"The single best way to grow a better brain is through challenging problem solving." - Eric Jensen (1998), Teaching with the Brain in Mind
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

คุยเรื่อยเปื่อย ธ.ค. 2548

เมื่อเช้าเพิ่งได้เห็นภาพที่นักวิ่งฟิลิปปินส์ วิ่งเบียดบังทาง บุญถึง ศรีสังข์ ก่อนเข้าเส้นชัยในการวิ่ง 5,000 เมตร ในกีฬาซีเกมส์ (ซีโกง) ที่ฟิลิปปินส์

เห็นแล้วก็ให้นึกอนาถใจว่า คนเราเวลาอยากได้อะไรก็ทำได้ทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นสิ่งเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ดีที่ว่ามันน่าเกลียดจนกระทั่งเจ้าภาพต้องยอมรับคำประท้วงของไทย ทำให้ บุญถึง ได้เหรียญทองตามที่ควรจะได้ ถ้าภาพมันไม่ชัดเจนขนาดนี้ ให้ตายผมก็ว่าเจ้าภาพไม่ยอมหรอกครับ

เป็นอย่างนี้ทุกครั้งกับซีเกมส์ ใครเป็นเจ้าภาพก็โกงทั้งนั้น ใครจะโกงแบบหน้าด้านกว่ากันก็เท่านั้นเอง ถ้าจะให้จัดอันดับ ผมว่าฟิลิปปินส์มาเป็นที่หนึ่ง ตามมาด้วยมาเลเซียและอินโดนิเซีย แต่ช่วงหลังๆ นี้อินโดนิเซียตกไปเยอะ เพราะสถานการณ์ในประเทศไม่ค่อยเรียบร้อย มีเวียดนามที่ขยับขึ้นมาแทนที่จากการสังเกตซีเกมส์เมื่อคราวที่แล้วที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ

ไทยมาเป็นอันดับท้ายๆ อย่างไม่ได้ชาตินิยมเกินสมควรเลย ให้สังเกตจำนวนเหรียญทองที่แต่ละชาติได้เวลาที่ไทยเป็นเจ้าภาพ กับตอนที่ประเทศเป็นกลางอย่างบรูไนเป็นเจ้าภาพ ภาพรวมจะไม่ต่างกันมาก ความได้เปรียบในฐานะเจ้าภาพต้องมีแน่ อย่างสนามแข่งที่มีโอกาสได้เข้าไปซ้อมก่อน หรือกีฬาที่มีการให้คะแนนอย่างมวยหรือยิมนาสติก ถ้าสูสีกันมาก เจ้าภาพก็ต้องได้เปรียบเป็นธรรมดา (ไม่อย่างนั้นจะเป็นเจ้าภาพไปทำอะไร ถ้าเป็นแล้วต้องเสียเปรียบ) แต่ถ้าน่าเกลียดเกินไปก็ไม่ไหวเหมือนกัน

ยุติธรรมที่สุดก็คงต้องไปแข่งกันที่บรูไนที่เดียว เพราะเขาไม่มีลุ้นเจ้าเหรียญทองแต่อย่างใด เงินก็มีพอที่จะจัดงานได้อย่างเรียบร้อย (ไม่เหมือนครั้งนี้ที่ไม่พร้อมสักอย่าง)

สาเหตุหนึ่งที่ต้องโกงกัน ผมว่าเป็นเรื่องการเมืองของประเทศด้วย ฝ่ายบริหารฟิลิปปินส์กำลังมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องคอรัปชั่น (ซึ่งมีตลอดมา และคงมีตลอดไป เคียงข้างกับประเทศไทยของเรา...) อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องสภาพเศรษฐกิจและชนกลุ่มน้อยในประเทศอีก การเบี่ยงเบนความอัดอั้นของประชาชนให้ไประบายออกที่ความเป็นเจ้าเหรียญทองก็ดูจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริหารประเทศ

