ควันหลงจากสัมมนาวิกฤติโลกร้อน
29 ก.ย. 2550
เมื่อวานนี้ (ศุกร์ 28 ก.ย. 2550) ผมได้ไปฟังสัมมนาวิชาการเรื่อง "วิกฤติโลกร้อน ความไม่พร้อมของประเทศไทย" ซึ่งจัดโดย สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่โรงแรมเอเซีย
วิทยากรในงานนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน นอกจากนี้แล้ว การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็เลยไม่พลาด
การจัดสัมมนาในเชิงวิชาการแบบนี้ ผมว่าดี เพราะเราจะได้ทราบถึงสาเหตุ ผลกระทบ และวิธีการแก้ไขและป้องกันปรากฏการณ์โลกร้อน โดยที่มีผลการศึกษาวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์มารองรับ ถึงแม้บางเรื่อง ประชาชนชาวบ้านทั่วๆ ไปอาจจะไม่เข้าใจถ่องแท้นัก (แม้กระทั่งผมเองที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็ยังเข้าใจได้ไม่หมด เพราะอย่างไรเสีย เราก็ไม่มีทางรู้ลึกได้เท่ากับวิทยากรที่เขาชำนาญเฉพาะด้าน) แต่การนำเสนอในเชิงวิชาการที่ย่อยให้ง่ายลงบ้างแล้วแบบนี้ ย่อมจะดีกว่าการออกมารณรงค์ให้ช่วยกันทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่อธิบายไม่ได้ว่าทำไม
ผู้ที่กล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อเปิดงานในตอนเช้า ได้แก่ ศ. ระพี สาคริก เนื้อหาโดยสรุปก็คือ การสอนอะไรให้ใคร ต้องเป็นการสอนให้ คิดเองเป็น รู้เองเป็น ไม่เช่นนั้นก็จะต้องสอนกันอยู่ร่ำไป อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงความคิดหรือพฤติกรรมของคนอื่นนั้นทำได้ยากหรืออาจจะทำไม่ได้เลย คนที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้มีเพียงคนเดียวคือตัวเราเอง เพราะฉะนั้น หากจะเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรก็ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
วิทยากรท่านแรก คือ ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ท่านนี้บรรยายถึง โรคระบาด ที่อาจจะครอบคลุมบริเวณกว้างขวางขึ้นและรุนแรงขึ้น บางตัวอย่างที่คุณหมอยกขึ้นมาก็เช่น มีค้างคาวที่เป็นพาหะของโรคชนิดหนึ่งบินข้ามมาจากออสเตรเลียเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย เมื่อเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในมาเลเซียซึ่งรุนแรงกว่าในอดีตเพราะความแห้งแล้งจากการที่บรรยากาศของโลกร้อนขึ้น ค้างคาวบางส่วนก็บินอพยพเข้าสู่อินโดนิเซีย พม่า รวมทั้งไทย ทำให้พื้นที่ที่เกิดโรคระบาดกินบริเวณกว้างขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่ง คุณหมอพูดถึงยุงที่เป็นพาหะของหลายโรคเริ่มแพร่ขยายกินบริเวณขึ้นไปยังเขตที่เคยเป็นเขตหนาวเพราะโลกมันร้อนขึ้น
วิทยากรสามท่านต่อมา ได้แก่ ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผศ.ดร. กัณฑรีย์ บุญประกอบ และ รศ.ดร. ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ท่านแรกกล่าวถึง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤติโลกร้อนต่อ ทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ท่านที่สองกล่าวถึง ผลกระทบที่มีต่อ ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ส่วนท่านที่สามกล่าวถึง ภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน
ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ สมมติว่าถ้าอุณหภูมิของโลกทั้งโลกร้อนขึ้น อุณหภูมิของแผ่นดินจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นของน้ำทะเล (เพราะน้ำบริเวณผิวหน้าของทะเลจะระเหยออกไปได้อยู่ตลอดเวลา พื้นน้ำจึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นดิน รวมทั้งความสามารถในการอมความร้อนของแผ่นดินมีค่าสูงกว่าน้ำ) ดังนั้น ลมที่พัดจากทะเลเข้าหาชายฝั่งก็จะรุนแรงมากขึ้นและอาจเกิดถี่ขึ้น ฝนจะตกหนักขึ้น พายุจะรุนแรงขึ้น น้ำท่วมก็จะตามมา ถ้ายังพอจะจำวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมได้ ลมทะเลนั้นเกิดจากการที่อากาศร้อนเหนือแผ่นดินลอยตัวสูงขึ้น แล้วอากาศเหนือผิวน้ำทะเลที่เย็นกว่าไหลเข้ามาแทนที่ ดังนั้น ถ้าอุณหภูมิอากาศเหนือแผ่นดินและผิวน้ำต่างกันมากขึ้น ลมก็จะแรงมากขึ้น
วิทยากรท่านสุดท้าย คือ ผศ.ดร. จิรพล สินธุนาวา หัวข้อที่บรรยายเป็นเรื่องเกี่ยวกับ นโยบายด้านพลังงาน ซึ่งเป็นด้านที่ผมทำงานอยู่ ยิ่งอาจารย์ท่านเป็นคนพูดสนุก พูดตรงไปตรงมาจนเกือบๆ จะเป็นขวานผ่าซากด้วยแล้ว ก็เลยทำให้วิทยากรท่านนี้เป็นท่านที่พูดแล้วฟังสนุกที่สุด ผมก็เลยจะขอสรุปประเด็นที่อาจารย์ท่านนี้บรรยายมาให้ได้อ่านกันมากเป็นพิเศษ
ตั้งแต่เด็ก เราก็ท่องกันมาว่า อากาศประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนประมาณ 78% ก๊าซออกซิเจนประมาณ 21% ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ประมาณ 0.03% ส่วนที่เหลือเป็นก๊าซชนิดอื่นๆ
ก๊าซ CO2 นี้ เราทราบกันดีว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวหลักเพราะเป็นตัวที่มีปริมาณมากที่สุดเมื่อเทียบกับก๊าซเรือนกระจกตัวอื่นๆ เช่น มีเทน หรือไนตรัสออกไซด์ ตัวเลข 0.03% ก็เท่ากับ 300 ส่วนในล้านส่วน หรือ 300 ppm (Part Per Million) นั่นเอง ตัวเลขนี้เปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ตามวัฏจักรของโลกแต่ก็ไม่มากนัก เฉลี่ยแล้วยังคงอยู่ที่ประมาณ 300 ppm จากการวิจัยพบว่าเมื่อปี พ.ศ. 2293 (เกือบจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองอยู่แล้ว) ระดับก๊าซ CO2 มีค่าประมาณ 280 ppm
แต่พอมาถึงปัจจุบัน ณ ปี พ.ศ. 2550 นี้ ระดับก๊าซ CO2 เพิ่มมาอยู่ที่ 383 ppm แล้ว ควบคู่ไปกับการที่อุณหภูมิบรรยากาศของโลกเพิ่มขึ้นมา 0.6 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับเมื่อปี พ.ศ. 2293
จุดที่จะต้องกลัวก็คือ เมื่อระดับก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 450 ppm ซึ่งคาดว่าจะสัมพันธ์กับ อุณหภูมิบรรยากาศของโลกที่จะเพิ่มขึ้น 2 องศา เหตุที่จะต้องกลัวก็เพราะว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไปถึงขนาดนั้น จะเป็น จุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะคาดกันว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายหมด เมื่อละลายหมดแล้ว ก็ไม่สามารถสร้างมันกลับมาได้อีก
ฟังดูน่าขนลุกถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์เอาไว้
แล้วอีกกี่ปีระดับ CO2 จะสูงถึง 450 ppm?
ก๊าซ CO2 สามในสี่ส่วนมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจำพวกน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ อีกหนึ่งส่วนมาจากไฟไหม้ป่าซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ระดับก๊าซ CO2 ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นปีละ 6 ppm
นั่นเท่ากับว่า นับจากวันนี้ไปอีกแค่ประมาณ 11 ปีกว่าๆ เท่านั้นเอง!
