี๋ยวต้องไปแต่งหน้าอีก คุณปาร์คเดี๊ยนว่าให้แม่หนูนี่เริ่มงานวันหลังแล้วกันนะฮ้า วันนี้ดูท่าหล่อนจะไม่ไหว” คุณจางเสนอขึ้น

“แบบนั้นก็ดีครับ พวกคุณรีบไปเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมดูแลเอง” จินโฮตอบรับข้อเสนอนั้นและหันมามองอัญชันอย่างเป็นห่วง ก่อนที่คุณจางจะเดินนำแชวอนออกไป

“ไว้พบกันใหม่นะค่ะ” แชวอนกล่าวลาด้วยรอยยิ้มที่แฝงความห่วงใย ก่อนจะเดินจากไปให้ร่างเล็กมองตามตาละห้อย

“นี่คุณ....ไม่ได้ทานข้าวมาอีกแล้วเหรอครับ?” จินโฮถามขึ้นเมื่อยังเห็นอาการแปลกๆของเธออยู่

“เอ๋อ!...โอ้! ค่ะ?” อัญชันตอบไม่เป็นภาษาเพราะใจลอยตามร่างบางออกไป จินโฮได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจให้อาการ เอ๋อเหรอ ของคนร่างเล็ก แม้เขาจะมองว่ามันน่ารักก็ตาม

“ผมพาคุณไปทานข้าวดีกว่า มาครับ” จินโฮส่งมือของเขาให้กับอัญชัน เธอมองมือนั้นอย่างงงๆ หากก็ยอมรับมันแต่โดยดี ร่างสูงจับมือน้อยไว้อย่างทนุถนอมและค่อยๆประคองร่างเล็กขึ้น


จินโฮพาอัญชันมาส่งที่บ้านของเธอตามเดิมหลังจากทานอาหารเสร็จ เขายังคงกังวลกับอาการเมื่อเช้าของเธออยู่ไม่น้อย

“คุณแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร ผมว่าไปหาหมอดูหน่อยดีไหม?” เขาถามขึ้นระหว่างเดินไปส่งเธอเข้าบ้าน

“ฉันโอเคค่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น จนชายหนุ่มต้องยอมรับอย่างจำใจแม้จะเป็นห่วงเธออยู่มากก็ตาม

“ก็ได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีอีกละก็ โทรหาผมได้ตลอดเลย ผมจะรีบมาทันที” เขาตอบรับอย่างอ่อนโยน หากแต่อัญชันกลับรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่เขาเสนอตัวเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะตอนนี้สมองเธอเต็มไปด้วยเรื่องของดาราสาวที่เธอพบเมื่อเช้า

“แล้ว...เรื่องทำงานละค่ะ?” เธอถามขึ้นหยั่งเชิง

“ทำงาน? ผมว่าคุณพักสักสองสามวันดีไหมครับ แล้วค่อยเริ่มงาน” จินโฮเสนอขึ้น ให้อัญชันรีบลนลานตอบ

“ไม่ต้องค่ะ! ฉันแข็งแรงมาก แล้วก็อยากจะทำงานแล้วด้วย” เธอกล่าวยืนยันเสียงสูงพร้อมทำท่าเบ่งกล้ามประกอบ จินโฮตกใจเล็กน้อยกับท่าทางเธอ

“คุณแน่ใจนะครับ?” เขาถามยืนยันอีกครั้ง เธอจึงพยักหน้ารับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจอย่างอ่อนใจ

“ก็ได้ครับ งั้นเริ่มงานพรุ่งนี้ เดี๋ยวผมมารับนะ” เขาบอก เธอถึงกับยิ้มหน้าบานให้คนมองหัวใจพองโตตามรอยยิ้มนั้นไปด้วย

“รับทราบค่ะ บอส” เธอตอบหนักแน่นพร้อมทำท่าวันทยหัตถ์ จินโฮถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางน่ารักน่าชังของคนตรงหน้า
__________________________________

Bbong9 -- วันนี้ดูคุณจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีเรื่องอะไรน่ายินดีหรอค่ะ? (◕‿◕✿)

Teddy Bear -- วันนี้ฉันได้พบคนคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ฉันอยากพบมากที่สุดในโลก (≧▽≦)

Bbong9 -- (;°○°) ใครหรอค่ะ?

Teddy Bear – ความลับ (◕‿-。)

Bbong9 -- (づ ̄³ ̄)

__________________________________

รุ่งเช้าที่อัญชันรอคอย วันนี้เธอตื่นขึ้นก่อนเวลานาฬิกาปลุกเสียอีก ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำและฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์แล้วจึงมาสวมชุดที่เธอใช้เวลาเลือกทั้งคืน เธอสวมใส่โค้ทสีน้ำตาลครีมตัวใหญ่ทับเสื้อยืดสีเขียวเข้มที่เข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนสีซีดดูทะมัดทะแมง เสริมด้วยผ้าพันคอลายตารางผืนยาว เธอส่องกระจกดูความเรียบร้อยอีกครั้งและหัวเราะ ฮิฮิ อย่างชอบใจกับการแต่งตัวในครั้งนี้ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายผ้าถักใบเดิม แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเธอก็ดังขึ้น

“ขอโทษนะ ผมมีประชุมด่วน คงไปรับคุณไม่ทัน” เป็นจินโฮนั่นเองที่โทรมา

“เอ๋?....เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะงั้นเดี๋ยวฉันไปเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะค่ะ” เธอตอบรับอย่างเข้าใจ

“งั้นเดี๋ยวผมให้คนไปรับคุณแล้วกันครับ” เขาเสนอ

“อ่ะ! ไม่ต้องค่ะ ฉันไปเองได้ค่ะ ไม่เป็นไร สบายมากค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น จนเขาต้องจำใจทำตาม ทั้งที่ความจริงอยากจะยกเลิกประชุมและไปรับด้วยตนเอง หากแต่หน้าที่ก็ทำให้นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้

