อช. เขาใหญ่ ตอนที่ 3
เจ็ดโมงเช้าของวันใหม่....พระอาทิตย์ยังไม่สามารถแหวกเมฆหมอกออกมาปรากฏโฉมได้...ยอดเขาเขียวมีหมอกขาวลอยเอื่อยๆ ปกคลุม...เสียงนกเงือกร้อง "แกร๊ก...แกร๊ก...แกร๊กๆ" ดังก้องป่าเสียงร้อง "ผัว...ผัว..ผัว...ผัว" ของชะนีมือขาว ดังมาจากราวไพรอากาศเย็นสบายกำลังดี บรรยากาศยามนี้ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นเข้าไปจนถึงหัวใจ************************************************ชะนีที่เขาใหญ่จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ ชะนีมงกุฏ และ ชะนีมือขาวชะนีที่ร้อง "ผัว..ผัว..ผัว..ผัว" ให้พวกเราได้ยินกันประจำส่วนใหญ่จะเป็น "ชะนีมือขาว" ครับพี่ไพบูลย์ บอกว่า ชะนีมงกุฏ กับ ชะนีมือขาว มันร้องต่างกันผมไม่เคยได้ยินชะนีมงกุฏ มันร้องสักทีเลยบอกไม่ได้ครับว่ามันร้องแตกต่างกันยังงัย หรือร้อง "เมีย..เมีย" หว่า ชะนีมงกุฏ ตัวผู้จะมีสีดำ มีสีขาวเป็นวงรอบหัว ส่วนตัวเมียสีเทาเหลือง หรือน้ำตาลเหลืองแล้วมีสีดำบนกระหม่อม ปล. ขออภัยครับ จำที่มาของภาพไม่ได้แล้ว ************************************************ส่วนเสียงชะนีมือขาว ที่ร้อง "ผัว..ผัว...ผัว" ให้ได้ยินอยู่เป็นประจำนั้นเราสามารถแยกว่าเป็น "ตัวผู้" หรือ "ตัวเมีย" ได้จากเสียงร้องของมันครับคือตัวผู้จะร้อง "ผัว..ผัว..ผัว..ผัว" คือ ร้อง ผัว สั้นๆ..ตัวเมียจะร้อง "ผัววววววว...ผัววววววว..ผัววววววววว" ร้อง ผัวววว เสียงยาวและโหยหวญคร่ำครวญ (ชะนี นะอย่าคิดว่าเป็นแม่นาค)ส่วนชะนี กระเทย.. ไม่มี "ผัว" / ล้อเล่นนะคับ อิอิอิชะนีมือขาวตัวผู้จะมีสีดำและไม่มีสีขาวคาดหัวเหมือนชะนีมงกุฏ ส่วนตัวเมียจะมีสีเหมือนชะนีมงกุฏ แต่ไม่มีสีดำบนกระหม่อม ปล.ที่มาของภาพจากในภาพนะคับ************************************************กลับมาชมบรรยากาศยามเช้ากันต่อ....กับเมฆหมอกบดบังยอดเขาเขียว ************************************************ตอนเช้าอย่างนี้นกมักจะออกมาหากินเยอะครับ...ผมเลยออกตามล่าหาส่องน้องนก.. ส่วนใหญ่ในที่โล่งๆอย่างนี้มักจะพบนกกินแมลงเยอะครับ.. ************************************************นี่งัย.."น้อง Bee" ผึ้งงาน แสนขยันออกมาหาน้ำค้างกินไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ หรือ แมลง ต้องกินน้ำด้วยกันทั้งนั้นครับ..และมันก็จะถูกพวกนกจาบคา (Bee-eater) กินเป็นอาหารมื้อเช้าประจำ************************************************เดินหาส่องน้องนกจนหิวแล้วค้าบบบ..กินข้าวดีกว่า..มัวแต่เดินส่องนกจนทำให้คนอื่นเรารอ ************************************************ข้าวต้มกุ๊ย...มีอะไรบ่างดูเอาเองล่ะกันคับ สาธยายมากเด๋วผมหิวอ่ะ *************************************************อิ่มกันแล้วช่ายม้าย...เตรียมตัวให้พร้อม....