Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
9 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Sleepless in Chiangmai

Sleepless in Chiengmai

(วันคืนที่เชียงใหม่)


กว่าจะเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีได้ ใครจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับผมมันยากเย็นแสนเข็นเอามากมาย มันเหมือนเข็นรถขึ้นเขา เหมือนได้ปลดภารกิจอันหนักอึ้งออกไปจากตัวเสียที ราวกับได้ปลดโซ่เหล็กเส้นใหญ่ที่พันตัวอยู่มาแสนนานออกไป เพราะผมไม่ชอบเรียน การเข้าชั้นเรียนยิ่งกว่าการกินยาหม้อ ยิ่งถ้าโดนบังคับให้ดูหนังสือ มันจะเหมือนตีลูกกอล์ฟตกน้ำสี่ห้าลูกในหลุมเดียวกัน ในความรู้สึกตอนนั้น ผมไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมถึงต้องเรียนกันแบบนี้ ผมหมายถึงการบังคับให้ท่องจำ ใช่ การท่องจำเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ แต่มันน่าจะเป็นเฉพาะบางอย่าง อย่างเช่นสูตรคูณ อย่างนี้มันเห็นได้ชัดว่าจำเป็น ผมก็เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วมันน่าจะเป็นการสอนให้นักเรียนได้เข้าใจมากกว่านั่นหมายถึง ครูผู้สอนก็จะต้องเข้าใจด้วยว่าถ้าจะสอนให้นักเรียนเข้าใจ ครูต้องเข้าใจด้วยจึงจะสอนเป็น

ผมไม่ได้บอกว่าบรรดาครูหรืออาจารย์ทั้งหลายเป็นนกแก้วกันไปหมด มีครูจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจ เราจึงเห็นความแตกต่างของผู้สอนทั้งสองแบบ ฝ่ายหนึ่งสอนแล้วน่านอน อีกฝ่ายหนึ่งสอนแล้วตื่นเต้นมีสีสัน การสอนที่ตื่นเต้นมีสีสันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเต้นแร้งเต้นกาหรือพูดให้ชวนหัว เปล่าเลย แต่มันหมายความถึงการให้นักเรียนมีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ใช่ครูพูดอยู่คนเดียว การให้นักเรียนมีส่วนร่วมคือการให้นักเรียนใช้ความคิดตามหลักการของแต่ละคน แล้วเสนอเป็นความคิดออกมา ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด แต่เมื่อครูสามารถปรับความคิดโดยเสนอความคิดออกมาเช่นกัน แล้วให้นักเรียนพิจารณากันเอาเอง แน่นอน หากความคิดของครูดีกว่า มีหรือนักเรียนจะไม่เชื่อตาม แต่ต้องไม่ใช่การบังคับ ถามหน่อยว่ามีใครชอบที่โดนบังคับ

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นพื้นฐานธรรมดาของการเรียนรู้ แล้วมันจะฝังตรึงอยู่ในสมองหรือความรู้สึกที่น่าจดจำ ไม่เห็นจำเป็นต้องท่องเลย

การสอนกอล์ฟก็เหมือนกัน ถ้าครูสอนกอล์ฟสอนเป็น ผู้สอนจะต้องมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจ มันถึงจะไปกันได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร เมื่อเข้าใจนักเรียนจะรู้เองแหละว่าที่ผิดเป็นเพราะอะไรถึงผิด มันเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ส่วนการเจริญเร็วหรือช้าหรือไม่เจริญเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะเอาจริงเอาจังกับมันขนาดไหน แต่รับรองว่า มันจะไปถึงขั้นหนึ่งที่แม้ไม่ซ้อมก็ยังเล่นได้ ไม่ใช่เลอะเทอะเสียจนดูไม่ได้หรือเล่นมาสามสิบปีก็ยังเหมือนเดิม เหล็กทุกอันตีระยะเท่ากันหมด เพราะเรารู้และเข้าใจไงว่าอะไรคืออะไร


