1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
รหัสลับดาวินชี หนังสนุกที่ถูกวิจารณ์หนัก
22 พ.ค. 2549
เพิ่งได้ไปดูหนังเรื่อง รหัสลับดาวินชี หรือ The Davinci Code มาเมื่อวานนี้ครับ หลังจากที่ได้ทราบว่าหนังจะไม่ถูกตัดก็เลยตัดสินใจไปดู เป็นหนังที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียวครับ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เป็นเรื่องจับแพะชนแกะ ที่โยงเอาจินตนาการ ความเชื่อ การตีความส่วนบุคคล ผูกเข้ากับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้อย่างแนบเนียนดีทีเดียว (แต่คนที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์หรือคริสตศาสนามาอาจจะไม่เห็นว่าแนบเนียนตรงไหน) เห็นคนที่อ่านหนังสือแล้วบอกกันว่าหนังสือสนุกกว่าหนัง ก็ต้องรออ่านหนังสือซึ่งซื้อมาเป็นชาติแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาอ่านสักทีอีกทีหนึ่ง ที่ลืมเสียไม่ได้ ก็ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่กำหนดให้ต้องระบุคำเตือนทั้งก่อนและหลังการฉายภาพยนตร์ว่า หนังเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายซึ่งเป็นจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ หาใช่เรื่องจริงและสามารถนำไปอ้างอิงไม่ นี่ถ้าไม่ได้ข้อความเหล่านี้ ประกอบกับวุฒิภาวะของคนไทยทั้งประเทศในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ (โดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม) คนไทยทุกคนก็คงจะเชื่อหัวปักหัวปำกันไปแล้วว่าเรื่องราวในหนังคงจะเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ชอบดูหนังที่เล่นกับความเชื่อส่วนบุคคลแบบนี้อยู่เหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันท้าทายให้คิดและออกกำลังสมองดี ได้เห็นมุมมองของผู้สร้างหนังหรือผู้เขียนหนังสือที่คิดหรือตีความแตกต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่หรือความเชื่อเดิมๆ ที่สืบทอดกันมา หนังไทยที่เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งอย่าง 15 ค่ำ เดือน 11 หรือหนังที่จัดว่าเป็นหนังวิทยาศาสตร์ แต่ผมกลับมองว่าเป็นหนังประเภทที่นำเสนอมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของคนเราอย่างเช่น Contact , Missions to Mars หรือ Signs ที่ผมเคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว ก็เป็นหนังที่ชวนให้คิดที่ผมชอบเอามากๆ เรียกว่าดูซ้ำอีกกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะได้คิดตามและเกิดความคิดใหม่ๆ ทุกรอบที่ดู หนังสือที่จัดอยู่ในกลุ่มของเรื่องเขย่าขวัญอย่างหนังสือญี่ปุ่นชุด ริง , สไปรัล และ ลูป ก็เป็นหนังสือที่ผมคิดว่าจริงๆ แล้วน่าจะจัดเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า เพราะเป็นจินตนาการในเชิงชีววิทยาที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน รวมไปถึงกฎของเมนเดลโน่นเลยทีเดียว เพียงแต่ผู้แต่งเขียนให้เป็นเรื่องในแนวเขย่าขวัญ ใครที่ดูหนังเรื่อง The Ring ที่สร้างโดยฝรั่งนั้น ขอให้ทราบว่าเนื้อเรื่องต่างไปจากหนังสืออย่างคนละเรื่องเลยทีเดียว เคยได้ดูหนังที่ไม่ค่อยดังอย่าง Stigmata ที่กล่าวถึงการค้นพบแผ่นหนังที่จารึกข้อความที่ว่ากันว่าเป็นพระวัจนะของพระเยซู ที่หากเผยแพร่ออกไปแล้ว อาจจะลดทอนความสำคัญของคริสตจักรลงไป ผมว่าหนังเรื่องนี้ก็ทำได้สนุกดี เนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็คือ พระผู้ใหญ่ที่ค้นพบและต้องการเผยแพร่ข้อความนี้ถูกฆาตกรรมโดยพระผู้ใหญ่ด้วยกันในคริสตจักร เนื่องจากเกรงว่าคริสตจักรจะหมดความสำคัญลงไป วิญญาณของพระที่ต้องการเผยแพร่ข้อความก็เลยต้องหาวิธีสื่อสารและดึงความสนใจจากผู้คนบนโลกด้วยการสร้างเหตุการณ์ที่เรียกว่า "Stigmata" ขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้หมายถึง อาการที่จู่ๆ คนก็มีแผลห้าจุดเกิดขึ้นบนร่างกายตรงกับตำแหน่งแผลบนร่างของพระเยซูเมื่อทรงถูกตรึงกางเขนก็คือ ที่ข้อมือสองจุด (บ้างก็ว่าที่ฝ่ามือ) ที่ข้อเท้าสองจุด และที่สะโพกซึ่งถูกหอกแทงอีกหนึ่งจุด แผลทั้งห้าแห่งก็จะมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่แปลกก็คือ คนจะไม่เป็นอะไร ไม่เกิดอาการเลือดไหลจนหมดตัวหรือแม้กระทั่งร่างกายอ่อนแอลงไป ที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เลือดที่ออกมาจะมีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ และบางครั้งก็จะไม่หยดลงในทิศทางเดียวกับแรงโน้มถ่วงของโลกอีกด้วย ก็เป็นเรื่องลึกลับที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ที่ยังไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายกันได้ สำหรับคนที่อยากจะรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้ไปหมด (ยกเว้นเรื่องของชาวบ้านเขา) อย่างผม ผมชอบที่จะได้ยินเรื่องพวกนี้ และชอบที่จะฟังเหตุผลที่ผู้คนต่างพยายามศึกษาแล้วนำมาอธิบายกัน จริงๆ แล้วข้อความที่หนังจับมาเป็นประเด็นหลักที่ถึงกับจะต้องมีการฆาตกรรมกันก็ไม่ได้เป็นความเชื่อที่ขัดแย้งรุนแรงอะไรถึงขนาดนั้น ลองอ่านข้อความบนแผ่นหนังนั้นดูไหมครับ "The kingdom of God is inside you and all around you... Not in mansions made from wood and stone. Split a piece of wood and I am there. Lift a stone and you will find me...." แปลด้วยความเข้าใจของผมก็ประมาณนี้ "อาณาจักรแห่งพระเจ้านั้นอยู่ในตัวท่านและรอบๆ ตัวท่าน... ไม่ได้อยู่ในสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้และหิน. จงแกะชิ้นไม้ดูแล้วเราจะอยู่ที่นั่น. จงยกก้อนหินขึ้นแล้วท่านจะพบเรา..." เห็นไหมครับว่า เนื้อความก็ไม่ได้รุนแรงอะไรถึงขนาดจะต้องมีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้นในหมู่พระผู้ใหญ่ของคริสตจักร แต่หนังก็เป็นหนังล่ะครับ ก็ต้องทำให้มันดูเกินเลยไปเพื่ออรรถรสในการชม ในหนังเรื่อง รหัสลับดาวินชี ออกจะรุนแรงในความขัดแย้งของความเชื่อมากกว่าหนังเรื่อง Stigmata อยู่มาก เพราะไปเล่นกับความเชื่อในตัวตนของพระเยซูว่าทรงเป็นพระเจ้าหรือทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เป็นผู้นำสารจากพระเจ้านั่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่ตัวละครในเรื่องช่วยกันตีความภาพ อาหารค่ำมื้อสุดท้าย หรือ The Last Supper ของลีโอนาโด ดาวินชี นั้น ทำเอาผมอึ้งไปเลย ดูไปก็ต้องพึมพำกับตัวเองไปว่า "คิดไปถึงขนาดนั้นได้ยังไง (วะ)" ส่วนตัวผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับ เห็นว่าหนังก็คือหนัง เป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าคนบางกลุ่มอาจจะเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือแม้กระทั่งมีรักกับอิตถีเพศได้ แต่ถ้าเชื่ออย่างนั้นแล้ว ยังคงยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ ยังคงทำดีต่อสังคมและเพื่อนมนุษย์ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เหมือนกับที่ชาวพุทธบางส่วนมองเห็นพระพุทธเจ้าเป็นเทพเจ้า มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ในขณะที่บางส่วนก็มองพระพุทธเจ้าว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีสติปัญญาเหนือคนธรรมดา ที่สามารถมองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิตและธรรมชาติ แล้วก็เผยแผ่ความรู้ที่ค้นพบนั้นแก่คนทั่วไป ใครจะเชื่อแบบไหนก็เป็นสิทธิของคนนั้น ตราบใดที่ทุกคนยังคงทำความดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น และทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่สังคมบ้างตามกำลังและโอกาส จะเชื่ออย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทำร้ายกันหรือบังคับให้คนที่คิดต่างกันต้องหันมาเชื่อเหมือนกับเรา ผมเองยังเคยคิดเลยว่า บางทีเทพเจ้าต่างๆ ที่คนโบราณเชื่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคนกรีก คนอินเดีย คนจีน หรือคนป่าคนเถื่อนทั้งหลาย ที่จริงแล้วเกิดจากคนฉลาดบางคนที่อุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นๆ ลดความกลัวต่อความรุนแรงของปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือยิ่งไปกว่านั้น คนฉลาดพวกนั้นอาจจะอุปโลกน์เรื่องเทพเจ้าขึ้นมาเพื่อจะได้ปกครองคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น หรือบางที เทพเจ้าต่างๆ นั้นอาจจะมีอยู่จริงก็ได้ ใครจะไปรู้ หนังที่สร้างขึ้นมาท้าทายหรือสวนกระแสความเชื่อเก่าๆ ที่เชื่อสืบเนื่องกันมา ถ้ามองในแง่หนึ่งก็คงจะต้องมีการออกมาต่อต้านกันอย่างที่เห็น แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง หนังเหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่จะมาทำให้เราได้ออกกำลังสมอง ได้เห็นมุมมองหรือจินตนาการใหม่ๆ เป็นครั้งคราวไป เพียงแต่คนที่ดูหนังจะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองเชื่อ เชื่อมั่นในการทำความดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง และที่สำคัญ ต้องยอมรับในความแตกต่างของความคิดและความเชื่อของแต่ละคนให้ได้ เพราะนั่นคือเสน่ห์และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับทุกสิ่ง ก็เท่านั้นเองหมายเหตุ: มีประโยคหนึ่งในตอนท้ายของหนังที่ ศ.แลงดอน พูดกับ โซฟี ว่า "What matters is what you believe." ผมว่ามันคล้ายกับประโยคในหนังเรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 ที่หลวงพ่อท่านพูดว่า "เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ" เลยครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคนี้หรือเปล่า ตอนนี้คุณเก้งแกเลยถูกพิษหมากเตะเล่นงานเอา สงสารแกเหมือนกันครับ เพราะเชื่อในฝีมือการทำหนังของแกและทีมงานว่าแกคงไม่ทำอะไรให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อเพื่อนบ้านของเรามากมายนัก แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนบ้านเราเช่นกัน
Create Date : 22 พฤษภาคม 2549
31 comments
Last Update : 22 พฤษภาคม 2549 19:34:32 น.
Counter : 3419 Pageviews.
โดย: mungkood 22 พฤษภาคม 2549 19:11:32 น.
โดย: แป้งแดง 22 พฤษภาคม 2549 19:54:51 น.
โดย: กระจ้อน 22 พฤษภาคม 2549 19:55:00 น.
โดย: grappa 22 พฤษภาคม 2549 20:27:50 น.
โดย: Malee30 22 พฤษภาคม 2549 20:39:51 น.
โดย: ladybear 23 พฤษภาคม 2549 0:15:26 น.
โดย: กุมภีน 23 พฤษภาคม 2549 8:39:01 น.
โดย: ซออู้ 23 พฤษภาคม 2549 21:53:45 น.
โดย: คุณย่า 24 พฤษภาคม 2549 15:20:55 น.
โดย: erol 24 พฤษภาคม 2549 15:43:49 น.
โดย: กระจ้อน 24 พฤษภาคม 2549 16:47:12 น.
โดย: rebel 24 พฤษภาคม 2549 20:08:11 น.
โดย: โอปอ IP: 58.8.168.147 25 พฤษภาคม 2549 0:08:09 น.
โดย: Malee30 25 พฤษภาคม 2549 14:41:35 น.
โดย: ซออู้ 27 พฤษภาคม 2549 11:01:49 น.
โดย: Cowboystoon (Cowboystoon ) 27 พฤษภาคม 2549 16:54:19 น.
โดย: Blomster_DK (Blomster_DK ) 29 พฤษภาคม 2549 5:30:59 น.
โดย: yyswim 1 มิถุนายน 2549 11:07:55 น.
โดย: ซออู้ 1 มิถุนายน 2549 20:34:02 น.
โดย: คนเลว IP: 61.7.171.69 4 มกราคม 2551 14:05:17 น.
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
เอ่อ ว่างแล้วเหรอคะ