"The single best way to grow a better brain is through challenging problem solving." - Eric Jensen (1998), Teaching with the Brain in Mind
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 ธันวาคม 2549
 
All Blogs
 
สัมมนาที่สเปน วันที่ 12

วันพฤหัสบดีที่ 16 พ.ย. 2549


สัมมนาวันที่เก้า วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า ทำให้โปรแกรมที่วางไว้ออกมาไม่ดีอย่างที่หวัง

ตอนเก้าโมงเช้า ก่อนขึ้นรถเพื่อไปดูงาน ออกไปหลังโรงแรมเพื่อถ่ายรูปสถานีรถไฟเก่าของเมืองที่อยู่ติดกัน ตอนนี้เขาทำเป็นเหมือนพลาซ่าที่ให้ร้านค้ามาเช่าที่ทำกิจการค้าขาย บางทีก็มีการจัดงานหรือคอนเสิร์ตกันข้างในด้วย

จากนั้นก็ไปดูโรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ Solucar เป็นบริษัทเอกชนที่ร่วมศึกษาวิจัยกับหน่วยงานราชการซึ่งรวมทั้ง CIEMAT นี้ด้วย ส่วนหนึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปของความร้อน จากบรรดาแผง Heliostat ที่ส่องแสงไปรวมกันที่ยอดหอคอย เพื่อผลิตไอน้ำไปปั่นกังหันปั่นไฟ อีกส่วนหนึ่งเป็นการผลิตด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ซึ่งมีกระจกรวมแสงให้ได้ความเข้มของแสงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปกติด้วย น่าเสียดายที่ฝนตกก็เลยไม่ได้ลงไปดู ได้แต่ดูจากบนรถ ที่น่าคิดก็คือนี่เป็นของเอกชน แต่เขาก็มีการทำงานร่วมกันใกล้ชิดกับภาครัฐ ทำให้ประเทศมีความก้าวหน้า ซึ่งก็ได้ประโยชน์ทั้งภาครัฐเองและตัวเอกชนที่ลงทุนเป็นส่วนใหญ่

ระหว่างทาง ไกด์ชี้ให้ดูสวนต้นไม้ชนิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่า โค้ก หรือ ค้อก (Cork?) เห็นบอกว่าเป็นไม้ที่ปลูกเพื่อเอาส่วนเปลือกไปใช้งาน (จุกค็อก?) กฎหมายจะอนุญาตให้เก็บได้ทุก 9 ปีเท่านั้น

กลับเข้าเมืองเซบิญ่ามา ฝนยังตกอยู่ ก็เลยกินมื้อกลางวันเร็วขึ้นคือกินตอนบ่ายโมง เป็นการถ่วงเวลารอฝนซาแล้วจะได้ไปเดินชมเมืองด้วย ร้านที่กินชื่อว่า Robles Restaurantes ตั้งมาตั้งแต่ปี 1954 อยู่ใกล้ๆ โบสถ์ใหญ่ของเมืองคือ Giralda Cathedral ที่มีหอคอยที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมืองนี้

อาหารกลางวันวันนี้พิเศษเหมือนกัน นอกจากไวน์แดงกับขนมปังซึ่งวันนี้ไม่แข็งมากแล้ว มีไวน์ขาวที่กลิ่นแอลกอฮอลแรงเหมือนเหล้าขาวให้เรียกน้ำย่อยด้วย พร้อมกับชีสสารพัดชนิดที่ล้วนแต่กลิ่นแรงทั้งนั้น มี Crab Cake (?) ให้เรียกน้ำย่อยต่ออีกสองชิ้น ตามมาด้วยอีกจานหนึ่งที่เป็นอาหารทะเลผัดกับไข่ มันเทศ เห็ด หัวหอม และพริกหยวก หน้าตาคล้ายๆ ฟักทองผัดไข่ของเรา จานหลักเป็นข้าวผัดเครื่องแกงเหลืองๆ ใส่ปลาหมึก หอย และกุ้ง จานนี้ต้องมีพ่อครัวออกมาตักจากกระทะใส่จานใหญ่ก่อนที่บริกรจะเดินมาตักเสิร์ฟให้ดูด้วย ของหวานเป็นเค้กช็อกโกแล็ตกับคัสตาร์ด