ผมคงเลือกดูเฉพาะกีฬาที่ไม่ต้องพึ่งกรรมการมากเป็นหลักล่ะครับ นอกนั้นก็ทำใจยกเหรียญทองให้เขาไป อยากได้นัก คราวหน้าก็เขียนมาเลยว่าจะเอากี่เหรียญ แล้วก็ไม่ต้องแข่ง แข่งกันไปให้อารมณ์เสียเปล่าๆ

ถึงกระนั้นก็เถอะ บางประเภทที่ไม่น่าจะโกงกันได้ก็ยังโกงได้เลย อย่างฟันดาบที่ใช้ระบบไฟฟ้าจับว่าใครฟันโดนใครก่อน ก็ยังโกงกันได้ หรือกีฬาอย่างตะกร้อลอดห่วงที่เห็นกันจะๆ ก็ยังโกงด้วยการเริ่มจับเวลาเร็วช้ากว่ากันบ้าง อ้างเรื่องนาฬิกาเสียบ้าง

ดูไปทำใจไปครับ ถือว่าได้ดูปาหี่ทุกๆ 2 ปี เอาไว้เป็นหัวข้อในการสนทนากัน




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2548
21 comments
Last Update : 17 ธันวาคม 2548 12:20:49 น.
Counter : 1153 Pageviews.

 

ดูจากข่าวแล้วเบื่อเลยนะคะ

ได้เปรียบน่ะเข้าใจ

ทุกชาติเวลาจัดก็ย่อมได้เปรียบ

แต่ที่นี่ เหลือเกิน

ดูจากภาพข่าวแล้วหงุดหงิด

ไม่อยากดูอะไรสักประเภทเดียว

 

โดย: Batgirl 2001 1 ธันวาคม 2548 13:47:29 น.  

 

อืมมม...นับวันยิ่งถอยหลังเข้าคลองผมว่านะ..สำหรับซีเกมส์
แทนที่จะมุ่งพัฒนามาตรฐานการกีฬาให้ก้าวหน้ากว่าแค่การเป็นเจ้าเหรียญทองแค่ในระดับ SEA ...

 

โดย: คนวังท่าพระ-ตลิ่งชัน (กุมภีน ) 1 ธันวาคม 2548 15:29:59 น.  

 

พี่กุมฯอ่ะ จะเข้ามาใช้ชื่อนี้ซะหน่อยมาก่อนซะงั้น วัยรุ่นเซ็งนะพี่ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราเปลี่ยนก็ได้....
อ้อ...ลืม แวะมาทักทายคนร่วมสถาบันครับ(มั๊ง)

 

โดย: คนท่าพระ วังหลวง หน้าพระลาน ศิริราช ท่าพระจันทร์ พระอาทิตย์ (tongdigy ) 1 ธันวาคม 2548 17:59:17 น.  

 

ตอนนี้ดูกีฬาแล้วต้องทำใจครับ ทั้งภราดร และซีเกมส์ ตอนนี้ปลงแล้ว กำลังหาวัดอยู่

 

โดย: BigNose (BigNose ) 1 ธันวาคม 2548 22:46:19 น.  

 

คน มศก. เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

ผมมาอยู่ที่นี่ก็ตอนมาทำงานนี่แหละ ก่อนหน้านี้ก็เรียนในบางกอก แต่ชีวิตก็วนเวียนอยู่แถวๆ นครปฐม ราชบุรี อยู่ตลอด (เข้าใจว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์บวกกับพรหมลิขิต)

ไม่อยากเป็นคนกรุงเต็มตัวสักเท่าไร ขอเป็นชานๆ เมืองแบบนี้ดีกว่า จะได้มีมุมสงบบ้างยามต้องการ
__________________________________________

มาเพิ่มเติมเรื่องประท้วงวิ่ง 5,000 เมตร เพิ่งฟัง FM 99 มาเมื่อตอนเย็น เพิ่งรู้ว่าใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง!!!