แล้วไปเดินลุยป่ากันเล้ยยยย.. ************************************************วันนี้เราเลือกเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ไม่ไกลมากนัก..ด้วยเรามีนักเดินป่าสมัครเล่นมากันหลายคนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กม.33-หนองผักชี จึงเป็นตัวเลือกที่ดูดเหมาะสมที่สุดคือไม่ใกล้และไม่ไกลมากนัก************************************************ขอแนะนำให้พบกับ จนท.ที่จะเป็นผู้นำทางให้เราในครั้งนี้ครับคุณลุงภักตร์ แกอยู่กับเขาใหญ่มาตั้งแต่ยังไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็น อุทยานฯ เลยนะครับถึงตอนนี้อายุของลุงแกจะเลยวัยเกษียณไปแล้วแต่ทางอุทยานฯ ยังจ้างลุงเป็น จนท. อยู่นั่นเป็นการันตีได้เลยว่าลุงแกแจ๋วจริง ค้าบบบบ...แจ๋วไม่แจ๋ว ลุงแกก็วิ่งวันละสิบกิโลทุกเช้าล่ะครับ... (ไม่รู้วิ่งหนีตัวอะไรหรือป่าว) ************************************************แนะนำกันหน่อย..ฝรั่งลูกนี้.. เอ๊ย! ท่านนี้เป็นผู้จัดการองค์กรส่งเสริมการปลูกป่าภาคเอกชนของออสเตรเลีย...แกมีโมเดลในการคำนวณว่า ต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงขนาดนี้จะมีปริมาณไม้ที่สามารถแปรรูปได้กี่ ลบ.ม.แต่เป็นต้น ยูคาลิปตัส เท่านั้น....ตอนนี้แกกำลังสนใจทำโมเดลนี้กับไม้สักอยู่อ่ะคับ*************************************************สำหรับร่องรอยของสัตว์ป่าที่พบในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ กม.33-หนองผักชีที่ผมและทีมงานได้สำรวจไว้เป็นข้อมูลประกอบในการทำ "แผนแม่บทในการจัดการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่"ซึ่งได้สำรวจเอาไว้ในช่วงหน้าแล้งปี 2549 ก็มี......1. กวางป่า2. หมูป่า3. ลิงแสม4. กระรอกหลากสี5. นกขุนทอง6. นกกางเขนดง7. นกโพระดกหูเขียว8. นกระวังไพรปากเหลือง9. ไก่ป่า10. นกกก11. นกกระรางหัวหงอก12. นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่สำหรับพืชที่เป็นไม้ต้น ที่เราทำการสำรวจเฉพาะตามริมทางเดินศึกษาธรรมชาติและลึกเข้าไปจากทางเดิน 10 เมตรมีทั้งหมดประมาณ 50 ชนิดครับ..ที่พบมากที่สุด 4 อันดับแรกก็เป็น สุรามะริด อีแรด ตองผ้า และหว้าส้ม ตามลำดับเลย************************************************ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนเลย เขาก็มาเผยโฉมให้ชมแล้วคับ...ชะนีมงกุฏ 2 ตัว น่าจะเป็นคู่กัน ห้อยโหนหากินบนกิ่งไม้ใหญ่เห็นได้ชัดเจนพวกเราชี้ให้กันดูจนรถที่ขับผ่านมาหยุดรถแล้วชะเง้อคอยาวเหมือนยีราฟอยู่ในรถดูเป็นแถว...เราก็เลยได้ดูยีราฟ ขับรถเพิ่มขึ้นอีกตัว ************************************************เดินเข้ามาได้หน่อยเดียวก็เจอเข้ากับ "จำปาป่า" ต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่พบได้เฉพาะในป่าดิบ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตร ขึ้นไปผมได้เจอกับเขาครั้งแรกตอนเก็บข้อมูลป่าที่ดอยอินทนนท์..