ที่นี่ คุณป้ามะลิ (ป้าชาวบังกลาเทศที่เรื่องมากๆ แกชื่อ Jasmine) กับคุณลุงชาวบังกลาเทศหลงกับกลุ่ม มานั่งกันครบแล้วถึงเห็นว่าหายไป เดือดร้อนไกด์เอเลนากับคุณเอ็นริเก้ต้องออกไปเดินตามหา สาเหตุที่แกหลงกับกลุ่มก็เพราะป้ามะลิแกซื้อร่มนานไปหน่อย จริงๆ ไกด์เขาแวะซื้อก่อน แล้วแนะให้คนที่ไม่มีอุปกรณ์กันฝนซื้อบ้าง เพราะราคาแค่ 3 ยูโรเท่านั้น คุ้มกับสุขภาพ สงสัยป้าแกเลือกนานไปหน่อยเลยตามกลุ่มไม่ทัน ส่วนคุณลุงชาติเดียวกันแกก็ใจดี พอไม่เห็นป้าก็เลยกลับไปตาม กลับมาก็ไม่ทันกลุ่มแล้ว ดีว่าป้าแกมีคุณลุงคนนี้อยู่ด้วย จึงคิดได้ว่าควรจะรออยู่ที่คนขายร่มนี่แหละ เขาจะได้กลับมาตามถูก ซึ่งก็จริงอย่างนั้น นึกอยู่ว่าถ้าป้าแกหลงคนเดียวคงจะหาแกไม่เจอแน่ เพราะไม่รู้ว่าจะคิดได้เหมือนคุณลุงแกคิดหรือเปล่าที่ควรจะรออยู่กับที่ พอป้าแกมาถึงร้านก็กลับกลายเป็นความผิดของทุกคนไปอีกที่ไม่มีใครรอแก ไม่รู้ว่าแกคิดอะไรจริงๆ

ออกจากร้านอาหาร ฝนก็หยุดแล้ว เลยได้เดินทัวร์ชมเมือง มีไกด์ของเมืองนี้ที่ชื่อ Perez Ordonez มารับหน้าที่ เขาให้ข้อมูลมากมาย จำมาได้ก็ผิดๆ ถูกๆ อีก

- เซบิญ่าเคยเป็นเมืองใหญ่อยู่พักหนึ่ง ช่วงศตวรรษที่ 12 แต่จริงๆ แล้วเมืองนี้เก่าแก่ย้อนกลับไปถึง 2500 กว่าปีแล้ว ช่วงที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอิสลามก็คือช่วงปี 712 ถึง 1248

- แม่น้ำใหญ่ที่ไหลผ่านเมืองเซบิญ่าชื่อว่า Guadalquivia แปลว่า Great River

- Giralda Cathedral สร้างในช่วงศตวรรษที่ 15 ตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นมัสยิดเก่า เป็นโบสถ์คริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของโลก หอคอยสูง 97 เมตร มีที่พักของคาร์ดินัลอยู่ใกล้ๆ กันเลย สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16

- พระราชวังใหญ่ที่เรียกว่า Alcazar อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ปี 900 แล้ว พระราชวังที่คงอยู่ในปัจจุบัน (ที่เชื่อว่า Julius Caesar เป็นผู้เริ่มสร้างเป็นคนแรก?) มีลักษณะเป็นทั้งป้อมและวัง ด้านนอกดูเรียบง่าย แต่ข้างในจะเต็มไปด้วยความหรูหรา ข้างในมีสวนส้มที่เรียกว่า Bitter Orange อยู่ (ที่ว่าคนสเปนไม่กินแต่ทำเป็นแยมส่งไปขายที่อังกฤษ) ส้มที่อยู่ภายในเขตรั้ววังยังคงส่งไปเป็นของกำนัลให้พระราชินีอังกฤษอยู่จนถึงทุกวันนี้ กำแพงวังจะมีท่อน้ำประปาเดินผ่านอยู่ภายในด้วย

