ชวนคุยเรื่องบอลโลก 2006 ตอนที่ 4
2 ก.ค. 2549
*** นัดระหว่าง เยอรมนี กับ อาร์เจนตินา นั้น สนุกสมกับการรอคอยจริงๆ ฝ่ายหนึ่งเล่นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เล่นด้วยความแข็งแกร่งและมีวินัย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีความสามารถเฉพาะตัวดีกว่า มีทีมเวิร์คและลูกเล่นที่แพรวพราวกว่า แถมพกด้วยความเจ้าเล่ห์และลูกตุกติกเล็กน้อยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
ถึงแม้ว่าจะชื่นชอบในความสามารถและระบบทีมของนักเตะอาร์เจนตินาชุดนี้ แต่ความแค้นฝังใจตั้งแต่สมัยฟุตบอลโลกปี 1986 นั้นยังคงอยู่ ลูกที่ มาราโดนา ใช้มือปัดลูกบอลเข้าประตูอังกฤษไป แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็น หัตถ์ของพระเจ้า หรือ Hand of God อีก มันช่างเป็นการยอมรับว่าโกงแบบหน้าไม่อายเสียเหลือเกิน พอถึงนัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินาก็ยังเอาชนะเยอรมนีไปได้แบบน่าเจ็บใจอีก แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ได้เห็นถึงหัวใจนักสู้ของคนเยอรมันอย่างชัดเจนจากนัดนั้นเอง
ตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศปี 1986 เป็นต้นมา ผมก็เลยกลายเป็นคนหนึ่งที่นิยมชมชอบในทีมชาติเยอรมนี โดยเฉพาะในแง่ของการสู้ไม่ถอย ความมีวินัย และทีมสปิริต และในทางตรงกันข้าม ก็ไม่ค่อยชอบอาร์เจนตินาสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อไรก็ตามที่ตกเป็นรองและเริ่มออกลายเล่นตุกติกมากขึ้น (ซึ่งอาร์เจนตินาชุดนี้ดีหน่อยที่ไม่ค่อยทำแบบนั้น ผมก็เลยไม่ได้เกลียดสักเท่าไร)
ภาพที่ประทับใจที่สุดในการดวลจุดโทษระหว่างเยอรมนีกับอาร์เจนตินาสำหรับผม ก็คือ ภาพที่ โอลิเวอร์ คาห์น เข้าไปให้กำลังใจแก่ เยนส์ เลห์มัน ก่อนที่จะต้องลงไปป้องกันประตู คนที่ติดตามข่าวการเตรียมทีมชาติเยอรมนีมาบ้างก็คงพอจะทราบว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันอย่างแรง ถึงขนาดที่ว่านัดอุ่นเครื่องแต่ละนัด โค้ชจะเรียกมาเข้าแคมป์เก็บตัวได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะอีกคนหนึ่งจะไม่ยอมมาอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นตัวสำรองของอีกคนหนึ่งเด็ดขาด (หลังจากที่โค้ชได้เลือกให้เลห์มันเป็นมือหนึ่งในรายการนี้ คนเยอรมันเองและนักข่าวในเมืองไทยยังเคยเก็งกันว่าคาห์นจะถอนตัวออกจากทีมชาติ เพราะนึกไม่ออกว่าคาห์นจะยอมนั่งสำรองให้เลห์มันได้อย่างไร) แต่การแสดงออกของคาห์นในนัดนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเป็นคนเยอรมันที่เรื่องส่วนรวมนั้น อย่างไรก็ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ และเลห์มันเองก็ตอบแทนคาห์นด้วยการเดินตรงเข้าไปจับมือและกอดกับคาห์นทันที หลังจากที่แหวกวงล้อมของเพื่อนที่กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีออกมาได้
เห็นทีมสปิริตและจิตใจของนักเตะเยอรมันแข็งแกร่งขนาดนี้ บวกกับการเน้นเกมบุกเป็นหลักของ เจอร์เกน คลินส์มัน ซึ่งถูกใจคนดูอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง (หมด สเปน ไปแล้ว ก็เหลือแค่เยอรมนีแล้วล่ะครับ) ก็ต้องติดตามลุ้นให้เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศกันต่อไป
*** พูดถึงคู่แข่งของเยอรมนีในนัดหน้ากันบ้าง อิตาลี ชุดนี้มีกองหลังและประตูที่ดีมากเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด กองกลางก็ดี กองหน้าก็พอใช้ได้ ลักษณะการเล่นก็เล่นได้สนุกน่าดู ไม่ได้อุดประตูหรือเล่นแบบตีหัวเข้าบ้านเหมือนในอดีต นัดหน้าเข้าไปเจอกับเยอรมนีก็คงจะเป็นนัดที่ดูสนุกเกมหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ผมคงจะต้องขอให้อิตาลีทำได้ดีที่สุดแค่เข้าไปชิงที่สาม...