เมื่อพูดถึงเรื่องสอน มีเรื่องที่น่าหวาดเสียวเกิดขึ้นกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งทั้งสมัยที่เรียนและทำงานแล้วก็ตาม ยิ่งตอนที่ทำงานด้วยแล้วมันยิ่งหวาดเสียวเพราะมันหมายถึงอนาคตที่อาจดับวูบลงง่ายๆ แต่บางครั้งผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดความจริงที่คนไม่อยากฟังซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก อย่างคราวหนึ่งในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารซึ่งผมโดนเรียกเข้าร่วมประชุมด้วยเพราะต้องรายงานข้อมูลบางอย่าง ก่อนเริ่มประชุม ทุกคนคุยกันเรื่องต่างๆ ผมนั่งฟังเฉยๆ จนกระทั่งผู้บริหารท่านหนึ่งพูดขึ้นทำให้ทุกคนหันไปฟัง ท่านบอกว่า
“วันก่อน ผมไปประชุมที่บริษัทหนึ่ง ในที่ประชุมมีระดับบริหารทั้งนั้น เมื่อผมถามขึ้นว่า ใครมีความเห็นเป็นอย่างไรในเรื่องที่เราคุยกัน เชื่อไหมครับว่า คนตั้งสี่ห้าสิบคน ไม่มีใครให้ความเห็นเลยสักคนเดียว”

แล้วท่านก็พูดในลักษณะบ่นๆ จนผมอดไม่ได้พูดขึ้นว่า
“คนไทยไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความเห็นมาตั้งแต่ไหนแล้ว จะมีความเห็นได้อย่างไร ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็เหมือนกัน แม้กระทั่งในครอบครัว เรายังสั่งสอนลูกแบบนั้นเลย แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร เราก็สั่งสอนลูกเราแบบนั้นต่อไป”

ทุกคนเงียบ มองผมเป็นตาเดียว บางคนที่คงจะเห็นด้วยก็ก้มหน้า บางคนไม่ชอบที่ผมพูดก็มองหน้า
แต่ผมไม่สนใจ พูดต่อว่า
“เวลาเรียกประชุม จุดประสงค์ก็เพื่อขอความคิดเห็น ระดมสมอง ถ้าเข้ามาฟังอย่างเดียวไม่เห็นจำเป็นต้องประชุม ทำบันทึกสั่งมาก็ได้ ง่ายกว่าตั้งเยอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”

จะบอกว่าวงแตกก็ได้ แต่อย่างน้อยผู้บริหารท่านนั้นก็เห็นด้วยกับผมล่ะ เพราะท่านบอกว่า
“เออ จริงเพราะผมไม่เคยสอนลูกแบบนั้น ลูกจะพูดอะไรก็พูดได้ ผมฟัง แต่ผมพูดลูกก็ต้องฟังด้วยแล้วเอาไปคิดเอง”

เมื่อเรียนจบ ผมเลยใช้เวลาหนึ่งปีเต็มกับการเที่ยวและเล่นกอล์ฟ จะไปไหนก็ไป แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า มีเมืองหนึ่งที่อยู่ในความใฝ่ฝันของผมมาตลอด นั่นคือ เชียงใหม่ และยังมีเพื่อนเป็นชาวเชียงใหม่อีกตั้งหลายคนทำให้ผมไม่ลังเลตัดสินใจไปทันที


ลำพังเพียงตัวคนเดียวไม่ต้องคิดมาก จัดกระเป๋า แบมือของเงินแม่ได้มาพันเดียว แต่พันเดียวสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันเยอะนะ เทียบง่ายๆ เดี๋ยวนี้น้ำมันลิตรละเกือบสามสิบบาท เมื่อก่อนลิตรละ สามบาท ต่างกันประมาณสิบเท่า แล้วบอกแม่ว่าผมจะไปเชียงใหม่สักหนึ่งอาทิตย์ แม่พยักหน้าเฉยๆ นึกว่าจะให้เงินเพิ่มเสียอีก