- เดินออกมาในย่านคนยิวเก่า (Juderia) ที่เรียกว่า Santa Cruz เป็นย่านที่คนยิวอยู่ก่อนที่จะถูกบังคับให้เข้ารีต ก็มีทั้งที่ยอมเข้าจริงๆ บ้าง เข้าหลอกๆ บ้าง แต่ก็มีการเปลี่ยนชื่อชุมชนมาให้เป็น Santa Cruz (Cruz หมายถึง กากบาทหรือไม้กางเขน) เพื่อแสดงความจริงใจ (และเอาตัวรอด?)

ออกมาถึงแถวนี้ ก็เดินออกมาผ่านสวน Murilla Park เพื่อขึ้นรถบัสวนรอบเมืองต่อ ถนนหนทางในเมืองกำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ ซึ่งระหว่างขุดก็พบของโบราณมากมาย ทำให้ทำไปได้อย่างช้าๆ บนรถบัส ไกด์ก็ยังให้ข้อมูลอีกมากมาย จำได้ผิดๆ ถูกๆ อีกตามเคย

- กำแพงด้านหนึ่งของวังกินมาในเขตที่เรียกว่า Macarena เหมือนชื่อเพลง

- ปี 1992 เป็นปีที่เมืองนี้จัดมหกรรมแสดงศิลปะวัฒนธรรมของประเทศในคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน โปรตุเกส รวมทั้งโมร็อคโคที่เป็นเมืองขึ้นในขณะนั้น) กับประเทศจากทวีปอเมริกากลางและใต้ งานนั้นมีการสร้างอาคารสถานที่ที่เรียกว่า Pavillion ของประเทศต่างๆ ไว้มากมาย ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ราชการต่างๆ ของเมืองหรือแคว้น

- ผ่านโรงงานเบียร์ Cruzcampo เป็นเบียร์ดังประจำพื้นที่ทางใต้ของสเปน

- ผ่านโรงงานทำเครื่องกระเบื้องเซรามิคเก่าแก่ชื่อ La Catuja (?)

- ผ่านสนามสู้วัวเก่าแก่และใหญ่โตที่เรียกว่า Real Maeztranza เป็นโรงสู้วัวหลวงของกษัตริย์สเปน

- ข้ามแม่น้ำไปเขตเมืองที่เรียกว่า Triana เป็นที่ที่การเต้น Flamenco มีชื่อเสียง เป็นการเต้นของพวกยิปซี ยิปซีที่นี่เป็นยิปซีที่ไม่เร่ร่อน มีการขออนุญาตกษัตริย์เพื่อตั้งรกรากกันที่ตริอาน่านี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ดนตรีและการเต้นฟลาเมงโก้เป็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของยิว อาหรับ และยิปซีเอง ชื่อ Gypsy มาจากความเชื่อที่ว่าชนเร่ร่อนพวกนี้มาจากอียิปต์ (Egypt) แต่จากการศึกษาบอกว่า ยิปซีมาจากรัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย เหตุผลในการเร่ร่อนยังไม่รู้แน่ชัด

- ผ่านมหาวิทยาลัยของเซบิญ่าที่เคยเป็นโรงงานยาสูบเก่า เมื่อก่อนจะมีแต่แรงงานหญิง เลยมีเรื่องของการเอาเปรียบทางเพศเกิดขึ้นมากมาย จนกระทั่งกวีเกิดแรงบันดาลใจ เอาไปแต่งเป็นอุปรากรดังเรื่อง Carmen