“ก็ได้ครับ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทรหาผมได้ตลอดนะครับ” เขาตอบรับอย่างจำใจ

หลังจบการสนทนาอัญชันก็ยืนเครียดอยู่หน้ากระจก ไม่รู้ว่าตนจะเดินทางไปยังไง เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยออกไปไหนโดยไม่มีคนไปด้วย ก่อนที่เอื้อเฟื้อจะเดินเข้ามาในห้องเพราะคิดว่าเพื่อนสาวยังไม่ตื่น

“อ้าวแต่งตัวเสร็จแล้วหรอ นึกว่ายังไม่ตื่นสะอีก” เขากล่าวขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวในชุดเตรียมพร้อม อัญชันค่อยๆหันไปหาเพื่อนรักช้าๆพร้อมส่งสายตาปลิบๆ เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ

“อะไร?” เขาถามอย่างสงสัย เธอจึงเล่าให้เขาฟังว่าต้องเดินทางไปทำงานเองคนเดียว เอื้อเฟื้อได้ยินก็ถึงกับกุมขมับ ด้วยรู้จักความโก๊ะของเพื่อนสาวคนนี้ดี เขาจึงเขียนแผนที่ให้เธออย่างละเอียดบอกสายรถเมล์ที่เธอต้องขึ้น และจุดหมายที่เธอต้องลง พร้อมทั้งสัญลักษณ์ต่างๆที่เธอควรรู้ เขาทวนให้เธอฟังอยู่หลายรอบ ก่อนจะมั่นใจว่าเธอจำได้แน่จึงยอมให้เธอออกจากบ้านไป หากว่าเขาลางานได้ก็คงจะลางานและไปส่งเพื่อนสาวแล้ว แต่นี่ดูจะกะทันหันไปเขาคงไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่ภาวนาให้เธอไปถึงจุดหมายให้ได้อย่างปลอดภัย

อัญชันขึ้นรถเมล์สายที่เพื่อนบอกได้อย่างถูกต้อง เธอตื่นเต้นกับการเดินทางเองคนเดียวครั้งแรกมาก ทุกอย่างดูตื่นตาไปหมด ร่างเล็กสอดส่องส่ายสายตามองสองข้างทางตลอดเวลา หากแต่จุดหมายก็ยังไม่ถึงเสียที การนั่งอยู่เฉยๆนานๆจึงทำให้เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีในสถานที่ที่ไม่ตรงกับที่เอื้อเฟื้อบอก เธอรีบลนลานลงรถทันทีและมองซ้ายมองขวาอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะรู้ตัวว่า “หลง” ร่างเล็กยืนสับสันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะนึกถึงเพื่อนขึ้นมา เธอจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเขาทันที

“ช่วยฉันด้วย! ฉันหลงทางอ่ะ” ร่างเล็กส่งเสียงอ้อนวอนไปตามสาย

“แกอยู่ไหนเนี่ย?” เอื้อเฟื้อได้ยินดังนั้นจึงถามกลับไปอย่างเป็นห่วง

“ฉ้านม่ายรู้” เธอตอบเสียงอ่อย ปลายสายถึงกับอ่อนใจในคำตอบ

“แกลองดูดีๆซิ มีอะไรเป็นจุดเด่นมั่ง ป้ายหรือตึก อะไรก็ได้” เขาพยายามให้เธอตั้งสติ

“เอ่อ....มีตึกอ่ะ แต่มันมีเต็มไปหมดเลย ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นตึกอะไร” เธอตอบเหมือนคนสติแตก

“ใจเย็นๆ ดูป้ายสิ ป้ายนะ” เขาพยายามไม่ให้เธอสติหลุดไปมากกว่านี้ อัญชันจึงหันไปหาป้ายตามคำบอกเพื่อน แต่มันกลับเป็นภาษาเกาหลีที่เธออ่านไม่ออก นั่นยิ่งทำให้เธอสติแตกไปใหญ่

“ฉันอ่านไม่ออก!” เธอขึ้นเสียงสูง

“โอเคๆ งั้นอธิบายที่ๆแกอยู่มา” เขาพยายามปลอบเธอ

“เออ....มัน เป็นแยกอ่ะ สามแยก” เธออธิบาย

“แยกหรอ?....ดีมาก แกเห็นตำรวจไหม” เขาถามขึ้นให้เธอสงสัย

“หะ? อืมเห็น ทำไมหรอ?” เธอเริ่มงงกับเพื่อนคนนี้แล้ว

“เดินเข้าไป ไปหาตำรวจแล้วให้เขาไปส่งแก” เขาเฉลยเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง

“แกจะบ้าหรอ ให้ฉันเดินไปบอกให้เขาไปส่งเนี่ยนะ” เธอถามย้ำ

“ใช่ แกมีวิธีดีกว่านี้ไหมละ” เขาถามกวนกลับ อัญชันจึงต้องทำตามอย่างจำใจ

“ยื่นแผนที่ที่ฉันเขียนให้เขา แล้วก็อย่าลืม ทำท่าโง่ๆ บอกว่าแกหลงทางด้วยละ เขาจะได้สงสาร” เอื้อเฟื้อพูดประชดแทงใจ จนคนฟังอยากจะมุดโทรศัพท์ตามไปตีปากเสียๆให้บาดเจ็บไปหลายวัน

เมื่อตัดสินใจได้อัญชันจึงเดินตรงเข้าไปยังนายตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แถวนั้น เขามองเธออย่างแปลกใจ

“เอ่อ...ฉันโล่งทั่งค่ะ” เธอพยายามพูดภาษาเกาหลีที่เอื้อเฟื้อบอก แต่ด้วยสำเนียงที่ไม่ให้ ทำให้นายตำรวจฟังไม่เข้าใจ

“โล่งทั่ง?” นายตำรวจทวนคำ

“โนๆๆ โล่งทั่ง โล้งทั่ง....” เธอพยายามพูดให้เขาเข้าใจแต่มันกลับแย่กว่าเดิม เธอจึงหยิบแผนที่ให้เขา