แถมคณะกรรมการตัดสิน 5 ชาติ อันประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนิเซีย ซึ่งไทยและฟิลิปปินส์ต้องไม่ร่วมด้วยเพราะเป็นคู่กรณี ก็เหลือ 3 ชาติ ปรากฏว่า คะแนนเสียงของคณะกรรมการไม่เป็นเอกฉันท์ครับท่านผู้ชม!!!

มันกล้าให้ 2:1 เสียงครับ

อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้ 1 เสียงนี่มันใคร (วะ)

ไปตัดแว่นท็อปเจริญแล้วเอาเสื้อแจ็คเก็ตไปใส่สักตัวนะพ่อ...

 

โดย: คนทับแก้ว 1 ธันวาคม 2548 23:18:47 น.  

 

เหอเหอ นั่นดิ ทำไม ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ทราบนะครับ เจ้าภาพต้องชนะเนี่ย มันน่าเกลียดจริง ๆ ปรัชญาเพี้ยน ๆ แบบนี้ น่ากลัวจริง ๆ

 

โดย: POL_US 2 ธันวาคม 2548 15:47:09 น.  

 

ดูวิ่งจากทีวีเหมือนกัน ยังนึกโกรธเจ้าภาพเลย ทำไปได้อย่างไม่อาย

 

โดย: ซออู้ 2 ธันวาคม 2548 18:22:58 น.  

 

"ถ่ายรูปบนเรือมากๆ ระวังโทรศัพท์จะตกน้ำนะครับ...

เห็นบอกไว้ใน profile ว่า อยากเที่ยวแต่ไม่ค่อยได้เที่ยว

ท่าจะไม่จริงแฮะ...

ปล. ตกลงเราคนฝั่งธนฯ เหมือนกันนะเนี่ย"

ดีใจจังที่เจอคนฝั่งธน อาจารย์อยู่แถวไหนหรือคะ นี่เดี๋ยวจะเข้า กทม. 3 วัน เที่ยวอีกแล้ว เปล่าหรอกค่ะ กลับบ้าน เพราะไม่ได้ย้ายสำมะโนครัว แล้วตอนกลับนี่แหละค่ะเลยเที่ยวหาเรื่องมาเขียน ก็ตอนนี้ไม่มีงานอื่นอีกเลย เจ้านายให้สอนอย่างเดียว แล้วสอนบางชั่วโมง บางวันว่างก็เลยหาทางเที่ยว หาเรื่องมาฝากเพื่อน ๆ ตอนนี้เลยไม่เหงาค่ะ มีเพื่อนหลายคนที่นี่ ชีวิตมีความสุขขึ้น เพราอาจารย์ให้แง่คิดไว้น่ะค่ะ ไม่เคยลืมเลย ขอบคุณค่ะที่ไปเยี่ยม

 

โดย: ซออู้ 2 ธันวาคม 2548 18:23:48 น.  

 

ผมอยู่แถวๆ หนองแขมครับ แถวๆ ม.เอเซียฯ (แต่ตัวเองไปสอนที่ทับแก้ว เพราะไม่รู้จักใครที่นี่)

เมื่อก่อนก็อยู่แถวๆ ฟิวเจอร์ฯ บางแค ช่วงที่ฟิวเจอร์ฯ เปิดใหม่ๆ แล้วมีโรงหนัง เป็นช่วงมีความสุขมากๆ เลยครับ อยากดูหนังเมื่อไรก็ข้ามถนนไปดู มีความสุขจริงๆ

 

โดย: คนทับแก้ว 3 ธันวาคม 2548 17:49:21 น.  