ก่อนจบการทัวร์ เขาแวะที่สวน Maria-Luisa Park เป็นชื่อของเจ้าหญิงที่เป็นพี่น้องกับพระราชินี Isabella องค์ที่ให้ทุนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ไปสำรวจโลกใหม่จนเจออเมริกา ลานใหญ่ตรงกลางเรียกว่า Plaza De Espana มีการสร้างหอคอยสูงทางทิศเหนือและใต้ และมีอาคารโค้งเชื่อมหอคอยทั้งสองอ้อมไปทางตะวันออก ก็เลยดูเหมือนว่าอาคารโค้งชุดนี้โอบล้อมหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ไกด์บอกว่าเพื่อสื่อว่าสเปนเปิดประตูออกโอบล้อมดินแดนแห่งโลกใหม่เอาไว้ (ไม่ค่อยเท่าไรเลย!) อาคารโค้งแบ่งออกเป็น 4 ช่วง เป็นตัวแทนของชนสี่เหล่าหลักของสเปน ศิลปะของหอคอยและอาคารชุดนี้เป็นแบบผสมกันหมด ทั้งอาหรับ โกธิค โรมัน ฯลฯ สวนนี้ใช้ถ่ายหนังมาแล้วหลายเรื่อง เช่น Laurence of Arabia, Star Wars: Episode II

จบการทัวร์ก็มารอขึ้นรถไฟความเร็วสูง Renfe AVE ที่สถานี Santa Justa ตอนหกโมงเพื่อกลับมาดริด รถไฟออกหนึ่งทุ่ม มาถึงสถานี Atocha ที่มาดริดประมาณสามทุ่มครึ่ง ระยะทาง 550 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้น รถไฟนิ่มมาก นิ่มกว่ารถไฟฟ้าบ้านเราเยอะ ทั้งๆ ที่เป็นรถไฟล้อเหล็ก ไม่ใช้เทคโนโลยีแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย เสียดายว่าเป็นตอนกลางคืนก็เลยมองไม่เห็นข้างนอก ไม่อย่างนั้นคงได้รู้สึกถึงความเร็วได้ชัดเจนกว่านี้

เข้าพักที่โรงแรมเดิมคือ Husa Princesa เกือบสี่ทุ่มแล้ว พิพัฒน์ไม่กินอะไรแล้ว จะนอนอย่างเดียว ก็เลยออกไปหาของกินกับคุณหัวหน้าชาวฟิลิปปินส์กับเพื่อนเขาอีกคนหนึ่ง คนฟิลิปปินส์อีกคนหนึ่งก็เหนื่อยไม่ยอมออกไปกินเหมือนกัน เดินไปซื้อแซนด์วิชจากร้าน Subway มากินกัน ไปทันตอนเขากำลังจะปิดร้านพอดี โชคดีที่เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมขายให้ เพราะคนที่มาหลังเรานิดเดียวเขาก็ไม่ขายให้แล้ว เพิ่งจะเห็นว่าการพูดสเปนไม่ได้มีประโยชน์ตรงนี้เอง

พูดถึงพิพัฒน์ มาอยู่สเปนจะสองอาทิตย์แล้ว ร่างกายยังทำงานตามเวลาเมืองไทยอยู่เลย ไม่ยอมให้ร่างกายปรับตัว สองสามทุ่มก็บ่นว่าง่วงเพราะเป็นตีสองตีสามเมืองไทยแล้ว กลางคืนก็ตื่นตอนตีสามตีสี่เพราะเป็นเวลาสายแล้วที่เมืองไทย ไม่รู้ว่าจะสงสารดีหรือไม่



หมายเหตุ: ข้อมูลในบันทึกส่วนตัวนี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงอย่างเป็นจริงเป็นจังได้ เพราะมาจากการจดและจำเอาจากการบรรยายของไกด์ท่านต่างๆ และบางส่วนมาจากการคิดเอาเองเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งแต่อย่างใด กรุณาอ่านเล่นเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น...




สถานีรถไฟเก่าของเมืองเซบิญ่า
ถ่ายจากด้านหลังโรงแรม




หอคอยของลานเฮลิโอสแตทของบริษัท Solucar




แผงเฮลิโอสแตทกลางสายฝน




ลานแผงเซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าแบบรวมแสง




ที่ทำการบริษัทเป็นคฤหาสน์เกษตรเก่าแก่




ภายในคฤหาสน์




นำมาดัดแปลงเป็นห้องประชุมเสียเลย




ร้านอาหารกลางวัน มื้อใหญ่อีกแล้ว
เพิ่งจะเริ่มรู้ตัวกันว่า ป้ามะลิ หายไป...