“ฉันหลงทาง!” เธอตัดสินใจพูดออกไปเป็นภาษาอังกฤษ

“อ้อ! หลงทาง แล้วก็ไม่บอก” นายตำรวจกลับพูดภาษาอังกฤษได้ (สะงั้น) เขาจึงรับแผนที่มาดูและอาสาพาเธอไปส่ง


ขณะเดียวกันหน้าบริษัทสตาร์เคย์ คุณจางและแชวอนที่รอการมาถึงของอัญชันก็ยืนรออย่างกระวนกระวายใจด้วยเวลาล่วงเลยมามากแล้ว

“ไม่ไหวแล้วนะ นี่อีกห้านาทีถ้าไม่มา เราไปกันเลยดีกว่า” คุณจางพูดขึ้น

“ใจเย็นๆเถอะค่ะคุณจาง ฉันว่าเธอต้องมาแน่ค่ะ” แชวอนพยายามพูดดับอารมณ์เดือดของผู้จัดการใจหญิง ก่อนจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามา ทั้งสองจึงหันไปตามเสียงนั้นแล้ว
พบกับภาพที่น่าแปลกใจ ร่างเล็กคุ้นตาสวมหมวกกันน็อคอยู่กำลังก้มขอบคุณนายตำรวจยกใหญ่ก่อนจะวิ่งมาทางทั้งสอง แต่ก็ต้องวิ่งกลับไปอีกครั้งเพราะเธอลืมถอดหมวกกันน๊อคคืนนายตำรวจใจดีคนนั้น เธอจึงต้องก้มขอโทษเขาอีกที แล้วจึงวิ่งมายังทั้งสอง ร่างเล็กมาหยุดตรงหน้าแชวอนด้วยความเหนื่อยหอบ เธอก้มหน้าหอบหายใจพลางปาดเหงื่อ

“ขอโทษค่ะที่มาสาย” อัญชันก้มหน้าขอโทษ แชวอนและคุณจางได้แต่มองหน้ากัน

“เอาเถอะๆ มาแล้วก็รีบขึ้นรถเถอะ”คุณจางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปจัดการสัมภาระ

“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะค่ะ” แชวอนกล่าวทักทายขึ้น อัญชันที่ยังคงก้มศีรษะขอโทษอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทักช้าๆ ก่อนจะพบกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เธอลืมหายใจ

“ขึ้นรถได้แล้วจ๊ะสาวๆ” คุณจางเอ่ยขึ้น ทำให้อัญชันได้สติ ก่อนจะเดินตามแชวอนขึ้นรถตู้ไป เมื่อสองสาวขึ้นมาบนรถแล้วคุณจางที่รอปิดประตูอยู่ด้านนอกก็พูดขึ้น

“เอาล่ะ อึนชันใช่ไหม? ฝากแชวอนด้วยนะจ๊ะ นี่เป็นตารางงานของวันนี้ โชคดีจ๊ะ” คุณจางยื่นตารางงานให้อัญชันก่อนจะปิดประตู อัญชันถึงได้รู้ว่า เธอต้องไปกับแชวอนเพียงแค่สองคน! ⊙▂⊙


รถตู้สีขาวขับไปตามท้องถนนผ่านตัวเมืองของกรุงโซลอย่างราบเรียบ ความเย็นสบายของฤดูใบไม่ร่วงทำให้บรรยากาศดีจนอยากผล็อยหลับ หากแต่สาวร่างเล็กในรถกลับนั่งเกร็งเหงื่อแตกพลั่ก จนคนข้างๆสังเกตอาการแปลกๆของเธอได้

“เอ่อ...เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” แชวอนถามขึ้นเมื่อหันมาเจออัญชันนั่งตัวลีบติดประตูรถจนเกือบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกคนทักขึ้น หากแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะหันไปมองคนข้างๆ ร่างบางจึงต้องเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหาร่างเล็กเสียเอง

“คุณเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” เธอยื่นหน้าเข้าไปถามร่างเล็ก อัญชันหลับตาปี๋กำมือแน่นก่อนจะตอบอีกคนออกไป

“ม่ะ...ม่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ร่างเล็กก้มหน้างุด ให้อีกคนมองอย่างสงสัย

“เอ๋?...นี่ฉันน่ารังเกลียดขนาดที่คุณไม่อยากมองหน้าเชียวหรอค่ะ?” แชวอนเอ่ยขึ้นให้อีกคนใจหาย

“ไม่ใช่นะค่ะ!” ร่างเล็กโพล่งออกมาพร้อมหันไปยังคนข้างๆ ก่อนจะพบกับรอยยิ้มที่เธอหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

“ฮิๆ ยอมหันมาจนได้” แชวอนเฉลยให้อีกคนถึงบางอ้อ ว่าเธอเพียงพูดเล่นเพื่อดึงความสนใจเท่านั้น ร่างเล็กจึงได้แต่ทำหน้าเจื่อนอย่างอายๆ

“อืม...คุณชื่ออึนชันจริงๆหรอค่ะ?” แชวอนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างเล็กจึงทำหน้าเหวอ

“คือเห็นคุณเป็นคนต่างชาติ แต่กลับมีชื่อเหมือนคนเกาหลีเลย...ก็แค่สงสัยนะค่ะ” ร่างบางอธิบาย

“อ้อ...มันเป็นชื่อที่เพื่อนฉันตั้งให้นะค่ะ เพื่อให้คนเกาหลีเรียกฉันง่ายๆ” ร่างเล็กตอบอ้อมแอ้มในลำคอ จนแชวอนต้องขยับเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อเงี่ยหูฟัง ร่างเล็กจึงยิ่งพยายามทำตัวลีบเข้าไปใหญ่