 

ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากการที่นายกฯ ได้ออกมาพูดเตือนสติทางฟิลิปปินส์ไป ตามมาด้วยหมอสุรพงษ์ (ซึ่งพูดได้ถูกใจผมจริงๆ) ก็เลยทำให้การให้คะแนนในรอบชิงฯ ของมวยซีเกมส์ออกมาอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะว่าไปแล้ว ออกมาในลักษณะที่ค่อนข้างจะเข้าข้างไทยเลยทีเดียว

หรือเป็นเพราะมีผู้ใหญ่บางท่านเข้าไปเตือนๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ของสมาคมมวยสมัครเล่นฯ หรือผู้ใหญ่ในคณะมนตรีซีเกมส์ จึงทำให้การตัดสินออกมาแบบไม่เข้าข้างเจ้าภาพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใด ออกมาแบบนี้ก็ดีแล้วครับ

ยิ่งตามมาด้วยฟุตบอลที่สามารถเอาชนะเวียดนามได้อย่างสวยงาม ทั้งๆ ที่นักเตะไทยต้องสู้กับบอลผสมกังฟูของนักเตะเหงียนด้วยแล้ว ก็ต้องยกนิ้วให้จิตใจของทีมฟุตบอลชาติไทยยุคเมดอินไทยแลนด์ 100% ล่ะครับ ใจผมอยากให้เราเอาคืนในช่วงท้ายๆ เหมือนกัน เพราะกรรมการปล่อยให้มีกังฟูมากเกินไป แถมยังไม่มีการให้ใบเหลืองแต่อย่างใด แต่สุดท้ายนักเตะเราก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็ดีแล้วครับ

__________________________________________

วันนี้ผมมีบทความจาก นสพ.เดลินิวส์ มาฝากครับ ลองอ่านกันดู ผมมีความรู้สึกเดียวกับผู้เขียนทุกประการ มีบุญคุณความแค้นส่วนตัวกันอย่างไร ก็ต้องเอาบ้านเมืองมาก่อนครับ เมื่อไรเราถึงจะมองส่วนรวมเป็นหลักกันสักทีก็ไม่รู้นะ บ้านนี้เมืองนี้

//www.dailynews.co.th/col/col.asp?columnid=15046

 

โดย: คนทับแก้ว 5 ธันวาคม 2548 15:31:58 น.  

 

บทความ เรื่อง รักพ่อ
คอลัมน์ กระจกบานเล็ก โดย แมงเม่า
จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2548

บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ ลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองซึ่งล้วนมีความสุขความสามัคคีเป็นที่ชื่นชมในมวลหมู่เพื่อนบ้าน เพราะบ้านเรามี “พ่อ” เป็นหัวหน้าครอบครัวที่วิเศษสุด พ่อให้ทั้งความรักความเมตตา ความห่วงใยเมื่อลูกๆเป็นทุกข์และให้คำแนะนำมีคุณค่าตลอดมา ให้กำลังใจและการสนับสนุนเมื่อลูกหลานกระทำในสิ่งที่ดีที่เหมาะที่ควร

พวกเราฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามมาได้มากมาย แม้บางครั้งหลงทางอยู่ในที่มืดด้วยไฟที่พ่อส่องทางให้

ลูกๆล้วนสำนึกในพระคุณพ่อ พูดได้อย่างมั่นใจทุกคนพร้อมสละได้ทุกอย่างแม้ชีวิต เพื่อปกป้องพ่อ และทุกคนก็ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะมุ่งมั่นทำความดี ให้พ่อมีความสุข

มาตอนหลังเกิดอะไรแปลกๆ ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน

คือมีลูก 2 คนอดีตเคยผูกพันกันแน่นแฟ้น ต่างรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังประมาณว่ารู้กำพืดกันลึกซึ้ง เพราะอะไรไม่ทราบเกิดแตกคอกัน คนหนึ่งมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในบ้านสูงขณะที่อีกคนงานหลักคอยเฝ้าบ้านดูแลใครเข้าใครออก ใครมาทำไม่ดีกับคนในบ้านก็จะตะโกนเตือน

เรื่องราวขัดแย้งขยายวงมากขึ้น เพราะผู้เป็นเป้าของการตะโกนเตือนได้แก่ลูกผู้มีอำนาจ ทำนองว่าใช้อำนาจเอื้อแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้อง