ไกด์ของวันนี้ คุณเปเรซ
ยืนอยู่ระหว่างคุณเอ็นริเก้ พ่องานสัมมนา
และคุณเอเลนา ไกด์แสนดี ขวัญใจกะเหรี่ยงกลุ่มนี้
คุณเปเรซแกพริ้วมาก มุขเยอะ หัวไว คุยเก่ง
มือไม้แกอ่อนช้อยคล้ายๆ กับพวกพ่อบ้านชาวอังกฤษ




มหาวิหารแห่งเมืองเซบิญ่า




เงยหน้าขึ้นไปมองยอดหอคอย
สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมืองนี้




หันไปมองทางซ้าย สิ่งก่อสร้างออกแนวอาหรับอยู่ในที




อีกมุมหนึ่งของมหาวิหาร
เขาบอกว่าด้านนี้เป็นด้านหลัง




ที่พักของพระคาร์ดินัล




ปราสาทอัลคาซาร์




อีกมุมหนึ่งของปราสาท
หนีคนเวียดนามไม่พ้น ถ่ายรูปทีไรต้องมีทุกที




ป้อมปราการ




กำแพงป้อมปราการ




สวนส้มภายในปราสาทอัลคาซาร์




พยายามทำให้ดูศิลป์อีกครั้งหนึ่ง




กำลังจะเดินออกทางอีกประตูหนึ่งของปราสาท
แล้วมองย้อนกลับไป




โรงสู้วัวหลวง




ก่อนเดินเข้าสวนมาเรีย-ลุยซา




จากด้านใน มองออกไปทางประตูทางเข้าที่อยู่ทางทิศตะวันตก




หอคอยทางทิศเหนือและอาคารส่วนที่ 1




อาคารส่วนที่ 2




อาคารกลาง




อาคารส่วนที่ 3




อาคารส่วนที่ 4 และหอคอยทางทิศใต้




ก่อนจาก




Create Date : 23 ธันวาคม 2549
Last Update : 27 มกราคม 2550 10:52:07 น. 13 comments
Counter : 788 Pageviews.

 
เข้าสู่เมืองเซบิญ่าแล้วครับ


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 27 มกราคม 2550 เวลา:10:53:22 น.  

 

Myspace Layouts

สวัสดีค่ะ มาเยี่ยมเยียน ค่ะ

วันนี้ไป เที่ยวไหน หรือป่าวค่ะ

เที่ยว เผื่อ ด้วย น๊า

(@^_^@)

จุ๊ฟๆๆๆ



โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 27 มกราคม 2550 เวลา:11:53:02 น.  

 
อยากเห็นภาพเซบิญ่าค่ะ
เคยเรียนเรื่องเมืองนี้ หนังสือบรรยายไว้สวยวิจิตร อิอิ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:18:44:20 น.  

 
กด enter ไปก่อนพิมพ์จบ....

วันนี้ได้เห็นภาพเมืองในสายฝน ดูแล้วก็เหงาๆ หม่นๆ จังนะคะ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:18:45:44 น.  

 
ถึงวันที่ 12 แล้วเหรอคะ พลาดไปหลายวันเลย เดี๋ยวค่อยๆ คลิกอ่าน

ชอบบรรยากาศชื้นๆ ของฝนในภาพจังค่ะ


โดย: rebel วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:21:09:03 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์ อิชั้นว่าจะเข้ามาชวนอาจารย์ไปวัด แต่มาเจอที่เที่ยวพร้อมทั้งไก๊ด์กิติมศักดิ์ บรรยายซะละเอียดยิบเลย อ่านซะคุ้มค่าเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แบ่งปัน


โดย: P.Ta วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:21:53:52 น.  