“แล้วชื่อจริงๆของคุณคืออะไรหรอค่ะ?” แชวอนถามต่อ

“อัญ...อัญชันค่ะ” ร่างเล็กตอบพลางก้มหน้างุด

“อัญชัน อืม...ชื่อน่ารักดีนะค่ะ ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรก็เถอะ แล้วคุณจะให้ฉันเรียกว่าอะไรดีละค่ะ?” แชวอนยังคงถามต่อให้อีกคนเริ่มล้ากับการควบคุมจังหวะหัวใจ

“เรียกอะไรก็ได้ค่ะ อึนชันก็ได้” ร่างเล็กยังคงตอบเสียงอ่อน

“ไม่ได้สิค่ะ เราควรเรียกชื่อของคนอื่นด้วยชื่อที่เขายินดีให้คนอื่นเรียกนะค่ะ นั่นถือเป็นการให้เกียรติเขาค่ะ” แชวอนอธิบายอย่างจริงจัง ร่างเล็กที่ได้ยินก็ถึงกับทึ่งในความคิดของอีกคน จนเธอเผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัว

“แล้วตกลงจะให้ฉันเรียกว่าอะไรค่ะ?” แชวอนถามย้ำรอคำตอบ จึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัว

“เอ่อ..ถ้าไม่ลำบากมาก ได้โปรดเรียกฉันว่า อัญชันค่ะ” เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอร้อง ร่างบางยิ้มให้กับคนตรงหน้าอย่างพอใจ

“ถ้ายังงั้นก็ เรียกฉันว่า แชวอน นะค่ะ” ร่างบางจึงก้มศีรษะลงเช่นกันให้อีกคนแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ร่างเล็กพร้อมหัวเราะคิกคักกับการสานสัมพันธ์ใหม่ในครั้งนี้

รถตู้สีขาวแล่นมาถึงที่หมาย ณ กองถ่ายซีรี่เรื่องหนึ่ง ทีมงานทุกคนต่างวิ่งวุ่นกันพัลวัน อัญชันมองการทำงานของทุกคนอย่างตื่นตาเมื่อลงมาจากรถ ก่อนที่สาวร่างท้วมจะวิ่งเข้ามาหาแชวอนแล้วลากร่างบางไป อัญชันได้แต่มองตามอย่างเอ๋อๆ ร่างเล็กจึงรีบวิ่งตามไปทันที สาวท้วมพาแชวอนมาแต่งหน้าที่เต๊นท์แต่งตัวนักแสดง ภายในมีนักแสดงนำนั่งแต่งตัวอยู่ก่อนหน้าแล้ว แชวอนกล่าวทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองก่อนจะนั่งลงแต่งหน้า อัญชันมองดาราคนอื่นๆอย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจอดาราเกาหลีหลายๆคนพร้อมกันแบบนี้ เธอพยายามนึกชื่อดาราแต่ละคนว่าชื่ออะไรกันบ้าง โดยไม่รู้ตัวว่าตนนั้นเผลอทำอาการครุ่นคิดนับมือนับไม้อยู่ แชวอนมองอาการนั้นของคนร่างเล็กแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ

เมื่อแต่งตัวเสร็จร่างบางก็หยิบบทของตนขึ้นมาอ่านทวนอย่างตั้งใจ โดยมีสายตาของสาวร่างเล็กจ้องมองอยู่ เธออยากจะหยิบกล้องที่ตนพกติดตัวขึ้นมากดชัตเตอร์แทบใจจะขาด แต่ก็พยายามห้ามใจไว้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนและไม่อยากให้หล่อนรู้ว่าเธอนั้นคลั่งไคล้หล่อนมากขนาดไหน อัญชันแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง มุน แชวอน ดาราสาวขวัญใจของเธอนั้นอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้พบตัวเป็นๆ แถมยังได้มาทำงานกับเธออีก ทุกอย่างอย่างกับความฝัน อัญชันได้แต่นั่งมองดาราสาวตาเยิ้ม ก่อนที่สาวร่างท้วมคนเดิมจะเข้ามาเรียกแชวอนไปเข้าฉาก นั่นจึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัวและเดินตามแชวอนไป

แม้จะเป็นฉากสั้นๆ แต่ด้วยความเนี๊ยบของผู้กำกับ ทำให้ต้องถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าผู้กำกับจะพอใจ แม้จะรู้ว่าการถ่ายทำนั้นยากขนาดไหนเพราะเคยเรียนมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อัญชันมีโอกาสได้มาเห็นการถ่ายทำระดับมืออาชีพแบบนี้ เธอรู้สึกทึ่งกับทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการทำงาน เมื่อเห็นว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์เสียจริงที่นั่งอยู่เฉยๆ จึงมองหาสิ่งที่ตนพอจะช่วยได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ อัญชันจึงเดินเข้าไปหาและพยายามสื่อสารกับชายคนนั้น ว่าเธอจะช่วยเขายกของ แม้ตอนแรกทั้งคู่จะสับสันกันเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็เข้าใจกันจนได้ อัญชันจึงกลายเป็นเด็กยกของคนใหม่ของกองถ่ายไป

“เอ๊ะนั่น เด็กใหม่หรอค่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย หน้าตาน่ารักจัง แต่เอ๋ทำไมเขาจ้างเด็กตัวแค่นี้มาทำงานแบบนี้นะ?” ช่างแต่งหน้าที่มาซับหน้าให้แชวอนเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็น เด็กยกของคนใหม่ที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำให้ดาราสาวหันไปมองตาม เธอถึงกับงงที่อยู่ๆผู้ช่วยผู้จัดการของเธอกลายไปเป็นเด็กยกของกองถ่ายสะได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังและตั้งใจของคนตัวเล็กเธอก็หัวเราะออกมาน้อยๆ

“เธอเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของฉันค่ะ ไม่ใช่เด็กยกของหรอก” แชวอนเอ่ยขึ้นกับช่างแต่งหน้าและอมยิ้มมองไปยังร่างเล็ก