คราวนั้นเขากำลังออกดอก ผมก็มัวแต่ยืนแหงนหน้ามองดูดอกจำปาป่า จนเพลิน...พอก้มมองดูตัวเองอีกที อ้าว!.. โดนตัว "คุ่น" กัดเสียแล้วเราเลยจำชื่อเขาได้มาจนทุกวันนี้เลย...*************************************************"ต้นเลือดกวาง" ... ถ้าเราสังเกตดีๆ เราจะเห็นรอยมีดฟันที่ต้นไม้หลายแห่งเนื่องจาก ไม้พวก เลือดกวาง เลือดควาย หรือ เลือดแรด จะมียางสีแดงคล้ายเลือดรอยที่เห็นจึงเกิดจาก "เซียนพรรณไม้สมัครเล่น" หรือพวกชอบโชว์ "ว่าข้าแน่เรื่องพรรณไม้"จากนั้นก็เอามีดฟันเปลือกไม้ให้มีน้ำยางสีแดงไหลออกมา...เพื่อโชว์ให้เห็นว่า เป็น "ต้นเลือดกวาง" จริงๆ... ************************************************กระเพราต้น"ต้นไม้ขนาดใหญ่ในป่าดิบอีกชนิดหนึ่ง.. ใหญ่ขนาดไหนเปรียบเทียบกับสองสาวมรดกของโลกเอาเองครับ น่าจะสัก 5 คนโอบได้...แต่ถ้าใครคิดจะทดลองวัดขนาดของต้นไม้ด้วยการโอบบ้าง...ขอแนะนำว่า อย่าปฏิบัติอย่างน้องเสื้อสีน้ำตาลนะครับ..เราไม่ควรเอาด้านหน้าโอบ เพราะบางทีอาจจะมีแมลงมีพิษเห็บ หรือ ทาก เกาะอยู่... ************************************************เนื้อไม้ของ "กระเพราต้น" จะมีกลิ่นฉุนเวลาเดินป่าเหนื่อยๆ ถากเอาเปลือกหรือเนื้อไม้ มาดมแทนยาดมได้เลยแหละครับ...แก้วิงเวียน หน้ามืด ดมแล้วชื่นใจ๊ ชื่นใจ... รอยคนถากเปลือกรากของกระเพราต้น เพื่อพิสูจน์กลิ่น..************************************************รอยหมูป่าขุดหารากไม้ หรือ สัตว์เล็กๆ และแมลง ในดินกิน ************************************************หมูป่าส่วนใหญ่จะอยู่และหากินกันเป็นฝูง หรือครอบครัวยกเว้นตัวผู้ที่โตเต็มไว จะแยกออกไปท่องเที่ยวหากินตัวเดียวที่เรียกว่า "หมูป่าโทน" นั่นแหละครับ และมันจะกลับเข้าฝูงอีกครั้งเมื่อฤดูผสมพันธุ์ ************************************************ลูกที่เห็นนี่..ลุงภักตร์ แกเรียก "นมช้าง"แต่พวกผมเรียกว่า "HUMช้าง" ครับ เรียกอย่างที่ผมว่าจริงๆ นะครับ ไม่ได้ล้อเล่นในรายงานประเมินผลกระทบกิจกรรมการเดินป่าที่มีผลต่อสัตว์ป่าและพรรณพืชผมก็รายงานว่าชื่อต้น "HUMช้าง" ************************************************เมื่อเราลองบริ "ผลHUMช้าง" ดู ก็จะพบเมล็ดของ HUMช้าง อยู่ข้างในซึ่งจะมีเนื้อหุ้มเมล็ดลื่นๆ นุ่มๆ สีขาว คล้าย เมล็ดของกระท้อน************************************************************************************************ผมเองรู้ก็แต่ว่าผล HUMช้าง กินได้ แต่ไม่เคยลอง....*************************************************ลุงภักตร์ เลยกินให้ดูเป็นตัวอย่าง... *************************************************เพื่อความสมบูรณ์ของเรื่อง ถ้าไม่ลองเดี๋ยวจะอธิบายให้พวกเราฟังไม่ถูก...