 
เรื่องในบล๊อกวันนี้ ถ้าให้บางคนเขียนเล่า คงจะงงงง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้ โชคดี ที่คนทับแก้วเขียนเล่าอย่างเข้าใจง่าย

อ่านแล้ว สร้างความฝันเลย อยากไปเที่ยวเมืองเซบิญ่าสักครั้ง ถ้ามีตังค์


โดย: yyswim วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:10:12:57 น.  

 
ง่ะ..บอกว่า ไปรอโปรตุเกสนานแว้ว..วววว


โดย: erol วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:10:34:13 น.  

 
จุไม่ได้อ่านเหมือนเคย ดูแต่รูปค่ะ

ภาพสวยดีนะคะ จุอยากถ่ายภาพได้อย่างนั้นบ้าง... จุกำลังนึกว่า ถ้าจุได้ไปเที่ยวจริงๆ จุจะดีใจมั้ย หรือจะรู้สึกยังงัย

แปลกจัง ที่จุกลับคิดถึงแต่ เอเซีย เฉยๆ กับแหล่งท่องเที่ยวยุโรป อเมริกา หรือประเทศที่บอกว่า..เจริญแล้ว


ชีวิตของเขา ผู้คนของเขา ความจริงมันก็น่าสนใจนะคะ เคยอ่านของคุณคนทับแก้วแว๊บๆ

จุมีความฝันที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศไม่กี่แห่ง คือ ทิเบต ยูนาน สิบสองปันนา พุกาม โบราณสถานทั้งหมดของกัมพูชา และจำปาศักดิ์ของลาวใต้ เป็นความฝันอันเล็กน้อยมาก ๆ แตมันยิ่งใหญ่สำหรับจุ

จุเคยถูกชวนให้เดินทางฟรี ไป สิงคโปร มาเล และจีน เซี่ยงไฮ้ จุปฏิเสธหมดอ่ะ ขี้เกียจไป ไม่รู้จะไปทำไม

เป็นคนแปลกๆ บางทีเหมือนอยากเรียนรู้โลกกว้าง เรียนรู้ผู้คน บางทีกลับอยู่เงียบๆ กับตัวเอง

ว่าแล้วไปเขียนความลับตัวเองไว้ดีกว่า เผื่อมีคนอยากรู้


โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:11:54:50 น.  

 



สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า





** มีความสุขมากๆกับคนที่คุณรักนะจ้า **


ภาพสวยๆๆทั้งนั้นเลยอะจ้า

เป็นกำลังใจให้ในการทำงานนะจ้า


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:13:40:55 น.  

 

ณ ที่แห่งนั้น
หัวใจฉันพลันซบสงบนิ่ง
ลืมเหนื่อยอ่อนร้อนใจไม่ประวิง
ใจเดียวเดินดิ่งสู่ห้วงฝัน


พักกายเพลินใจในเมืองงาม
ตึกรามวิจิตรบรรจงสรรค์
งามสวนชวนใจผ่อนคลายพลัน
งามน้ำใจจำนรรชาวพารา



ท้องฟ้าสีครามงามกระจ่าง
หยาดน้ำพุพรมพร่างกลางพรมหญ้า
กลิ่นดอกไม้คุ้นใจลอยลมมา
วูบไหวดังว่าจะทายทัก


มิใช่บ้าน ก็รู้สึกเป็นเหมือนบ้าน
ความทรงจำอ่อนหวานจารจำหลัก
ที่แห่งนี้ขอเอนกายพิงใจพัก
ฉันรักเธอนัก
“ เซบิญา”

ขอแปะกลอนรายงานตัวก่อน แล้วจะมาคุยด้วยนะคะ ดีใจมากค่ะ ที่อาจารย์ได้มีโอกาสเที่ยวชม Sevilla


โดย: ปอ (O_Sole_mio ) วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:21:38:26 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์