หากเพียงนี้ก็ขอบคุณ เพราะบ้านเป็นของพวกเราทุกคนต้องหวงแหนไม่ยินยอมให้ใครมาปู้ยี่ปู้ยำไม่ว่าจะอ้างอำนาจลูกบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ถูกต้องไม่ควรก็ตักเตือนว่ากล่าวกัน

ตอนนี้พวกเราที่เฝ้าดู “รัก” กลายเป็น “เกลียด” ของคู่กัดคู่นี้ก็ไม่สบายใจมากขึ้น เนื่องจากลูกอีกคนตั้งใจเหลือเกินที่จะโยงไปถึง “พ่อ” ผู้อยู่สูงกว่าความขัดแย้งระหว่างคน 2 คน ถึงขนาดกล่าวหาว่าคนหนึ่งละเมิดอำนาจพ่อ เรียกร้องให้คืนอำนาจในบ้านทั้งหมดให้พ่อแต่เพียงผู้เดียว

แรกๆก็แค่ทะเลาะเสียงขรม หนักเข้าก็เริ่มรำกำปั้นเข้าใส่กันแบบลุแต่สติ

ลูกหลานที่เหลือเริ่มแบ่งเป็นกลุ่มๆ แม้กลุ่มใหญ่ 90% ทำตัวนิ่งและรับฟังด้วยใจเป็นกลางเป็นธรรม บางกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์จากการดูแลกิจการบ้านของลูกผู้มีอำนาจก็เอนเอียงไปเข้ากับอีกฝ่าย มีการระดมคนมาช่วยเพื่อประกาศเจตนาว่าข้าก็ใหญ่ ยิ่งอีกฝ่ายพูดเป็นเชิงดูถูกไม่เท่าไหร่ก็ยิ่งทุ่มเทมากขึ้นที่จะระดมกำลังที่อยู่อีกขั้วมาสำทับ

เช่นเคย พยายามอ้าง “พ่อ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนกระทั่งพี่คนโตในบ้านทนไม่ไหวออกมาเตือนมาให้สติ รักพ่อเคารพพ่อไม่ควรโยงพ่อไปในพื้นที่อันไม่พึงควร

ด้วยการตั้งป้อมทำ “สงครามอัตตา” โดยไม่นึกถึงความเสียหายตามมา ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วความสามัคคีภายในบ้านมีปัญหาด้วยพฤติกรรมของลูกผู้ยิ่งใหญ่ 2 คน

ความเชื่อมั่นที่เพื่อนบ้านใกล้ไกลเคยมีให้เข้าสู่ภาวะชะงักงัน ความมั่นใจของประดาลูกหลานในรอบรั้วบ้านก็เริ่มสับสน ไม่น่าเชื่อว่าผู้ประกาศตัวว่า “รักพ่อ” กลับทำร้ายบ้านพ่อได้มากมายคาดไม่ถึงเพียงเพื่อจะเอาชนะจะทำลายซึ่งกันและกัน

คำถามเกิดขึ้นอย่างมากมาย ลูกที่มีความรู้ความสามารถเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ พวกเขารักพ่อแบบไหนกันนี่?.

 

โดย: คนทับแก้ว 5 ธันวาคม 2548 15:42:35 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์ หายไปหลายวัน พอกลับมาใต้น้ำท่วมบ้านพัก แย่มากเลยค่ะ อาจารย์อยู่หนองแขม ไม่ไกลเท่าไร ตอนแรกซออู้อยู่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ต่อมาคุณแม่ย้ายมาอยู่เพชรเกษม 19 เพื่อให้ใกล้ขึ้น ก็วิ่ง ๆ เที่ยวแถวบางแคบ่อยค่ะ เรื่องที่อาจารย์นำมาให้อ่านดีนะคะ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนที่เป็นลูกในบ้านเมืองเรามีแบบนี้มากน้อยแค่ไหน และคนเป็นพ่อจะทำอย่างไรต่อไป

 

โดย: ซออู้ 6 ธันวาคม 2548 15:44:56 น.  

 

อ้าว..คนฝั่งทวย...เอ๊ยย...ฝั่งทน..เหมือนกันเหรอคัรบ..