*** และแล้ว อังกฤษ ทีมขวัญใจมหาชนคนไทยก็ตกรอบไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน โปรตุเกส นัดนี้ผมเองก็เชียร์อังกฤษ หนึ่งเพราะคุ้นเคยกันดี และสองเพราะรำคาญปนหมั่นไส้นักเตะโปรตุเกส ไม่รู้ว่านักเตะโปรตุเกสจะมาเล่นฟุตบอลหรือเล่นละครก็ไม่ทราบ โดนฟาวล์แค่สิบก็ร้องไปเสียร้อย เจ็บขาแต่ทิ้งตัวล้มลงไปเอามือปิดหน้า ส่วนเวลาตัวเองโดนจับทำฟาวล์ก็โวยผู้ตัดสินทุกครั้ง มันดูตุกติกเกินไปจนทำให้เกมฟุตบอลมันไม่ขาวสะอาด ไม่มีน้ำใจนักกีฬา และสุดท้ายก็เลยไม่น่าดู
แต่ถึงอย่างไร การที่อังกฤษแพ้ก็คงจะต้องโทษตัวเองเท่านั้น โทษใครไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วก็เล่นไม่ดีมาตลอดทุกนัด นัดนี้เวลามีโอกาสก็ทำไม่ได้ จังหวะที่ รูนีย์ โดนไล่ออกนั้น ถึงแม้ผมจะคิดว่าผู้ตัดสินทำเกินกว่าเหตุ แต่จังหวะที่ย่ำใส่เขตหวงห้ามของ ริคาร์โด้ คาวัลโญ่ นั้น ผมว่ารูนีย์ก็ตั้งใจจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงจะไปโทษใครไม่ได้
ในจังหวะที่ดวลจุดโทษตัดสินกันนั้น ผู้เล่นอังกฤษแต่ละคนไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย คนที่เคยยิงได้ประจำก็ยิงไม่เข้า คนที่ไม่เคยยิงเลยกลับอาสามายิง อย่าง คาราเกอร์ นั้น ความถี่ในการยิงประตูยังน้อยกว่าความถี่ในการจัดฟุตบอลโลกเลยครับ การควบคุมอารมณ์ก็ไม่ดีถึงขนาดรีบยิงก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดให้ยิงเสียอีก อย่างนี้ผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มน่ะสิครับ ใครจะไปกลัวคนที่ออกอาการลนลานเสียขนาดนั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามีส่วนทำให้ผู้เล่นอังกฤษไม่มีความฮึกเหิมก็คือ บุคลิกของผู้จัดการทีมเองที่นิ่งจนเกินไป ไม่มีการออกมากระตุ้นลูกทีมแต่อย่างใด เปรียบเทียบกับผู้จัดการทีมของโปรตุเกสแล้วเป็นคนละเรื่องเลย อะไรๆ ที่ลูกทีมทำ ไม่ว่าจะเป็นลูกตุกติกหรือการเล่นละคร ถ้าเป็นประโยชน์ต่อทีมแล้วล่ะก็ แกไม่เห็นจะห้ามปรามอะไรเลย มีแต่กระตุ้นเพื่อให้เอาชนะให้ได้อยู่ตลอดเวลา
*** ทีมที่จะเข้าไปตัดเชือกกับโปรตุเกส ได้แก่ ฝรั่งเศส ไม่ใช่เต็งหนึ่ง บราซิล ตามที่คาดกันไว้ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าบราซิลมาหนนี้เล่นไม่ค่อยประทับใจเท่าไร เน้นความสามารถส่วนบุคคลเป็นหลัก ได้แต่จัดตัวลงไปแล้วก็ปล่อยให้ไปแสดงฝีมือกันเอาเอง ไม่ค่อยแสดงให้เห็นถึงว่ามีระบบทีมหรือไม่ ผมว่าโค้ชเองเกรงใจนักเตะดังๆ มากเกินไป ไม่เลือกที่จะส่งตัวดาวรุ่งอย่าง โรบินโญ่ (กองหน้า) ซิซินโญ่ (แบ็คขวา) จูนินโญ่ (กองกลาง) หรือจิลแบร์โต้ (แบ็คซ้าย) ซึ่งมีความกระหายที่จะมีส่วนร่วมกับเกมระดับโลก ลงไปเล่นสลับกับบรรดาซูเปอร์สตาร์บ้าง ก็เลยทำให้บรรดาซูเปอร์สตาร์ซึ่งอิ่มตัวกับความสำเร็จทั้งส่วนตัว