หลังจากยกของเสร็จอัญชันยังช่วยเสิร์ฟน้ำให้กับคนในกองอีก ทุกคนในกองต่างเอ็นดูเด็กเสิร์ฟน้ำร่างเล็กหน้าใหม่คนนี้น่าดู แต่เมื่อเดินเสิร์ฟมาถึงเต๊นท์แต่งตัวนักแสดงมือไม้ของอัญชันก็เริ่มสั่น เพราะเข้าใกล้รัศมีของแชวอน อัญชันค่อยๆเดินเสิร์ฟไปเรื่อยๆจนในถาดเหลือน้ำแก้วสุดท้าย เธอค่อยๆเดินเข้าไปหาแชวอนอย่างกล้าๆกลัวๆ ร่างบางที่ง่วนอยู่กับมือถือตัวเองก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาหา จึงหันหน้ามาทางอัญชันและเห็นแก้วน้ำที่ร่างเล็กยื่นมาให้บนถาด เธอยิ้มให้และหยิบแก้วน้ำมา

“ขอบคุณนะค่ะ คุณอัญชัน” แชวอนขอบคุณเสียงหวาน ร่างเล็กที่เพิ่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองครั้งแรกก็ดีใจจนอยากจะคลั่งแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ทำได้เพียงยืนบิดกอดถาดน้ำอมยิ้มอยู่อย่างนั้น แต่ภายในใจ กรี๊ดดดดดดดดดดดด (≧▽≦)/

เมื่อถ่ายละครเสร็จก็เป็นช่วงบ่ายกว่าๆพอดี ในขณะที่อัญชันกำลังยืนรอแชวอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นี้กระเพาะเจ้าปัญหาก็เริ่มอาละวาดอีกครั้ง เสียงโครกครากของเจ้ากระเพาะน้อยดังผิดกับขนาดของมันทำให้เจ้าของร่างยืนเครียดว่าจะจัดการกับมันยังไงดี หากแชวอนมาได้ยินเข้าเธอคงไม่กล้าสู้หน้าดาราสาวอีกต่อไปเป็นแน่ โครกครากกก!

“เสียงมันยังดังดีเหมือนเดิมนะครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านหลังร่างเล็ก เธอจึงหันกลับไปหาต้นเสียงนั้น

“คุณปาร์ค!” อัญชันอุทานด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่

“ผมซื้อขนมมาฝากครับ คงพอทำให้มันหายร้องไปได้พักหนึ่ง” เขายื่นถุงขนมปังให้เธอและทำท่าชี้ไปที่ท้องของร่างเล็ก เธอทำหน้าอายก่อนจะรับถุงขนมมาและรีบเปิดกินทันที ร่างเล็กเดินไปนั่งที่ทางขึ้นของรถตู้และนั่งกินขนมปังที่จินโฮตั้งใจหอบมาให้อย่างเอร็ดอร่อย ร่างสูงยืนมองอย่างเอ็นดูเขามีความสุขทุกครั้งที่เห็นร่างเล็กในอิริยาบทแบบนี้ ร่างเล็กที่ก้มหน้าก้มตากินอยู่เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของจินโฮได้ เธอจึงหยุดและเงยหน้าขึ้น

“คุณปาร์ค ทานด้วยกันไหมค่ะ?” เธอส่งขนมครัวซองที่ตนกินค้างอยู่ยื่นให้เขา ด้วยคิดว่าคงเป็นการเสียมารยาทหากจะกินโดยไม่แบ่งใคร จินโฮมองอย่างงงๆ ก่อนจะขำเล็กน้อย

“คุณทานเถอะครับ ผมตั้งใจเอามาให้คุณ” เขาบอกเสียงอ่อนโยน ร่างเล็กทำหน้าครุ่นคิดสักครู่จึงกินต่อ

“อ้าวคุณปาร์ค มาทำอะไรหรือค่ะ?” แชวอนที่เพิ่งเดินมาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจินโฮ ร่างเล็กที่ได้ยินเสียงดาราสาวถึงกับสำลักและรีบลนลานเก็บขนมปังใส่ถึงทันทีพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นยืน

“สะ....เสร็จแล้วหรือค่ะ?” อัญชันเอ่ยถามแชวอน เธอพยักหน้ายิ้มตอบ

“พอดีผมผ่านมาแถวนี้นะ เลยแวะมาดู เป็นยังไงบ้างครับ ผู้ช่วยคนใหม่?” จินโฮถามขึ้นอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปมองร่างเล็ก แชวอนจึงหันไปมองตามและขำเล็กน้อย

“เธอน่ารักมากค่ะ แถมยังขยันมากๆด้วย ช่วยงานคนทั้งกองเลย” แชวอนพูดไปขำไป จินโฮไม่ค่อยเข้าใจนักจึงหันไปหาอัญชัน แต่ร่างเล็กก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดได้แต่ทำหน้าเอ๋อ

“ตอนบ่ายต้องไปรับบรีฟใช่ไหมครับ ดีเลยผมก็ว่าจะไปด้วย งั้นเราไปทานอาหารกันก่อนดีไหม แล้วค่อยไปพร้อมกัน…..เดี๋ยวเอารถกลับบริษัทเลยนะ ฉันจะไปส่งพวกเธอเอง” จินโฮเสนอกับสองสาวและหันไปสั่งคนขับรถ ทั้งสามจึงเดินไปที่รถของเขา เขาหมายจะเดินไปเปิดประตูข้างคนขับให้อัญชัน แต่ก็ช้ากว่าคนร่างเล็กที่เดินไปเปิดประตูข้างหลังให้ดาราสาวเสียก่อน จินโฮได้แต่ทำหน้าเหวอก่อนจะขำกับตัวเอง เมื่อแชวอนขึ้นไปนั่งบนรถแล้วร่างเล็กก็ตามขึ้นไปอย่างสงบเสงี่ยม จินโฮจึงต้องนั่งหน้าคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้