ผมก็ละแวกบางแคครับ

 

โดย: กุมภีน 8 ธันวาคม 2548 15:32:39 น.  

 

แวะมาเยี่ยมอาจารย์ค่ะ คงใกล้สอบแล้วมังคะ ขอให้จบเร็ว ๆ ค่ะ

 

โดย: ซออู้ 9 ธันวาคม 2548 21:29:58 น.  

 

เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ได้สัก 2-3 วัน พอดีมีเพื่อนแต่งงานก็เลยถือโอกาสขึ้นไปเที่ยวแถวใกล้ๆ นั้นด้วย พอกลับมาก็ไม่สบายเลย เพราะเป็นคนที่นอนผิดที่ผิดทางแล้วจะนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็เลยไม่สบายไป

เพิ่งมีโอกาสได้เข้าเน็ตก็วันนี้เอง เพราะกลับมาก็ต้องเร่งทำงานก่อน เข้าไปเช็คอีเมลแล้วก็ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลอันนี้มา อ่านแล้วรู้สึกดีว่าในสังคมยังมีเรื่องดีๆ อยู่ เพียงแต่เราไม่ค่อยได้เอามาขยับขยายให้เป็นข่าวกัน ก็เลยคิดว่าเอามาให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกันด้วยน่าจะดี

เชิญอ่านได้ครับ
__________________________________________

เรียน ทุกท่าน

เมื่อวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นในครอบครัวผม โดยน้องชาย ซึ่งอยู่ดูแลคุณพ่อได้โทร.มาที่ทำงาน บอกว่าคุณพ่อหกล้มไม่สามารถขยับร่างกายได้ และคุณพ่อผมพัก อยู่กับน้องชายเป็นคอนโดมิเนียมแถวสาธุประดิษฐ์ ในซอยสุขสวัสดิ์ 38 ชั้น 5

ผมรีบลางานแล้วเดินทางไป โดยความรีบร้อนไม่ได้แจ้งเหตุให้หน่วยช่วยเหลือใดทราบเลย ระหว่างทางรถแท๊กซี่ที่ผมนั่งไปจากหน้าธนาคาร และคุยกันไปบอกว่าให้ติดต่อหน่วยแพทย์กู้ชีพ ซึ่งจะมีความชำนาญในการขนย้ายผู้บาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุได้อย่างดีและรวดเร็ว

ผมรีบแจ้งให้น้องชายโทร.ไปขอความช่วยเหลือ 191 ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีโดยบอกให้โทร. ไปที่ 1669 หน่วยแพทย์กู้ชีพนเรนทร เมื่อโทร.ไปและแจ้งจุดเกิดเหตุว่าอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ทางศูนย์ให้โทร.ไปที่ 1554 หน่วยแพทย์กู้ชีวิต โรงพยาบาลเจิรญกรุงประชารักษ์ ซึ่งน้องชายผมบอกว่าโทร.ไปเพียง10 นาที หน่วยแพทย์กู้ชีวิตได้เดินทางไปถึง เจ้าหน้าที่ทุกท่านมีอุปกรณ์ และวิทยุแจ้งอาการคุณพ่อกับแพทย์ที่อยู่ประจำศูนย์เพื่อเช็คอาการขั้นต้นอย่างรวดเร็ว ทำให้น้องชายผมคลายกังวล ขณะนั้นผมยังเดินทางไปไม่ถึง เมื่อไปถึง หน่วยแพทย์ได้นำคุณพ่อมาที่รถพยาบาลพอดี ได้นั่งไปด้วยสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าเมื่อไปถึง คุณพ่อชีพจรอ่อน หายใจไม่สะดวก ขยับส่วนกลางลำตัวไม่ได้ ความดันต่ำ โดยแพทย์ปลายทางสอบถามอาการตลอดทุก 5 นาที พร้อมเช็คประวัตคุณพ่อผมไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าซึ่งเมื่อเริ่มเดินทาง อาการโดยรวมดีขึ้น คุยได้ หายใจปกติ ชีพจรปกติ ความดันปกติ มือเท้าขยับได้ ผมก็เบาใจลง แต่ไม่สามารถขยับตัวได้ เจ้าหน้าที่ได้ปลอบใจผมว่าอย่างเพิ่งกังวลไป ต้องให้แพทย์เช็ค อาการกอ่น ขั้นต้นแพทย์ให้ใส่ที่กันกระดูกเคลื่อนที่คอ และรัดลำตัวไปก่อน ด้วยบรรยากาศในรถพยาบาลที่ควรเคร่งเครียดแต่เห็นการช่วยเหลือ และเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่แล้วผมก็เบาใจลง คลายความกังวล