ทั้งกับทีมสโมสรต้นสังกัด และทั้งทีมชาติมาแล้ว เล่นกันไปแบบอย่างนั้นๆ เอง ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะเคยได้มาหมดแล้ว
จริงๆ แล้วสภาพส่วนประกอบของทีมเองก็ไม่ได้แตกต่างกับฝรั่งเศสสักเท่าไร เพราะฝรั่งเศสเองก็ประกอบด้วยผู้ที่เคยเป็นแชมป์โลกปี 1998 มาแล้วส่วนหนึ่ง กับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จระดับโลกมาก่อนอีกส่วนหนึ่งเหมือนกัน แต่ฝรั่งเศสเองกลับเล่นได้อย่างมุ่งมั่นมากกว่า เกมก็แน่นและแน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความล้มเหลวในคราวที่แล้วที่ตกรอบแรกไปแบบยิงประตูใครไม่ได้ยังคงฝังใจอยู่ หรือผู้จัดการทีมอาจจะมีดีกว่าที่ใครๆ พูดถึงก็เป็นได้
นัดหน้าทีมไก่แก่จะเข้าไปเจอกับทีมฝอยทองซึ่งผมไม่ได้เชียร์ทั้งสองทีม เพราะฝรั่งเศสนั้นทำภาพพจน์เสียไปเมื่อตอนที่ อองรี แกล้งล้มเพื่อเอาฟาวล์ จนทำให้กลายเป็นประตูที่สองในนัดที่ชนะสเปน ส่วนโปรตุเกสเองก็เล่นลูกตุกติกและเล่นละครมาตั้งแต่นัดที่เจอกับ ฮอลแลนด์ และล่าสุดในนัดที่เจอกับอังกฤษ
ดังนั้น นัดระหว่างฝรั่งเศสกับโปรตุเกส ผมก็เลยจะแช่งให้ทั้งสองทีมเล่นเกมหนักและตุกติกใส่กัน จนกระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายกันไปบ้าง หรือไม่ก็ติดโทษใบเหลืองใบแดงกันมากๆ แล้วก็ไปลุ้นให้เยอรมนีเอาชนะอิตาลีให้ได้ พอถึงนัดชิงชนะเลิศ ก็จะได้เป็นงานที่ไม่ยากนักสำหรับเยอรมนีในการคว้าแชมป์โลก
*** ว่ากันเรื่องผู้ตัดสินสักเล็กน้อย ผู้ตัดสินที่ผมเล็งๆ ไว้ว่าน่าจะมีโอกาสเข้าไปตัดสินในรอบลึกๆ หรืออาจจะถึงนัดชิงชนะเลิศเลยก็มี ลูบอส มิทเชล คนที่ตัดสินนัดระหว่างเยอรมนีกับอาร์เจนตินา ซึ่งอาจจะดูเอียงเข้าข้างเจ้าภาพอยู่บ้างในบางจังหวะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียดอะไร ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ถ้าจะว่ากันในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว หากเป็นเจ้าภาพแล้วไม่มีประโยชน์หรือไม่ได้เปรียบคนอื่นบ้างนิดหน่อย แล้วจะดิ้นรนแย่งกันเป็นเจ้าภาพไปหาพระแสงอะไร (อย่างน้อย การที่ไม่ต้องไปเตะรอบคัดเลือกก็เป็นความได้เปรียบอย่างหนึ่งแล้ว) ขอเพียงแต่อย่าเอาเปรียบกันอย่างน่าเกลียดแบบ เกาหลีใต้ เมื่อสี่ปีก่อนเป็นใช้ได้
อีกคนหนึ่งที่เล็งเอาไว้ก็คือ ผู้ตัดสินชาวบราซิลที่ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เป็นคนที่ตัดสินในนัดระหว่างเยอรมนีกับสวีเดน ผมว่าสองคนนี้มีปัญหาการตัดสินผิดพลาดน้อยที่สุดแล้ว ก็ต้องรอดูว่าผมจะเก็งถูกหรือไม่
Create Date : 02 กรกฎาคม 2549 |
|
13 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 18:02:35 น. |
Counter : 1097 Pageviews. |
|
|
|
แต่โกลล์โปรตุเกสก็นะ เดาทางลูกโทษเก่งจัง
กองหลังกับโกลล์พี่เลี่ยน คราวหน้าฟอร์มร้อนมากๆ