เร็วจนน่าตกใจ
อาจารย์จิรพลยังได้กล่าวถึงมาตรการในการรับมือกับภาวะโลกร้อนเอาไว้ 3 มาตรการ
มาตรการแรก ได้แก่ การป้องกัน ซึ่งอาจารย์บอกว่า สายไปแล้ว ทำอะไรไม่ทันแล้ว เพราะถ้าจะป้องกันจะต้องเริ่มทำตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ถ้าทุกคนบนโลกต้องการที่จะหยุดระดับ CO2 เอาไว้ตรงนี้ จะต้องพร้อมใจกัน ลดการใช้พลังงานลง 85%
แทบจะเป็นไม่ได้เลย
เคยเปิดไฟสิบดวงจะต้องเปิดแค่ดวงกว่าๆ
เคยเปิดแอร์สิบชั่วโมงจะต้องเปิดแค่ชั่วโมงครึ่ง
และถึงจะหยุดระดับ CO2 ในบรรยากาศให้นิ่งอยู่ตรงนี้ได้จริง ผลแห่งกรรมที่คนรุ่นนี้ได้ทำไว้ก็จะยังส่งผลกระทบต่อไปจนถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลน เพราะก๊าซ CO2 จะค้างอยู่บนบรรยากาศต่อไปได้อีก 200 ปี!
เมื่อมาตรการแรกทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เหลืออีกสองมาตรการคือ การเตรียมตัวรับมือ และ การปรับตัว ต่อความเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ซึ่งว่ากันสั้นๆ ก็มีดังนี้
- น้ำแข็งขั้วโลกและน้ำแข็งบนภูเขาละลาย บนแผ่นดินก็จะเกิดภัยแล้งเพราะน้ำในแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนภูเขาลดลง ซึ่งแม่น้ำโขงที่มีที่มาจากเทือกเขาหิมาลัยก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ
- ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น เพราะน้ำที่เคยเป็นน้ำแข็งอยู่บนแผ่นดินจะไหลลงไปอยู่ในทะเลแทน
- การเกิดคลื่นความร้อนหรือ Heat Wave ซึ่งเป็นภัยพิบัติในยุโรปและอเมริกามาหลายปีแล้ว
- ฤดูหนาวจะสั้นลง ฤดูร้อนจะยาวนานขึ้น
- การเกิดฝนตกหนักเฉพาะที่
- การเกิดภัยแล้งและไฟป่าที่เพิ่มมากขึ้น
- การเกิดโรคระบาด ทั้งสายพันธุ์แปลกๆ ใหม่ๆ ทั้งความรุนแรงที่จะเพิ่มมากขึ้น และพื้นที่ที่เกิดการระบาดจะกว้างขวางขึ้น
- การอพยพและถิ่นฐานของสัตว์จะเปลี่ยนไป เช่น สัตว์เขตร้อนที่ถิ่นเดิมจะร้อนขึ้นก็อาจจะอพยพขึ้นไปรุกล้ำเขตหนาวซึ่งอุ่นขึ้น แล้วก็อาจจะเกิดการต่อสู้แย่งถิ่นฐานกัน ถ้ารุนแรงมาก สัตว์บางชนิดก็อาจจะสูญพันธุ์ไปเลย ส่วนแมลงที่ปรับตัวได้ดีกว่าสัตว์ใหญ่ก็จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
- การฟอกขาวของปะการัง ซึ่งหมายถึงการที่สาหร่ายเซลล์เดียวที่เคยอาศัยอยู่บนปะการังผละออกไป เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นและไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตอีกต่อไป ในที่สุด ปะการังก็จะตาย สัตว์ต่างๆ ในระบบนิเวศก็จะต้องได้รับผลกระทบตามไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ อาจารย์จิรพลยังมีแนวความคิดที่ว่า นโยบายด้านพลังงานจะต้องเปลี่ยนไปแบบชนิดที่เรียกว่ากลับตาลปัตรเลยทีเดียว คือ แทนที่จะมาวางนโยบายในลักษณะที่จะต้องจัดหาพลังงานมาให้พอเพียงต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอีกห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงการที่จะต้องซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านหรือการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็จะต้องไปวางนโยบายในการลดการใช้พลังงานลงให้เหมาะสมกับความสามารถในการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่แทน ซึ่งถ้าบริหารจัดการดีๆ โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ จะสามารถปิดไปได้หลายโรงเลยทีเดียว
แต่นั่นก็หมายถึงรายได้ของรัฐที่จะลดลงด้วย ซึ่งก็เลยทำให้เกิดการลักลั่นอยู่พอสมควร
การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกระจายออกไปทั่วประเทศ ในลักษณะที่ว่า "ใช้ที่ไหน สร้างที่นั่น" โดยใช้แหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล ก็จะช่วยลดความสูญเสียในระบบสายส่งจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องส่งจ่ายทั่วทั้งภูมิภาคได้มาก รวมทั้งลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าลงได้อีกด้วย
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนในแง่ของพลังงานได้ดีที่สุดก็คือ การลดปริมาณการใช้พลังงาน
ทุกวันนี้ยังคงมี สองฝ่าย ที่ยังถกเถียงกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งก็คือ ฝ่ายที่เชื่อแน่ว่ามนุษย์เป็นผู้ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นผิดปกติอย่างทุกวันนี้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า ภาวะโลกร้อนเป็นเพียงวัฏจักรร้อนเย็นที่เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดาของโลก ซึ่งมีวงรอบประมาณแสนกว่าปี ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะทำอะไร ทำมาตรการลดภาวะโลกร้อนกันจริงจังแค่ไหน โลกก็จะยังคงร้อนขึ้นอยู่นั่นเอง
ใครจะเชื่ออย่างไรก็ตามใจครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นมายืนยันด้วยกันทั้งคู่
แต่ถ้าคิดกันง่ายๆ การประหยัดน้ำมัน ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟฟ้านั้น ทำให้เราสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้แน่นอน แค่นี้ก็น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้เราลงมือทำสิ่งเหล่านี้แล้ว
แต่ถ้าท่านคิดว่า "แค่นี้ ฉันมีปัญญาจ่าย อย่ามายุ่ง เงินก็เงินของฉัน" ก็ต้องแล้วแต่ท่าน
ถ้าเกิดนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหลังเป็นฝ่ายถูก ท่านก็รอดตัวไป
แต่ถ้าเกิดนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกเป็นฝ่ายถูก ก็หมายความว่า ท่านกำลังทำบาปทำกรรมต่อลูกหลานของท่านเอง เพราะต้องไม่ลืมว่าก๊าซเรือนกระจกมันจะอยู่อย่างนั้นไปอีกกว่าสองร้อยปี
ระวังลูกหลานมันจะก่นด่าโคตรเหง้ามันเอาได้
หรือดีไม่ดี เราๆ ท่านๆ เองนั่นแหละ ที่จะต้องวนเวียนไปเกิดใหม่แล้วก็เจอกับผลกรรมของตัวเอง
ของฝากสุดท้ายด้านล่าง เป็น 10 ปฏิบัติการลดภาวะโลกร้อน ที่ทาง กรุงเทพมหานคร ทำแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะใครๆ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ และไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นคนกรุงเทพฯ เท่านั้นด้วย
วันนี้เขียนยาวหน่อย แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ
10 ปฏิบัติการ ช่วยกรุงเทพฯ ด้วยตัวคุณเอง
1. ลดการใช้ไฟฟ้า
กรุงเทพมหานครมี 2 ล้านครัวเรือน ถ้าทุกบ้านช่วยกันปิดไฟขนาด 100 วัตต์ 10 ดวง นาน 15 นาที ใน 1 วัน จะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 50 ตัน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 125,000 บาท ใน 1 เดือน จะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ตัน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 3.75 ล้านบาท ใน 1 ปี จะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,800 ตัน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 45 ล้านบาท
2. เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดตะเกียบ
การเปลี่ยนหลอดไส้ 100 วัตต์ เป็นหลอดประหยัดพลังงาน 18 วัตต์ จำนวน 1 ดวง จะลดพลังงานได้ 82 วัตต์ จะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 295 กก./ปี และประหยัดเงินได้ 738 บาท/ปี
3. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส
การตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ทุก 8 ชั่วโมง จะลดคาร์บอนลง 1,098 ตัน/ปี และประหยัดพลังงานได้ 2.4 หน่วย
(หมายเหตุ: ข้อนี้ผมไม่เห็นด้วย ผมเห็นว่าควรจะตั้งให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะงานวิจัยหลายงานยืนยันว่า คนจะปรับตัวเข้าหาอุณหภูมิแวดล้อม หมายความว่า คนเมืองร้อนก็จะทนอุณหภูมิได้สูงกว่าคนเมืองหนาว อุณหภูมิสบายของคนเอเชียโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 27-28 องศา เพราะฉะนั้น เราสามารถตั้งอุณหภูมิสูงว่า 25 องศาได้ แล้วเราก็จะต้องเลิกบ้าใส่สูทผูกไทไปทำงานกันได้แล้ว เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อผ้าไทยตัวเดียวก็ออกงานได้ ความสุภาพนั้นอยู่ที่กิริยามารยาทมากกว่าเสื้อผ้า)
4. ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดหลังการใช้งาน
ปิดและดึงปลั๊กทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียงต่างๆ ในบ้านแต่ละหลังออกเมื่อไม่ใช้งาน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับร้อยกิโลกรัม/ปี
5. ปลูกต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่
การปลูกต้นไม้ 1 ต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตันตลอดอายุของต้นไม้ ดังนั้นให้ปลูกหรือวางต้นไม้ในทุกๆ จุดของบ้านที่เหมาะสม จะเป็นการช่วยดูดซับมลพิษในบ้านได้เป็นอย่างดี
6. แยก ลดปริมาณขยะ
ลดการกินทิ้งกินขว้าง เพราะเศษอาหารและของที่บูดเน่า เมื่อไปทับถมอยู่ที่กองขยะ จะกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่สำคัญ
7. ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก
เพราะการผลิตถุงพลาสติก ต้องใช้พลังงานและก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
8. หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์
การขับรถยนต์เป็นระยะทาง 1 กม. จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.18 กก. ถ้ารถใน กทม. ทั้งหมด 5.5 ล้านคัน ร่วมมือปฏิบัติกัน จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,000 ตัน/วัน
(หมายเหตุ: ช่วยเร่งสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมโยงระหว่างชานเมืองกับกลางเมืองเร็วๆ หน่อย ได้เปอร์เซ็นต์น้อยหน่อยก็หยวนๆ เถอะน่า ตายไปก็เอาเงินไปใช้ไม่ได้สักหน่อย)
9. ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดรถรอนาน หรือ เติมน้ำมัน (ไม่ขับก็ดับเครื่อง)
การดับเครื่องยนต์ทุก 5 นาที จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 0.13 กก. ประหยัดน้ำมันได้ 0.1 ลิตร และควรขับรถในความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. จะลดปริมาณการใช้น้ำมันลงได้ 20%
(หมายเหตุ: การปล่อยให้เครื่องเดินเบา 5 นาที เทียบเท่ากับ การขับรถได้ระยะทางถึงกิโลเมตรกว่าๆ)
10. บริโภคของที่ผลิตในประเทศ
การซื้อสินค้าจากต่างประเทศต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และจัดจำหน่าย แต่ถ้าใช้ของที่ผลิตในประเทศ จะทำให้สามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเกิดขึ้น แล้วยังราคาถูก และทำให้เงินไม่รั่วไหลออกนอกประเทศด้วย
Create Date : 30 กันยายน 2550 |
|
29 comments |
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 16:41:02 น. |
Counter : 11493 Pageviews. |
|
|
|
ความไม่พร้อมของประเทศ
หรืออยู่ที่ความตระหนัก จิตสำนึกของเรากันแน่นะ
สำหรับ 10 ปฏิบัติการ ที่ช่วยกทม
ดิฉันทำได้แค่ 3 ข้อเองค่ะ
ทั้งที่ ต้ อ ง ทำ มากกว่าควรทำแล้ว