"น้ำตกน้ำเปิน" เป็นน้ำตกใกล้หมู่บ้านมากๆ ครั้งแรกที่มา มีฝนตกก่อนหน้า ทำให้ทางเข้าที่รถวิ่งได้กลับกลายเป็นดินเละเทะ เลยต้องเดินเท้าเข้าไปน่าจะประมาณเกือบ 4 กม. ทางเดินขึ้นลงเนินเขา ไม่ชัน พอใกล้ถึงทางที่จะเข้าน้ำตก ก็มีให้เลือกสองทาง ทางหินชันและลื่นเดินไปได้ระยะนึง เห็นท่าจะไม่ไหวแน่ กลัวจะต้องกลิ้ง เลยย้อนกลับขึ้นมาไปลุยกับทางหญ้าแห้ง พอเข้าป่าเท่านั้นแหละ ความเขียวความดิบของป่า ทางเดินต้นไม้ปกคลุม ดินที่ชุ่มน้ำ ก็ลื่นเชียว ลัดเลาะไต่หินนิดหน่อยจนมาถึงตัวน้ำตก สวยมากเชียว เดินไม่ไกล แต่ต้องออกแรงกันหน่อย ครั้งที่สองมาไม่เจอฝน เดินใกล้กว่าเดิมประมาณ 300 ม. เท่านั้น (ทำไมช่างแตกต่างเยี่ยงนี้) แถมไกด์นำทางเตรียมจอบ ถากๆ เซาะทำทางทำให้เดินง่ายกว่าเดิมเยอะ ทำเป็นขั้นบันไดให้ ไม่เหมือนรอบแรกที่ตะกุยซะเป็นน้องหมาเชียว อรรถรส!!!

"ถ้ำผาผึ้ง" เป็น UNSEEN อีกที่เลยเชียว ไม่ใช่ว่ามาได้ตลอดเวลา แล้วจะชื่นชมความงามได้ ต้องมาให้ถูกช่วง และมีดวงมาด้วย จะได้ภาพสวยๆ กลับไป ครั้งแรกเมฆหมอกหนามากมาย เลยไม่ได้มาเยือน ส่วนรอบสองมาถึง มีแดดออก เวลาที่ดีคือช่วง 9-10 โมงเช้า รอแสงที่ส่องเข้าทางปากถ้ำ มันจะเป็นภาพที่สวยที่สุด แต่บางจังหวะแสงอาทิตย์ก็ถูกบดบัง เมฆบ้างหมอกบ้าง บังแสงไป ก็ต้องรอฟ้าใสๆ ให้แสงส่องมากระทบอีกครั้ง

"ดอยผาผึ้ง" ถือเป็น Highlight ของที่นี่เลย ครั้งแรกที่มาดินยังอุ้มน้ำอยู่ เลยใช้รถอีแต๊กค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาไป บางช่วงก็ลื่นขึ้นยาก ต้องลงกันมาก่อน แต่พอรอบสองสามารถใช้รถ 4x4 ขึ้นได้ละ ไปถึงจุดจอด เดินเท้าต่ออีกประมาณ 100 ม. ก็จะได้ชมวิวฟินๆ กันเลย

ที่บนดอยผาผึ้งนี้กางเต๊นท์ไม่ได้นะคะ เมื่อก่อนก็เคยอนุญาตให้กางอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเองด้วย ขึ้นไปชมวิว 360 องศากันที่นี่ บอกเลยว่า เดินแค่นี้แลกกับความฟินนี่ เกินบรรยาย

ที่นี่นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องของกาแฟ ได้รับรางวัลด้วย แต่เราไม่อิน เพราะเราเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ ลองนิดๆ หน่อยๆ แต่ลิ้นก็เข้าไม่ถึงอยู่ดี มีตั้งแต่การปลูกกาแฟ คั่วกาแฟ และดริปกาแฟกันสดๆ คนที่เป็นคอกาแฟมาถึงที่นี่ต้องลองดูแล้วล่ะ

ค่าโฮมสเตย์ 650 บาท/2 คน มีค่าไกด์พาเข้าน้ำตก ค่ารถขึ้นดอย ค่าพาเข้าถ้ำ ค่าอาหารแต่ละมื้อ ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวรอบแรกมาสองคน นอนโฮมสเตย์ร่วมกับชาวบ้าน แบ่งห้องชัดเจน รอบหลัง 6 คนนอนบ้านพักส่วนตัว วิวดี หารเฉลี่ยก็อยู่ที่ 2,5×× บาท ทั้งสองรอบ ที่ราคาใกล้เคียงเพราะรอบหลังเรากินเยอะ ไปหนักเรื่องของกินเครื่องดื่มอ่ะ

ทำอาหารปิ้งย่างกินกันเอง อุปกรณ์เครื่องครัว เตาปิ้ง มีให้พร้อม ยกเว้นถ่านที่ไปหาซื้อกันมาก่อน พอใกล้ได้เวลา พี่เค้าก็มาจัดการติดไฟเตาถ่านให้ กินอาหารพร้อมดูพระอาทิตย์ตกก็ฟินดีนะ

อาหารของที่หมู่บ้านนี้ เค้ากินกันรสชาติไม่จัดจ้านมากนัก ออกจะจืดด้วย แต่ถ้าทำให้นักท่องเที่ยวกินอาจมีเพิ่มพริกหรือรสชาติให้ถูกปากเพิ่มขึ้นได้ในบางเมนู และเสริมด้วยพริกน้ำปลา ส่วนข้าว ผักก็จะเป็นของในหมู่บ้านนี่ล่ะ สดใหม่แน่นอน

ขากลับก็ให้รถมาส่งที่ท่ารถของสมบัติทัวร์ ในตลาดเชียงกลาง ขึ้นรอบ 17.00 น. ถึงสถานีขนส่งวิภาวดี เกือบๆ ตี 5 ก็ดิ่งเข้าออฟฟิศทำงานได้เลย เที่ยวได้แบบไม่ต้องเสียวันลาด้วย