ผมเป็นคนใช้รถที่ติดอันดับเลว คือขับเป็นอย่างเดียว กระทั้งเปลี่ยนยางรถยนต์ยังต้องเอาหนังสือคู่มือมาเปิดอ่านเลย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พนักงานขับรถของบริษัทพ่อที่ดูแลรถให้ก็คงบื้อๆ ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้ยางรถยนต์ที่ผมใช้อยู่โล่งเลี่ยนเหลือดอกอยู่แค่นิดเดียว หมายความว่าน่าจะบอกพ่อให้เปลี่ยนยางใหม่มานานแล้ว ความจริงผมก็พอรู้ว่ายางรถแบบนั้นไม่ค่อยปลอดภัย แต่คิดว่าถ้าขับไม่เร็วนัก ประมาณ 80 กม.ต่อชั่วโมงคงไม่กระไรนักหนา ประกอบความตั้งใจและความอยากที่จะเดินทาง อย่างอื่นแทบจะไม่ต้องคิด


ผมออกเดินทางค่ำวันศุกร์ประมาณสามทุ่มเศษ เพราะเป็นช่วงหน้าน้ำ ฝนตกปรอยๆ เกือบตลอดทั้งวันต่อไปจนถึงค่ำ ผ่านสนามบินดอนเมือง มองดูเครื่องบินที่จอดเป็นแถวๆ บางลำทะยานขึ้นบนฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์ ผ่านรังสิตจนถึงทางแยกซ้ายสู่อยุธยา - นครสวรรค์ ขวาไปสระบุรี – โคราช

ที่ปัดน้ำฝนขยับปัดเป็นจังหวะ ปัดหนึ่งครั้ง หยุดไปสี่วินาทีแล้วค่อยปัดอีกครั้งเพราะฝนไม่ได้กระหน่ำลงมา เพียงแค่โปรยปรายให้ชุ่มฉ่ำเท่านั้น ขณะที่รถเข้าโค้งกว้างๆ ด้วยความเร็วประมาณ 70 กม.ต่อชั่วโมง ผมรู้สึกว่าท้ายรถเริ่มปัด พอขยับพวงมาลัยพยายามฝืนให้รถวิ่งตรง มันกลับปัดไปอีกด้านหนึ่ง แทบจะคุมรถไม่ได้ สติหายเหลือแต่ความตกใจ เท้ากระแทกลงที่เบรคทันที เท่านั้นแหละ รถเก๋งที่ได้ชื่อว่าราคาแพงตราดาวสามแฉก เริ่มหมุนเป็นลูกข่างทันที ไม่มีทางควบคุมได้ มันควงเป็นรอบๆ สิ่งที่ภาวนาอยู่ในใจคืออย่าให้รถฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างถนนเลย ถ้าโดนเข้าไม่ว่าจะด้านไหน รถคงยับเยินแน่ ตัวเราก็อาจขึ้นเมรุเผาก็ได้ ขณะที่รถหมุนไป สายตาได้แต่เหลือกมองเสาไฟฟ้า เห็นมันแว่บๆ อยู่ที่หางตา จนต้องหลับตาปี๋ไม่กล้ามอง อย่างที่ผมบอกแหละว่าผมเป็นคนที่ขับรถค่อนข้างเลว ไม่รู้หรอกว่าเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ต้องขับยังไง

โชคดีที่รอดตัว รถควงตกไหล่ถนน ไหลลงไปนอนกลางทุ่งหญ้าคาที่เจิ่งไปด้วยน้ำหน้าฝน ระดับพื้นตรงนั้นต่ำกว่าถนนไม่น้อยประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ รถไหลลงไปแช่ในน้ำที่ค่อยซึมเข้ามาตามช่องว่างของรถ ไม่ถึงวินาที พื้นรถก็เจิ่งไปด้วยน้ำ นึกถอนหายใจ เฮ้อ! กรรมอะไรของข้าฯวะ แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะเมื่อมาคิดอีกที หากผ่านจากตรงนั้นไปแล้วต้องไปวิ่งไต่อยู่ตามโค้งบนเขา ผมอาจลงไปนอนอยู่ที่ก้นเหวก็ได้