“คุณอึนชันมีเรียนตอนกี่โมงครับ?” จินโฮเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศในรถเงียบ
“เอ๋?....เอ่อ...หนึ่งทุ่มค่ะ” อัญชันที่มัวแต่ลอบมองใบหน้าขาวของดาราสาว รีบตอบกลับแทบไม่ทัน

“เอ๋? คุณอัญชันยังเรียนอยู่หรอค่ะ?” แชวอนแปลกใจที่ทราบว่าอัญชันยังเรียนอยู่ เพราะตามที่คุณจางผู้จัดการบอกนั้นเธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งน่าจะเรียนจบไปนานแล้วหากไม่ได้ดร็อปการเรียนไว้แบบเธอ

“อ้อ เรียนปริญญาโทนะครับ คุณอึนชันนะเรียนจบปริญญาตรีจากเมืองไทยมาแล้ว แล้วถึงสอบชิงทุนมาเรียนที่นี่” จินโฮจัดการตอบให้เสร็จสรรพ อัญชันจึงได้แต่พยักหน้าตาม

“เก่งจังเลยค่ะ น่าอิจฉาจัง ฉันก็อยากจะเรียนต่อโทอยู่เหมือนกัน แต่แค่ปริญญาตรีก็ยังไม่ไหวเลยค่ะ” แชวอนชื่นชมอัญชันและพูดอย่างอ่อนใจกับตัวเอง

“ไม่หรอกค่ะฉันว่า ถ้าคุณแชวอนมีเวลาว่างจากงานบันเทิง คุณแชวอนก็จะกลับไปเรียนและจบได้ในเร็ววันแน่ๆค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณแชวอนทำได้ค่ะ” อัญชันกล่าวอย่างจริงจังจนจินโฮและแชวอนยังแปลกใจ ก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอหลุดอาการคลั่งไคล้ออกไป ร่างเล็กจึงก้มหน้างุด

“ขอบคุณค่ะ” แชวอนกล่าวเสียงหวานด้วยดีใจที่มีคนเชื่อมั่นในตัวเธอ อัญชันมองดวงหน้าพิมพ์ใจที่ส่งยิ้มมา จึงโค้งรับคำขอบคุณอย่างอายๆ สองสาวต่างอมยิ้มอย่างมีความสุข ให้คนขับรถข้างหน้าเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เขายังไม่กล้าพอที่จะคิดถึงมันอย่างจริงจัง จึงต้องปล่อยให้มันลอยผ่านสมองไป

เมื่อทั้งสามมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง จินโฮเลือกที่นั่งที่ไม่สะดุดตาคนมากนักเพื่อความเป็นส่วนตัว เขาแก้เกมส์ด้วยการขยับเก้าอี้ให้แชวอนนั่งก่อนด้วยรู้ว่าหากเขาไม่ทำสาวร่างเล็กต้องชิงลงมือก่อนเขาอีกเป็นแน่ จากนั้นเขาจึงขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งบ้าง เมื่อบริกรนำเมนูมาให้ทั้งสาม แชวอนและจินโฮต่างมองดูเมนูอย่างตั้งใจ มีเพียงร่างเล็กที่ทำท่าลับๆล่อๆทำเป็นอ่านเมนูแต่สายตามองไปยังร่างบาง จินโฮที่เงยหน้าขึ้นมาพอดีเห็นอาการดังกล่าวจึงถามขึ้น

“เลือกได้แล้วหรอครับ?” เขาถาม

“อ่ะ!...ค่ะ...เอ่อ....เอาอันนี้” ร่างเล็กประหม่าตกใจจึงตอบไปไม่ทันคิดพร้อมกับชี้นิ้วมั่วไปที่เมนู

“ช็อกโกแลต ฟาวน์เทน ฟองดู!” จินโฮถึงกับอึ้งที่อัญชันเลือกเมนูนี้ อัญชันเองเมื่อก้มลงมองไปยังปลายนิ้วของตนก็รีบชักมือออก เพราะมัวแต่มองแชวอนแท้ๆ เธอจึงเปิดหน้าเมนูมั่วไปหมดดันมาเปิดหน้าของหวานแถมยังเลือกเมนูอลังการขนาดนี้ อัญชันถึงกับทำหน้าเสียไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี

“ว้าว น่าทานจังเลยค่ะ ขอฉันทานด้วยได้ไหมค่ะ” แชวอนเอ่ยขึ้นเสียงใส เธอหลงใหลในรสชาติของช็อกโกแลตเป็นทุนเดิม เมื่อมาเห็นเมนูของชอบแบบนี้จึงอดใจไม่ได้

“เอ่อ...คือ...ค่ะ” อัญชันตอบรับอย่างงงๆ ผลกลายเป็นว่าเธอเลือกเมนูถูกใจดาราสาวไปสะอย่างงั้น เมื่อผลออกมาว่าสองสาวจะทานของหวานแทนอาหาร สุภาพบุรุษจึงต้องทำตัวเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จินโฮจึงสั่งช็อกโกแลต ฟาวน์เทน ฟองดู ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเกือบจะเต็มโต๊ะอาหารและสูงเลยศีรษะไปครึ่งเมตร ทั้งสามตื่นตากับลาวาช็อกโกแลตที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงหยิบผลไม้และของข้างเคียงจุ่มลาวาช็อกโกแลตอย่างสนุกสนาน แชวอนหยิบสตอร์เบอรี่ลูกโตจุ่มลงไปและหยิบขึ้นมากัดอย่างเอร็ดอร่อย

“อืม...อร่อยที่สุด” เธอทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ร่างเล็กที่กำลังจะจุ่มมาสเมลโลเผลอมองจนตาค้างทำให้มือของเธอโดนเข้ากับช็อกโกแลตลาวา

“โอ้ย!” ร่างเล็กร้องอุทานขึ้นเมื่อผิวสัมผัสกับความร้อน จินโฮรีบลุกจากเก้าอี้มาดูมือของอัญชันทันที