เมื่อลงทางด่วน (จากสาธุประดิษฐ์มาอนุสาวรีย์ชัย เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียง 10 นาที ขับรถเร็วมาก แต่ผมไม่รู้สึกว่าอันตรายเลย มีความมั่นใจในเจ้าหน้าที่มาก อยากให้คุณพ่อถึงมือหมอโดยเร็ว) รถติดมากในบริเวณอนุสาวรีย์ ก่อนเข้าวงเวียนไปพระมงกุฎ ผมประทับใจอีกครั้งจากการประสานงานระหว่างรถกู้ชีพกับเครือข่ายแพทย์กทม. ศูนย์วิทยุจราจรกลาง ศูนย์วิทยุตำรวจท้องที่ เปิดไฟเขียวตลอดจากรถติด เป็นถนนโล่งภายใน 1-2 นาที ผมถึงโรงพยาบาลพระมงกุฏ ตึกฉุกเฉิน เมื่อถึงมีการรายงานอาการคุณพ่อ ผมให้พยาบาลและแพทย์ทันทีแบบมืออาชีพ ผมเพิ่งเคยพบกับตนเองประทับใจมาก ทำให้วิกฤตของ ครอบครัวผมผ่านพ้นไปด้วยดี

ผมได้พยายามให้ค่าตอบแทนเป็นสินน้ำใจเพื่อให้ทั้ง 3 ท่านไปทานอาหารกลางวัน ก็ไม่ยอมรับ คำพูดที่ทั้ง 3 ท่านพูดเหมือนกันว่า พี่ยังต้องใช้จ่ายในการรักษาคุณพ่อพี่อีก พวกผมทำด้วยใจรักประกอบกับความมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตทุกท่านที่มาถึงให้ทันเวลา โดยไม่หวังค่าตอบแทนใดๆ หากจะมีน้ำใจขอช่วย มีหนังสือขอบคุณไปที่ โรงพยาบาลเจิรญกรุงประชารักษ์ ต้นสังกัดก็พอแล้ว ผมบอกว่าคุณพ่อผมเป็นข้าราชการบำนาญและเป็นทหารผ่านศึกรักษาที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ก็ไม่ยอมรับ ผมเห็นว่าการปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม จึงขอยกย่องชื่นชมเป็นอย่างสูง โดยได้ทำหนังสือไปขอบคุณแล้ว เมื่อพบ Mail ด้านล่างจึง แจ้งสิ่งที่ผมได้สัมผัสมาเป็นข้อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง

ขอเพิ่มเติมข้อมูลว่า

หมายเลข 1669 เป็นของ หน่วยแพทย์กู้ชีพนเรนทร เรียกได้เมื่อเกิดเหตุนอกเขตกทม. เช่น นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม เป็นต้น

หมายเลข 1554 เป็นของ หน่วยแพทย์กู้ชีวิต โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ กทม. เรียกได้เมื่อเกิดเหตุในเขตพื้นที่ กทม.

(ผมสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่ารถไม่ได้จอดอยู่เฉพาะใน รพ. แต่กระจาย อยู่ทั่วพื้นที่ กทม. ปกติไปถึงที่หมายไม่เกิน 10 นาที โดยขอให้ผู้เรียก มารอรับได้จะรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่รู้จุดเกิดเหตุ)

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย พร้อมทั้งขออภัยด้วยหาก Mail นี้รบกวนท่าน
ปัญญา ยานะรักษ์
ทีมประนอมหนี้ 2

 

โดย: คนทับแก้ว 14 ธันวาคม 2548 13:01:11 น.  

 

อาจารย์คะ เรื่องดี ๆ อย่างนี้ยิ่งต้องเผยแพร่ เวลาฉุกเฉินจะได้เรียกได้ถูกต้อง แล้วก็คนที่มีน้ำใจอย่างนี้หายากมากค่ะ น่าฃมเชยมาก อาจารย์น่านำเรื่องนี้ขึ้นเขียนใน blog ใหม่นะคะ ใส่ใน comments กลัวว่าเพื่อนจะไม่ได้อ่าน ขอบคุณที่อาจารย์สละเวลาไปเยี่ยมค่ะ ขอให้คุณพระคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุขและสุขภาพดีค่ะ

 

โดย: ซออู้ 14 ธันวาคม 2548 22:56:45 น.  

 

พอดีจุไม่ได้อยู่ กทม.ค่ะ แต่ก็เคยเจอคนขับรถของหน่วยกู้ภัย เขามาขับรถให้ที่สำนักงานที่ กทม. บังเอิญว่าวันนั้น มัวโอ้เอ้อยู่รัชดา จะไม่ทันนัดที่รังสิต เขาถามคำเดียวว่า ให้ไปถึงที่นัดหมายเมื่อไหร่ เท่านั้นแหละ พวกเราที่นั่งบนรถ นั่งเงียบ แทบลืมหายใจ ใช้เวลา 20 นาทีถึง

 

โดย: ju (กระจ้อน ) 20 ธันวาคม 2548 20:18:16 น.  

 

หวัดดีค่ะ เคยเรียนทับแก้ว 10 กว่าปีแล้ว อายุก็น่าจะรุ่นคุณได้ค่ะ ตอนนี้ก็ลูก 2 เข้าไปแล้ว ไม่ทราบว่าสอนคณะอะไรคะ ดิฉันเด็กเก่าวิทยาศาสตร์ สามีเด็กเก่าเภสัชค่ะ

 

โดย: อดีตเด็กทับแก้ว IP: 202.129.36.234 3 มกราคม 2549 15:57:43 น.  

 

สวัสดีครับ คุณอดีตเด็กทับแก้วที่เข้ามาเยี่ยม

ผมสอนอยู่คณะวิศวะครับ ถ้าเรียนจบตรีเมื่อสักสิบกว่าปีมาแล้วก็คงรุ่นราวคราวเดียวกันล่ะครับ

 

โดย: คนทับแก้ว 3 มกราคม 2549 16:07:49 น.  

 

ค่ะ ดิฉันก็เกิดปี 2516 เหมือนกัน สมัยก่อนที่ทับแก้ว ไม่มีคณะวิศวะค่ะ ใช่เป็นคณะเทคโนเก่าหรือเปล่าค่ะ ตอนที่ดิฉันเรียนที่โน้น คณะเทคโนเปิดเป็นปีแรกเลยค่ะ

 

โดย: อดีตเด็กทับแก้ว IP: 202.129.36.234 4 มกราคม 2549 8:59:46 น.  

 

คุณอดีตเด็กทับแก้ว... คณะเทคโนฯ นั่นแหละครับ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชื่อเต็มๆ ว่า "คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม" เข้าใจว่าเปลี่ยนมา 5-6 ปีแล้วมั้งครับ ผมก็เพิ่งมาอยู่ได้แค่ 3 ปีเท่านั้นเอง

 

โดย: คนทับแก้ว 6 มกราคม 2549 13:26:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนทับแก้ว
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ศิลปิน: เฉลียง
เพลง: หวาน
ชุด: ปรากฏการณ์ฝน
ปี: 2525



Friends' blogs
[Add คนทับแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.