ผมนั่งคอตก คิดไม่ออกว่าจะเอารถออกจากตรงนี้ไปได้อย่างไร รีบดับไฟหน้ารถกลัวว่าแบ็ตเตอรี่จะหมดเสียก่อนเพราะเครื่องยนต์ดับไปแล้ว เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังใจชื้นที่ขณะที่รถหมุนนั้นไม่รถตามหลังมา และไหลตกลงมาในทุ่งหญ้าคาโดยไม่ฟาดเอากับเสาไฟฟ้าเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้จนคาดไปไม่ถึงก็เป็นได้ แต่ยังไงในสภาพการณ์แบบนี้ ผมไม่มีทางช่วยตัวเองได้เลย

สายตามองไปเบื้องหน้า เห็นรถบรรทุกจอดเป็นแถว คงรอเวลาที่บรรดารถบรรทุกจะเข้าเมืองได้ และใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรถตำรวจอยู่ไม่ไกลนัก ผมรีบเปิดลิ้นชักด้านหน้า เปิดคู่มือดูว่าหากจะต้องลากรถขึ้นจะต้องใช้เชือกคล้องที่ส่วนไหนของรถ และจะต้องคล้องอย่างไร

มือขยับจะเปิดประตูปรากฏว่ามันติดแน่น คงเป็นเพราะน้ำและหญ้าคาสูงๆ ข้างนอกดันเอาไว้ ผมไขกระจกลง ปีนออกไปทางหน้าต่าง เมื่อหย่อนตัวลง น้ำท่วมขึ้นสูงถึงระดับโคนขาเกือบถึงเอว ความกลัวอีกอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาจับใจ จะมีอะไรถ้าไม่ใช่งู แต่ก็คิดว่าถ้ามีมันคงเลื้อยหนีไปแล้วตอนที่รถไหลลงมา จึงกัดฟันค่อยย่ำก้าวไปแต่ละก้าวลุยน้ำผ่านหญ้าสูงโดนใบหญ้าบาดตามแขนจนรู้สึกแสบๆ คันๆ ต้วมเตี้ยมจนถึงไหล่ถนน ถอนใจโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่โดนงูกัดล่ะ

ผมวิ่งไปที่รถบรรทุกคันแรก มองว่าหากเขาจะช่วยจะต้องไม่มีอะไรมากีดขวางทางที่จะลากรถผมขึ้นและไม่มีอะไรขวางทางรถบรรทุกคันนั้น

คนขับรถยืนท้าวเอวอยู่ข้างรถ กำลังสูบบุหรี่ ผมเดินเข้าไป ยกมือไหว้ บอกว่า
“น้า ช่วยผมหน่อยสิครับ ช่วยลากรถผมขึ้นมาหน่อย” ผมชี้ไปที่รถ ผมบอกต่อว่า “ผมจ่ายค่าเหนื่อยให้ห้าร้อยบาทนะครับ”

คนรถพยักหน้าตกลง ปีนขึ้นบนรถ หยิบเอาม้วนเชือกเส้นใหญ่ส่งให้ผมๆ บอกว่า
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมต้องไปบอกคุณตำรวจให้ช่วยกั้นถนนให้ด้วย ไม่งั้นคุณลากไม่ได้แน่” พูดจบ วิ่งไปที่รถตำรวจ ขอให้ตำรวจช่วยแล้วส่งเงินค่าเดือดร้อนให้ตำรวจไปห้าร้อยบาทเช่นกัน แล้ววิ่งกลับไปที่รถบรรทุก รับเอาเชือกเส้นใหญ่ยาวมา ส่งเงินให้คนขับรถบรรทุกไปห้าร้อยบาท หอบเชือกลุยน้ำกลับไปที่รถ ภาวนาในใจขอให้เชือกยาวมากพอเพราะดูระยะจากที่รถผมจมอยู่กับถนนหลวงมันไม่น่อยกว่าสามสี่สิบเมตรเชียว