แวะมาเมนท์แบบเต็มรูปแบบค่ะ อ่านบันทึกของอาจารย์แล้วได้รู้เรื่องของ Sevilla ขึ้นมาอีกเยอะเลยค่ะ
ปอไป Sevilla เดือนตุลาคม ปี 2004 บินจากเบอร์ลิน ไปเปลี่ยนเครื่องที่ Palma de mallorca ค่ะ ตอนนั้นในเยอรมันหนาวแล้ว แต่ที่ Sevilla นี่ยัง 30 องศาอยู่เลยค่ะ จำได้วันที่เดินเร่ร่อนไป Plaza de espana เทอร์โมมิเตอร์บนถนนมันขึ้นว่า 40 องศาค่ะ เกือบกลายเป็นหมูแดดเดียว ร้อนมาก อีกวันที่เข้าไปดูโรงสู้วัว ร้อนมาก เกือบจะ dehydrate ตายน่ะค่ะ

อาจารย์ ชอบศิลปะแบบมัวร์ไหมคะ

ปอชอบมากเลยค่ะ เขาเล่นลวดลายอ่อนช้อยสวยงามดี เซรามิกเขาก็สวยดีนะคะ จะมีเดินเส้นลายทองๆ ด้วย ย่านเมืองเก่าๆ ของเขาก็สวยดี บางทีมันจะดูระเกะระกะหน่อย แต่ปอว่ามีเสน่ห์ดี (ถ้าชอบแล้วมันก็หน้ามืด ตามัว ชอบไปหมดล่ะค่ะ)

อยู่ Sevilla 4 วัน ไม่ได้ไป bus tour ได้แต่เดินสองขาต๊อกต๋อยๆๆๆ กะนั่งรถเมล์ไปทั่ว อ้อไปนั่งเรือด้วย ดูสะพานติดไฟตอนกลางคืนน่ะค่ะ

เดินๆ อยู่ 4 วัน เหนื่อยมากค่ะ บางที่ก็ยังไม่ได้ไป แต่ปอเป็นคนไม่บังคับตัวเองให้รีบๆๆไปดูให้คุ้มค่ะ (planning แย่มาก) จะค่อยๆ ดู พอใจกับอะไรก็ใช้เวลาดูกับมันให้เต็มที่ เพราะถือว่าเวลาที่เรากำลังดื่มด่ำ มีความสุข กับสิ่งหนึ่งๆ นี่สำคัญที่สุด จะวิ่งวุ่นไปไย

แล้วต้องเผื่อเวลาไปนั่งทอดหุ่ยตามคาเฟ่ คุยกะคนพื้นเมืองมั่ง สังเกตสังกาประชาชนมั่ง ขาดไม่ได้คือไปตลาด ไม่ก็ suppermarket แบบที่คนเขาไปกันน่ะค่ะ (อยากทำตัวกลมกลืน แต่หน้าไม่ให้ ฮือ ฮือ)

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่เล่าสู่กันฟัง ลำลึกความหลังเลยนะคะเนี่ย เห็นรูปแล้วอยากไปอีกค่ะ คิดถึง คิดถึง


โดย: ปอ (O_Sole_mio ) วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:23:32:30 น.  

 
เมนท์ต่อ บ้าไปแร้วววว

Plaza de espana นี่ อลังการดีนะคะ เห็นแล้วมันรู้สึกว่า "ว๊าว" สวยกว่า Plaza de espana ในมาดริดอีกค่ะ

เดินเล่นในสวน เจอไม้หลายอย่างคล้ายบ้านเรานะคะ เช่น พวก ทับทิม 55555 มะลิ ทำนองนี้อ่ะค่ะ อากาศก็ร้อนกำลังดี แห้งด้วย เหมือนอิสานมากๆๆๆ ปอเลยเกิดอาการ feel home มากๆ ค่ะ บ่อได้ไปขอนแก่น ไปสเปนกะยังดี 5555 เลยหลงรักสเปนมาตั้งแต่นั้น 555


โดย: ปอ (O_Sole_mio ) วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:23:45:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทับแก้ว
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ศิลปิน: เฉลียง
เพลง: หวาน
ชุด: ปรากฏการณ์ฝน
ปี: 2525



Friends' blogs
[Add คนทับแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.