“เป็นยังไงบ้างครับ!?” จินโฮถามอย่างเป็นห่วง

“แฮะๆ ไม่เป็นไรค่ะ”ร่างเล็กตอบก่อนจะรีบเช็ดมือที่เปื้อน แต่มันกลับไม่สะอาดทันใจ จินโฮจึงจับมือน้อยไว้และเป็นฝ่ายเช็ดให้เสียเอง เขาบรรจงเช็ดอย่างอ่อนโยนด้วยกลัวผิวของเธอจะละคาย

“เจ็บหรือเปล่าครับ? แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร” เขาถามย้ำอีกครั้ง

“ค่ะ” ร่างเล็กตอบอย่างเกรงใจ เธอค่อยๆหดแขนของตัวเองคืน ก่อนจะหันไปมองร่างบางที่กำลังมองเธออย่างเป็นห่วง

“มือไม่เป็นอะไรนะค่ะ?” แชวอนถามอย่างเป็นห่วง

“ค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ” อัญชันตอบพร้อมพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดเพราะความซุ่มซ่ามของตนแท้ๆทำให้ทั้งสองต้องเป็นห่วง

“นี่ครับมาสเมลโล” จินโฮยื่นมาสเมลโลที่จุ่มช็อกโกแลตแล้วให้อัญชัน

“สตอร์เบอรี่ไหมค่ะ?” แชวอนเองก็ยื่นสตอร์เบอรี่จุ่มช็อกโกแลตให้เช่นกัน อัญชันมองทั้งสองอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มตอบหน้าบาน

“ขอบคุณค่ะ” อัญชันรับของทั้งคู่มาและทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองต่างมองร่างเล็กที่กำลังทานอยู่อย่างเอ็นดู

เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปฟังรายละเอียดการจัดงานที่บริษัทเวชสำอางผู้ว่าจ้างแชวอน ทั้งสามก็ตรงไปที่นั่นทันที ณ บริษัทดังกล่าวคุณจางผู้จัดการแต๋วแตกของแชวอนก็ไปรออยู่ก่อนแล้ว

“ตายแล้ว! ไปไหนกันมาค่ะเนี่ย เดี๊ยนหัวใจจะวาย กลัวจะมาไม่ทัน” คุณจางจีบปากจีบคอทักทันทีที่เห็นทั้งสาม

“ขอโทษทีครับ เป็นผมเองที่พาสาวๆเขาเถลไถล เลยมาช้าไปหน่อย” จินโฮตอบแก้ต่างให้

“เอาเถอะค่ะ มาๆนั่งเร็วเขาจะเริ่มประชุมกันแล้ว” คุณจางบอกทั้งสาม ก่อนที่ผู้บริหารเจ้าของบริษัทเวชสำอางจะเข้ามา ทีมออร์แกไนท์ผู้รับจัดงานจึงเริ่มนำเสนอรายละเอียด อัญชันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่งฟังตาปลิบๆเพราะไม่เข้าใจภาษาเกาหลี แต่ด้วยความที่ตนเคยเรียนการตลาดมาจึงสามารถเข้าใจรายละเอียดงานได้จากพรีเซ้นเตชั่นที่ฉายบนสไลน์และเอกสารประกอบที่แจกให้ แต่อยู่ๆบรรยากาศก็เข้าสู่ภาวะเครียดเมื่อผู้บริหารคนหนึ่งโวยวายขึ้น อัญชันถึงกับทำหน้าหลาและสงสัยจริงๆว่าเกิดอะไร จึงทำใจกล้ากระซิบถามจินโฮออกไป

“เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะ?” อัญชันกระซิบกระซาบ

“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจนะ ที่จะให้แจกสินค้าในงาน เพราะเขาไม่อยากเสียงบประมาณตรงนั้น” จินโฮอธิบาย

“เอ๊ะแต่เขาน่าจะรู้รายละเอียดมาก่อนแล้วนี่ค่ะ ทำไมถึงมาท้วงตอนนี้? แล้วเขาให้โปรเจ็คนี้ผ่านมาได้ยังไง?” อัญชันถามขึ้นอย่างสงสัย จินโฮได้แต่หยักไหล่ด้วยความจนปัญญา อัญชันมองภาพทีมพรีเซ้นต์พยายามอธิบายผู้บริหารเฒ่าคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนเขายังไม่พอใจอยู่ดี เธอจึงพลิกอ่านเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจแย้งขึ้น

“ขอโทษนะค่ะ ฉันรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ตัดงบสินค้าที่จะแจกในงาน เพราะมันคือสิ่งจำเป็นและเป็นหัวใจหลักของการจัดงานครั้งนี้ไม่ใช่หรือค่ะ เพราะคุณต้องการแนะนำสินค้าใหม่ตัวนี้ ถ้าคุณไม่ให้สินค้ากับเขาแล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่ามันดี เพราะเปอร์เซ็นที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาใช้หรือทดลองสินค้าใหม่นั้นน้อยมาก การแจกสินค้าถือเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้นที่จะซื้อสินค้าเรานะค่ะ ถ้าคุณจะตัดงบส่วนนี้ออก ฉันว่า คุณก็ไม่ควรจะจัดงานนี้เลยดีกว่า เพราะผลตอบรับที่ได้มันไม่คุ้มกับงบประมาณที่คุณประหยัดไว้แน่นอน” อัญชันโพล่งออกมาเป็นชุดอย่างลืมตัว ทุกคนในห้องต่างจ้องมองเธออย่างอึ้งกิมกี่ ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ว่าทำสิ่งไม่เหมาะสมลงไปสะแล้ว จินโฮเห็นท่าไม่ดีจะลุกขึ้นพูดแก้ต่างให้ แต่ถูกผู้บริหารที่อัญชันพูดใส่หน้ายกมือขึ้นห้ามไว้

“แล้วถ้าฉันให้งบตรงนี้ไป แต่ผลที่ได้มันไม่ต่างกันละ มันจะไม่เป็นการเปล่าประโยชน์หรอ” ผู้บริหารเฒ่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็น