ตอนที่ก้มลงคลำหาห่วงที่ติดกับตัวรถ หญ้าคามันทิ่มหน้าทิ่มตาจนแสบไปหมด กว่าจะเอาเชือกร้อยเข้ากับห่วง พันมัดให้แน่น จนมั่นใจว่าไม่หลุดแน่ หันกลับไปมองที่ถนนหลวง เห็นรถตำรวจจอดขวางกลางถนน เปิดไฟบนหลังคาวาบๆ ตำรวจคนหนึ่งออกมายืนโบกรถอื่นๆ ให้จอดเป็นแถว

ผมรีบปีนกลับผ่านทางหน้าต่างเข้าไปในรถ นั่งหลังพวงมาลัย โผล่ศีรษะออกไปนอกรถ โบกมือให้เป็นสัญญาณ

ผมเดาว่าการลากรถเก๋งขนาดกลางคันหนึ่ง น้ำหนักประมาณ 1,500 กก. ที่นอนแช่อยู่ในทุ่งหญ้าคาจะต้องเป็นเรื่องที่ทุลักทุเลเอาการ ที่ไหนได้ พอรถบรรทุกสิบล้อเคลื่อนที่ดึง รถที่ผมนั่งอยู่เคลื่อนหวือเหมือนลากรถเด็กเล่น เพียงไม่ถึงห้านาที รถเก๋งก็ขึ้นไปจอดสงบอยู่บนถนนหลวง ในสภาพที่แสนโสโครก รอบคันมีหญ้าคาเน่าๆ ติดห้อยไปทั่วเหมือนรังนกกระจอกเปียกน้ำ หยดติ๋งๆ สีรถกลายเป็นสีโคลนครึ่งคัน

ผมกลับออกจากรถด้วยความยินดี ไม่นึกว่ามันจะง่าย ปลดเชือกที่มัดอยู่ตรงหน้า ม้วนเป็นม้วนเอาไปส่งให้คนขับรถบรรทุก ยกมือไหว้ ไม่ลืมที่จะเดินไปหาตำรวจซึ่งตอนนี้ปล่อยรถบนถนนให้วิ่งเป็นปกติแล้ว ผมตะโกนข้ามไฮเวย์ บอกขอบคุณ ยกมือไหว้แล้ววิ่งกลับไปที่รถ

ที่ต้องลุ้นต่อไปคือ รถจะสตาร์ทติดหรือไม่ ถ้าไม่ก็คงต้องรบกวนเสียเงินตัวเองอีกให้ตำรวจทางหลวง หาช่างหรือลากเข้าอู่ แถมตอนนี้เหลือเงินแค่สองสามร้อยบาท ยังไงก็ต้องกลับบ้าน มีเงินแค่นั้นจะไปไหนรอด มือบิดกุญแจ ใจภาวนาพุทโธ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นยังความปรีดาให้แก่ผมเป็นอย่างยิ่ง ก่อนออกรถ ผมต้องจัดการดึงหญ้าเน่าๆ ที่ประดับรอบคันออกให้หมดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นอาจโดนตำรวจจับข้อหาทำบ้านเมืองสกปรกเหมือนเด็กนักเรียนเดินแจกใบปลิวเชียร์ให้ไปเลือกตั้ง กลับโดนกทม.จับข้อหาแบบเดียวกันนี้


เมื่อไม่มีเงินก็ต้องกลับบ้านแล้วออกจากบ้านเเต่เช้าเพื่อเอารถไปล้างอัดฉีดทำความสะอาดจนเหมือนใหม่ คราวนี้เงินหมดจริงