|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เล่นตามกฎก่อน แล้วค่อยแก้ทีหลัง
27 มี.ค. 2551
กำลังเป็นกระแสถกกันอยู่ว่า ควรแก้หรือไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญ
โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบ รธน. ฉบับนี้มาตั้งแต่แรก เพราะทำให้การเมืองไม่แข็งแรง ที่เห็นชัดเจน คือ วิธีการเลือกตั้ง สส. ที่ให้เลือกเป็นรายบุคคลแทนที่จะเป็นการเลือกแบบยกพรรค
ที่ไม่ชอบอย่างยิ่ง คือ การให้อำนาจอย่างมากมายแก่หน่วยงานที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชนเลย อย่างเช่น องค์กรอิสระต่างๆ สว. จากการแต่งตั้ง คณะกรรมการที่ทำหน้าที่แต่งตั้ง สว. เป็นต้น
ผมมองว่าถ้าพรรคการเมืองเข้มแข็ง การเมืองภาคประชาชนก็จะเข้มแข็งตาม ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลที่ตรงไปตรงมา เพราะอย่างไรเสีย นักการเมืองนั้นต้องได้รับเลือกมาจากประชาชน นักการเมืองต้องอาศัยประชาชนเป็นที่พิงหลัง ถ้าทำอะไรไม่ดี ประชาชนสามารถเขี่ยเขาออกไปได้ตลอดเวลา จะดีจะชั่วอย่างไร เขาก็ยังต้องเกรงใจเราๆ ท่านๆ อยู่บ้าง (ถึงจะน้อยมากก็เถอะ)
นี่เป็นกรอบความคิดอันแรกที่ผมตั้งไว้ในใจก่อนจะคิดเรื่องควรแก้หรือไม่ควรแก้ รธน.
กรอบความคิดอีกอันหนึ่งที่ตั้งเอาไว้ คือ สถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายทุกวันนี้ เป็นการงัดข้อกันระหว่างอำนาจสองกลุ่ม
กลุ่มแรก คือ กลุ่มนักการเมืองและนายทุนรุ่นใหม่
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ทำตัวลอยอยู่เหนือกติกา เป็นกลุ่มขุนนาง ข้าราชการ นายทุนรุ่นเก่า นายทุนกลุ่มที่ขัดกับกลุ่มแรก รวมไปถึงพรรคการเมืองภาคนิยมที่ดูถูกคนในภาคอื่นว่าโง่จนต้องเป็นฝ่ายค้านชั่วนาตาปี สื่อมวลชน และนักวิชาการบางกลุ่ม
ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ได้รับข้อมูลข่าวสารและคำโฆษณาชวนเชื่อจากทั้งสองฝ่าย จนสับสนไปหมดว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ใครโกหก ใครจริงใจ
ผมเชื่อว่ามีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆ คนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นไม่มีทางรู้ได้ ทำได้แต่เพียงมองจากภายนอกและรับรู้ข้อมูลอย่างผิวเผินเท่านั้น
รวมทั้งผมที่กำลังเขียนอยู่นี้ด้วย
แต่ในเมื่อคนสองกลุ่มนี้ทำอะไรลงไป ย่อมกระทบต่อเราๆ ท่านๆ ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ไม่คิด ไม่สนใจ คงไม่ได้
นักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองทั้งสิ้น ไม่มีใครหวังดีต่อบ้านเมืองจริงเลยสักคน ซึ่งก็ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย คนกลุ่มที่สองจึงอาศัยเรื่องนี้โจมตีคนกลุ่มแรกและดำรงสถานะอยู่ในสังคมได้เสมอมา
แต่เราต้องไม่ลืมว่า คนกลุ่มที่สองนั้นลอยอยู่เหนือการเมืองและกติกา และไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรงเหมือนกับคนกลุ่มแรก ยิ่งคนกลุ่มที่อยู่นอกกติกามีอำนาจมากเท่าไร พรรคการเมืองและประชาชนก็จะยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น อ่อนแอจนไม่สามารถทำอะไรกับบ้านเมืองของตัวเองได้เลย
ขอให้ท่านลองมองมุมนี้ดูบ้าง และเฝ้าติดตามดูให้ดี
ผมตั้งกรอบความคิดของผมเอาไว้อย่างนี้แล้ว จึงค่อยคิดต่อไปว่า แล้วควรจะแก้ รธน. หรือไม่
ท่านที่ไม่เห็นด้วยกับผมจนถึงบรรทัดนี้ กรุณาอย่าอ่านต่อ เดี๋ยวจะทะเลาะกันเสียเปล่าๆ
แต่หากยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ ก็เชิญอ่านต่อเถิดครับ จะได้ถกกัน ปัญญาจะได้เกิดแก่ทั้งตัวท่านและตัวผม โดยเฉพาะตัวผม เพราะสิ่งที่ผมคิดอาจจะผิดทั้งหมดเลยก็เป็นได้ และผมอยากได้ผู้รู้มาชี้แนะเหมือนกัน
ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่า ผมเขียนยาวพอสมควร (ที่จริงต้องบอกว่ายาวมาก...)
ประเด็นที่ผมอยากคิดออกมาเป็นตัวหนังสือ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า ทำไมจึงรีบร้อนอยากแก้กันนัก และทำไมจึงพูดกันถึงเฉพาะมาตราที่เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องตัวเอง
เพราะเรื่องนั้นมันชัดเจนอยู่แล้วว่าทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองแน่นอน ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ผมไม่ได้มีความเห็นค้านแต่อย่างใด เพราะมันไปตรงกับความคิดของผมที่ไม่ชอบ รธน. ฉบับนี้มาตั้งแต่แรก และสิ่งที่จะแก้ก็เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่ามันควรจะต้องแก้จริงๆ ไม่เช่นนั้น คนกลุ่มที่สองจะมีอำนาจมากเหลือเกิน
ประเด็นที่ผมติดใจมีอยู่สองประเด็น
ประเด็นแรก คือ รธน. ฉบับนี้เพิ่งใช้งานมาไม่นาน ยังไม่สมควรแก้
ประเด็นที่สอง คือ ถ้าไม่ชอบ รธน. ฉบับนี้ แล้วมาลงเลือกตั้งกันทำไมตั้งแต่แรก
ประเด็นแรก ผมคิดของผมง่ายๆ ว่า ถ้าของมันห่วย ใช้แล้วไม่ดี ต้องเปลี่ยนหรือต้องซ่อมทันที ไม่ใช่ทนใช้ไปก่อน
สมมติว่าท่านออกรถป้ายแดงมา ขับแล้วปรากฏว่ารถร่อนไปมาเพราะศูนย์ไม่ดี แอร์ก็เสีย เบรคก็มีเสียงดัง ระดับน้ำในหม้อน้ำก็ลดเร็วผิดปกติ แล้วญาติพี่น้องท่านบอกว่า ทนใช้ไปก่อนเถอะ เพราะรถยังใหม่อยู่เลย เพิ่งถอยออกมา ใช้ไปสักพักก่อนแล้วค่อยซ่อม
ท่านควรจะเชื่อญาติของท่านหรือไม่
ถ้าเป็นผม ผมคงไม่รอให้เกิดอุบัติเหตุเสียก่อนหรอกครับ
หลายคนที่ไปลงประชามติรับร่าง รธน. ฉบับนี้ ด้วยความคิดที่ว่า รับๆ ไปก่อน จะได้เลือกตั้งกัน บัดนี้ท่านน่าจะมองเห็นแล้วว่าท่านถูกหลอก และคนกลุ่มที่ลอยตัวอยู่เหนือกติกาก็ได้ใช้ท่านเป็นข้ออ้างในความชอบธรรมของ รธน. บิดเบี้ยวฉบับนี้เรียบร้อยแล้ว
ประเด็นที่สอง กล่าวเป็นทำนองว่า หากไม่ชอบกติกา แล้วลงไปเล่นทำไม
ประเด็นนี้มีหลายตัวอย่างที่ยกมาคุยกันได้
ตัวอย่างแรก สมมติว่าผมเป็นนักเรียน กำลังจะสอบเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ผมไม่ชอบวิธีสอบ O-NET A-NET ผมชอบวิธีสอบวัดผลครั้งเดียวแบบสมัยก่อน
ถามว่า ผมสามารถไปร้องขอให้เขาเปลี่ยนกติกาให้ผมได้หรือไม่ หรือผมควรจะรอจนกว่ากติกาจะเป็นไปอย่างที่ผมชอบเสียก่อนจึงค่อยมาสอบ แล้วชาตินี้ผมจะเอาวุฒิการศึกษาที่ไหนไปใช้ทำมาหากิน
ตัวอย่างที่สอง สมมติว่าผมเป็นนักฟุตบอล ผมอยากให้นำภาพช้ามาช่วยในการตัดสิน เพราะสายตาของกรรมการซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาอาจมองไม่ทันในทุกจังหวะ บางครั้งลูกฟุตบอลข้ามเส้นไปแล้วแต่ผมกลับไม่ได้ประตู บางครั้งผมไม่ได้ล้ำหน้าแต่ผู้กำกับเส้นกลับยกธง แต่ฟีฟ่าไม่สนับสนุนให้นำภาพช้ามาช่วยในการตัดสิน เหตุผลหนึ่งคือ ไม่อยากให้เกมสะดุด อีกเหตุผลหนึ่งคือ ความผิดพลาดของมนุษย์เป็นเสน่ห์ของเกมฟุตบอล
(เรื่องนี้มีบางกระแสบอกว่า วงการฟุตบอลและวงการพนันนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น หากเปิดช่องไว้ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้จากการตัดสินของกรรมการแบบนี้ จะเอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองวงการมากกว่า การทำให้การตัดสินยุติธรรมมากขึ้นจึงยังเกิดขึ้นไม่ได้)
ถามว่า ผมควรจะเลิกเล่นฟุตบอลไปจนกว่าเขาจะนำเอาภาพช้ามาช่วยในการตัดสินหรือไม่ หรือควรจะก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลหาเงินเลี้ยงชีพต่อไป เล่นให้เก่ง ให้มีชื่อเสียงมากๆ อย่าง มิเชล พลาตินี หรือ ฟรานส์ เบคเคนบาวเออร์ แล้วค่อยหาทางเข้าไปนั่งเป็นประธานฟีฟ่าให้ได้ จากนั้นค่อยแก้กติกาใหม่ให้เกมฟุตบอลมีความยุติธรรมมากขึ้น
บางครั้ง คนเราก็ต้องเล่นตามกติกาถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่ามันมีข้อบกพร่อง เมื่อมีโอกาส จึงค่อยหาช่องทางที่จะแก้ไขให้กติกานั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่สามเป็นเรื่องของผมเอง เป็นเรื่องจริง ดังนั้นจึงไม่ต้องสมมติ
ที่ภาควิชาพลังงาน ในสถาบันที่ผมกำลังศึกษาอยู่ นักศึกษาระดับปริญญาเอกต้องลงเรียนวิชาที่เรียนในห้องเรียนอย่างที่เรียกกันว่า คอร์สเวิร์ค หลายหน่วยกิต ปีที่ผมเข้าเป็นปีแรกที่ภาควิชาเพิ่มคอร์สเวิร์คจาก 18 หน่วยกิต เป็น 24 หน่วยกิต คิดแล้วก็ตกประมาณ 9 วิชา (เพราะมีทั้งวิชาที่มี 2 และ 3 หน่วยกิต) ที่ต้องลงเรียนภายใน 2 ภาคการศึกษา
ผมเห็นหลักสูตรแล้วผมก็ไม่ชอบใจ เพราะเห็นว่ามันมากเกินเหตุ การเรียนในระดับ ป. เอก ควรเน้นไปที่การค้นคว้าวิจัย ไม่ใช่เน้นการเรียนในห้องเรียนหนักขนาดนี้ บางวิชาที่จำเป็นต่อการทำวิจัยอย่างเช่น คณิตศาสตร์ขั้นสูง วิทยาศาสตร์เชิงลึก หรือการออกแบบวิธีทดลองนั้น อาจจำเป็นต้องเรียนเพิ่มในห้องเรียน แต่ก็ไม่น่าจะเกิน 4 ถึง 6 วิชา ไม่ใช่ 9 วิชาอย่างที่เป็นอยู่
เทียบกับเมื่อตอนเรียน ป. โท ที่เมืองฝรั่ง ผมเรียนคอร์สเวิร์ค 7 วิชา 21 หน่วยกิต ภายใน 3 ภาคการศึกษา
ผมจึงเห็นว่าที่นี่เรียนคอร์สเวิร์คกันหนักเกินไป
แล้วผมควรจะทำอย่างไร ประท้วง ยื่นหนังสือร้องเรียน หาที่เรียนใหม่ที่เข้มข้นน้อยกว่า...
ถ้าผมเลือกทางเลือกเหล่านั้น มันจะมีช่องโหว่อยู่ช่องหนึ่งที่ผมจะถูกโจมตีได้ คือ เขาจะปรามาสเอาได้ว่า ก็เพราะผมไม่เก่งจริงน่ะสิ ถึงได้รำไม่ดีโทษปี่โทษกลองอย่างนี้ คนอื่นเขาไม่เห็นโวยวายอะไร
สิ่งที่ผมเลือกทำ คือ ผมตั้งใจเรียนตามกติกาที่ผมไม่เห็นด้วยนี้อย่างเต็มที่ เพื่อตัดประเด็นเรื่องความสามารถของตัวเองออกไป
ผลลัพธ์คือ ผมได้ เอ ทุกวิชาที่ผมลงเรียน
จากนั้น ผมก็เขียนหนังสือแสดงความคิดเห็นต่อจำนวนหน่วยกิตของคอร์สเวิร์คที่มากเกินไปนี้ ส่งถึงคณบดีที่ดูแลภาควิชา
ปีต่อมา ภาควิชาได้ลดจำนวนหน่วยกิตของคอร์สเวิร์คลงเหลือ 18 หน่วยกิตตามเดิม
ผมไม่แน่ใจว่าความคิดเห็นของผมมีน้ำหนักต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน หรือมีนักศึกษาคนอื่นที่ร้องเรียนแบบผมอีกสักกี่คน แต่ผมถือว่าผมสามารถวิจารณ์กติกาได้อย่างชอบธรรม เพราะผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมเล่นตามกติกานั้นแล้วผมก็สามารถเอาชนะได้ ความสามารถของผมมีมากพอที่จะวิจารณ์กติกานั้นได้อย่างเต็มปาก
กลับมาที่เรื่องเดิม คือ ถ้าเห็นว่า รธน. ฉบับนี้ไม่ดี แล้วมาลงเลือกตั้งทำไม
ผมมองในมุมของผมว่า ถึงไม่ชอบ แต่มันไม่มีทางเลือก ต้องเล่นตามกติกาไปก่อน ทั้งที่รู้ว่ากติกามันบิดเบี้ยว (แถมกรรมการตัดสินทั้งหมดยังอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเสียอีก)
สิ่งสำคัญคือ ต้องเล่นให้ชนะ เพื่อให้สามารถกลับมาแก้กติกาให้บิดเบี้ยวน้อยลงทีหลังได้อย่างชอบธรรม
ต้องยอมรับความจริงว่า จะให้แก้โดยไม่เอื้อประโยชน์ส่วนตนเลยคงไม่ได้ เพราะนักการเมืองอย่างไรก็ยังคงเป็นนักการเมืองอยู่วันยังค่ำ
เพียงแต่ตอนนี้ คนกลุ่มที่ต้องระวังมากกว่าคือ คนกลุ่มที่ลอยตัวอยู่เหนือกติกาต่างหาก เพราะเขาไม่ได้มีอะไรยึดโยงกับประชาชนเลย เขาทำอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจประชาชน ถ้าเขาทำผิด เราๆ ท่านๆ จะไปลงโทษเขาได้อย่างไร จะไปเข้าชื่อถอดถอนก็ไม่ได้ จะไม่ไปลงคะแนนเลือกเขาเข้าสภาอีกก็ไม่ได้
ถ้าเนื้อหาของ รธน. ยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ คนกลุ่มนี้จะมีอำนาจมากเกินไป ซึ่งผมคิดว่าอันตรายกว่าคนกลุ่มที่เรายังพอมีสิทธิ์เลือก
ขณะที่เขียนรำพึงรำพันอยู่นี้ ในใจก็สำเหนียกอยู่ตลอดเวลาว่าคงจะทำได้แค่บ่น และแสดงความคิดเห็นในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของประเทศ จากนั้น ก็คงต้องนั่งมองตาปริบๆ ติดตามเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่มนี้ต่อไปโดยมีประเทศชาติเป็นเดิมพัน
อีกอย่างหนึ่งที่อาจยังพอทำได้และได้ทำก่อนนอนอยู่ทุกคืน คือ สวดมนตร์ภาวนาให้คนทั้งสองกลุ่ม หากจะคิดตัดสินใจทำอะไรลงไป ขอให้นึกถึงประชาชนและประเทศชาติเอาไว้ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของที่อ้างกันก็ยังดี...
Create Date : 27 มีนาคม 2551 |
|
11 comments |
Last Update : 28 มีนาคม 2551 8:00:15 น. |
Counter : 1105 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: JewNid 27 มีนาคม 2551 15:22:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 27 มีนาคม 2551 22:30:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 28 มีนาคม 2551 19:48:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 29 มีนาคม 2551 7:00:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: Yugo 1 เมษายน 2551 0:04:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 1 เมษายน 2551 6:21:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: อมิตพุทธ IP: 202.176.81.8 14 พฤศจิกายน 2556 9:35:48 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
เพราะว่าให้ติดตามมากๆ เกิดความรู้สึกว่า
"เอ่อ แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป "
เพราะมันจะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป อยากให้มัน จบ อยากให้มันเปลี่ยน แต่เมื่อไหร่ล่ะคะ ...
เป็นพวกอยากเห็นสังคมและส่วนรวมดีขึ้นจริงๆ
เพราะเห็นเรื่องราวหนักหนาแบบนี้ทีไร เป็นได้คิดว่า
แล้วเมื่อก่อนเราทำไมอยู่กันด้วยความสงบสุขได้
แล้วทำไม "ตอนนี้ล่ะมันถึงเป็นไปไม่ได้เหมือนเดิมหนอ"