“ไม่มีทางค่ะ ผลที่ได้มันย่อมต่างกันอย่างแน่นอน การที่เราให้สินค้าเขาไป ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เขาไปใช้เท่านั้น แต่เพื่อให้เขาสัมผัสและคุ้นเคยกับมัน การได้เห็นรูปทรงสินค้าและโลโก้ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมัน นั่นจะทำให้พวกเขาซึมซับแบรนด์ของเราค่ะ และไม่ใช่เพียงแค่พวกที่เราแจกเท่านั้น แต่หมายถึงเพื่อนๆ ครอบครัว ญาติพี่น้องหรือคนรักของคนเหล่านั้น พวกเขาก็อาจจะได้สัมผัสสินค้าของเราด้วย และยิ่งดีไปกว่านั้นหากพวกเขาใช้สินค้าเราแล้วพอใจ นำไปบอกต่อคนอื่นๆ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นการประหยัดกว่าการต้องไปเสียเงินซื้อสื่อโฆษณาหรือค่ะ” อัญชันอธิบายอย่างมาดมั่น ทุกคนในห้องประชุมต่างทึ่งในตัวเธอ ผู้บริหารเฒ่าทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจให้โปรเจ็คนี้ผ่าน ทีมออร์แกไนท์เซอร์ต่างยิ้มอย่างยินดีรวมถึงทุกๆคนในห้องนั้นด้วย เพราะไม่อยากจะปรับเปลี่ยนรายละเอียดใดๆอีกแล้ว
จากนั้นทีมออร์แกไนท์จึงพรีเซ้นต่อไป อัญชันเองก็ฟังอย่างตั้งใจแม้จะไม่เข้าใจภาษาเกาหลีก็ตาม โดยมีสายตาของจินโฮมองเธออย่างชื่นชมอยู่ข้างๆ ผู้หญิงร่างเล็กที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เธอไม่ใช่แค่น่ารักแต่ยังมีความสามารถที่เขาคาดไม่ถึง นั่นยิ่งทำให้เขาอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้ ในขณะเดียวกันดาราสาวมุนแชวอนที่กำลังฟังรายละเอียดงานอย่างตั้งใจอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองร่างเล็กเป็นพักๆ ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วที่ผู้หญิงร่างเล็กคนนี้ทำให้เธอแปลกใจเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอหวังว่าคงจะได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น และเฝ้ารอกับสิ่งใหม่ๆที่อีกคนจะทำให้เธอแปลกใจ

ตกเย็นหลังเลิกประชุมทุกคนเดินออกมาอย่างโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทีมออร์แกไนท์เข้ามาขอบอกขอบใจอัญชันกันยกใหญ่ให้เธอโค้งตอบไปหลายครั้งจนเกือบปวดหลังเลยทีเดียว

“คุณทำให้ผมแปลกใจได้เสมอเลยนะครับ” จินโฮเอ่ยขึ้นเมื่อทีมออร์แกไนท์ผละไป อัญชันจึงหันไปมองเขาอย่างงงๆ พร้อมๆกับแชวอนที่หันไปมองเขาเช่นกัน นั่นเพราะเธอตั้งใจจะกล่าวประโยคนั้นกับอัญชัน แต่กลับโดนคนตัวสูงตัดหน้าไปสะก่อน

“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อไหมค่ะ วันนี้แชวอนไม่มีคิวแล้วนี่” คุณจางกล่าวขึ้นขณะเดินออกมายังหน้าบริษัท

“นั่นสิไปทานอาหารค่ำกันดีไหมละครับ” จินโฮเสนอขึ้นให้อัญชันหูพึ่งที่จะได้ไปทานอาหารกับแชวอนอีก

“อ้อไม่ละค่ะ พอดีฉันมีนัดแล้ว” แชวอนกล่าวให้อัญชันใจแป้ว ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ดาราสาวจะดังขึ้น

“สวัสดี ฉันอยู่ข้างหน้าบริษัทจ๊ะ....อยู่...รีบมาสิ” เธอตอบปลายสายก่อนจะวางสายไป ไม่กี่อึดใจร่างโปร่งก็ปรากฏตัวขึ้น

“พี่จินโฮ!” ร่างโปร่งส่งเสียงทักมาแต่ไกล ให้ทุกคนหันไปมองเป็นทางเดียว

“ฮโยจู!!” จินโฮเอ่ยเสียงหลง





Create Date : 26 มกราคม 2554
Last Update : 27 มกราคม 2554 14:57:42 น. 2 comments
Counter : 593 Pageviews.

 
เย้ๆๆๆ คนแรก 555555 รอภาพและเสียงอยู่นะคร้าบผม ขอบคุณครับที่ลงต่อให้ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: windy IP: 183.89.98.192 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:16:47:49 น.  

 
คนที่สองๆ.....
แต่คนแต่งนี่นับด้วยหรอออออ
มั่วแระวิน ไปนั่งข้างๆเลย อิอิ



โดย: mai.ka IP: 223.205.79.179 วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:12:45:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

albatross11
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




รักกันเพียงใดก็ต้องพลัดพราก หวงไว้เพียงใดก็ต้องจำจาก ข้ามาคนเดียวข้าไปคนเดียว ไม่มีใครเป็นอะไรของใคร ต่างคนมาต่างคนไป ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ปล่อยวางได้จึงเบาสบาย... เมื่อปัญญาแจ่มแจ้งจะสลัดคืน เมื่อมาจากดิน ท้ายที่สุดก็สลายกลายเป็นดิน ยึดเอาไว้ก็ได้แต่ทุกข์ตอบแทน อยากโง่ก็ยึดต่อไป คิดได้ก็วางเสีย พุทธทาสภิกขุ............ .............................. .............................. ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย... ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...พุทธโอวาท --------------------------- พระราชดำรัส ในรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงสละพระราชสมบัติ เพื่อประชาชน ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
New Comments
Friends' blogs
[Add albatross11's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.