จำต้องยอกพลีชีพคร้าบบ...เสือดูด HUMช้าง แล้ว... "จุ๊บๆๆๆๆๆ"อืม... นิ่มๆ ลื่นๆ เหมือนเมล็ดกระท้อน แต่รสชาติหวานออกเลี่ยนๆ คือไม่มีรสเปรี้ยวเจืออยู่เลย หวานแบบจืดๆ ************************************************งัยล่ะ หน้าตาของต้นHUMช้าง... สังเกตดีๆ มีผลHUMช้าง คาต้นอยู่ด้วย เพียบเลยโอ้ว!.. มากมายหลายHUM....************************************************รอยเล็บหมีปีนต้นไม้ครับ..รอยหมีที่เห็นเป็น..รอยหมีคนครับ ไม่ใช่คนชื่อหมีนะ.. แต่เป็นหมีชื่อคน อ่ะ!..ไม่ใช่.. งงวุ๊ย. *************************************************ต้นเดิมนั่นแหละ.. แต่เป็นด้านข้างสัณนิษฐานว่ามันพยายามฉีกต้นไม้เพื่อแหวกช่องของพูพอนต้นไม้จากนั้นก็จะเอาปากยื่นๆ ของมันทิ่มเข้าไปตามรอยแยกเพื่อกินน้ำหวานจากรังของผึ้งโพรง*************************************************หมีหมา หรือ หมีคน ลำตัวจะยาวประมาณ 150 ซม.ขนสีดำทั้งตัว มีสีเหลืองแกมขาวเป็นรูปตัววีที่หน้าอก ที่ปากและจมูกสีน้ำตาลอ่อนปนเหลืองชอบออกหากินเวลากลางคืน อาหารของมันคือพวกสัตว์เล็กๆ แมลง และชอบปีนต้นไม้หากินน้ำผึ้ง ไปถึงผลไม้สุกตามป่าทั่วไปกลางวันจะนอนบนต้นไม้...เสียงร้องของหมีชนิดนี้ ฟังดูคล้ายหมา จึงเป็นที่มาของชื่อ "หมีหมา"พอเวลามันได้กลิ่นแปลกๆ หรือ ต้องการดมเพื่อกลิ่นของอาหารมันจะยืนสองขาคล้ายคน จึงเป็นที่มาของชื่อ "หมีคน"ปล. ขอบคุณภาพจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวครับ***************************************************ต้นไทร เป็น นักบุญแห่งป่าเพราะ ต้นไทรในป่าจะมีลำต้นขนาดใหญ่และแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปก้างขวางมากทำให้เกิดร่มเงาขนาดใหญ่เป็นที่พักพิงอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด (รวมทั้งผีสาง เทวดา นางไม้ด้วย) นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารของสัตว์เล็กๆ พวก กระรอก กระแต เก้ง กวาง และนก ต่างๆ ************************************************************และต้นไทร ยังเป็น นักฆ่าแห่งพงไพร อีกด้วยเพราะ ต้นไทรส่วนใหญ่จะเติบโตในลักษณะของกาฝาก เกาะและดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชที่มันยึดเกาะจากนั้นก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตคลอบคลุมต้นไม้ที่มันยึดเกาะอาศัยอยู่ แล้วต้นไม้ที่มันอาศัยก็จะตายลงฉายา นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร จึงเหมาะแก่ต้นไทรในป่าเป็นที่สุด *************************************************************ฉายา นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร เป็นฉายาที่รุ่นพี่วนศาสตร์ ม.เกษตร คนหนึ่งคิดขึ้นจากนั้นพวกน้องรุ่นหลังๆ ที่เรียนจบแล้วไปทำงานในอุทยานฯ ต่างๆทั่วประเทศ ก็เอามาไปใช้จนแพร่หลาย...ภาพที่เห็นนี่เป็นตัวอย่าง ต้นไทรเจริญเติบโตจนหุ้มต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่จนมิด ถ้าไม่สังเกตเราจะคิดว่าต้นไทรมีขนาดใหญ่มาก.. ***************************************************************ด้วยความซุกซนตามประสา เสือแสนซนฉันคือรูปเสือหลุมหลิมในกรอบไม้ ****************************************************************ต้นทองหลางป่า เปลือกต้นมีร่องรอยถูกฉีกทึ้งจากสัตว์และมีรอยถูกเจาะด้วยอะไรบางอย่าง..ลุงภักตร์ บอกว่าถูกช้างเอางาฉีกและแทงเล่น *************************************************************ผมเลยเข้าไปตรวจสอบและพิจารณาเผื่อโชคดีเจองาช้างหักติดกับต้นไม้..ซึ่งตามตำราเครื่องรางของขลัง เขาว่า เป็นของดี เรียกว่า "งาช้างกำหนัด" หรือ "งาช้างกำจัด" ไม่แน่ใจแต่คิดว่าน่าจะเป็น "งาช้างกำหนัด" เพราะเป็นงาที่ได้จากช้างตกมันกำลังเกิดความกำหนัดมันในอารมณ์เอางามาแท้งกับต้นไม้ระบายอารมณ์เปลี่ยว แต่ลองหาอยู่นานก็ไม่เจอ เจอแต่ "ขี้ช้างกำหนัด" ไม่รู้ใช้แทนกันได้รึป่าว *****************************************************************เถาวัลย์น้ำ เวลาอยู่ในป่าหาน้ำกินไม่ได้เราก็หากินกับเถาวัลย์น้ำ นี่แหละคับตัดมันแล้วน้ำก็จะไหลออกมา "ปิ๊ดๆๆๆๆๆ"แล้วเราก็เอาปากดูด "จ๊วบๆๆๆๆ" 5555..ล้อเล่นครับ... ไม่ต้องดูดก็ได้แค่เอาปากรองหรือหาอะไรมารองน้ำก็ใช้ได้แล้ว *******************************************************************"ปอหูช้าง" ใบจะมีลักษณะกลม ปลายใบ 5 แฉก เป็นไม้เบิกนำชนิดหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าครั้งหนึ่งสภาพตรงนี้เคยถูกเปิดโล่งจากการบุกรุกแผ้วถางของมนุษย์ ******************************************************************ทายซิอะไรเอ่ย...******************************************************************เฉลย....กระสุนพระอินทร์/กิ้งกือป้อม/กิ้งกือเม็ดลักษณะเด่นของมันคือเวลามันมีอันตรายมันจะขดตัวได้กลมเลยแหละ (เหมือนภาพข้างบน)****************************************************************เคยมีน้องคนหนึ่งถามผมว่า "พี่..กิ้งกือมีกี่ขาอ่ะ"มึนเลยคับ..ไม่รู้มันกวนหรืออยากรู้จริงๆถ้าจะจับมันมานั่งนับขา ผมว่าลูกกะตาผมคงต้องหลุดออกมานอกเบ้าก่อนแน่ วิธีที่จะรู้ว่ากิ้งกือตัวนี้มีกี่ขาก็คือต้องนั่งนับจำนวนปล้องของมันครับ.กิ้งกือจะมี 4 ขาต่อปล้อง ครับ แต่ก็อีกนั่นแหละเพราะกิ้งกือแต่ละตัวจะมีจำนวนขาไม่เท่ากันตอนมันเป็น กิ้งกือทารก(เพิ่งออกจากไข่) อยู่นั้น มันมีจำนวนเพียง 5 ถึง 6 ปล้อง ต่อจากนั้น พอมันโตขึ้น มันก็จะเพิ่มจำนวนปล้อง โดยปล้องใหม่จะแทรกตรงบริเวณปล้องรองสุดท้ายกับปล้องสุดท้าย
เห็นกับข้าวบนโต๊ะแล้วรีบเรียกแม่มาดู บอกว่าพรุ่งนี้ขอแบบนี้นะคะ แม่ก็เห็นดีด้วย 555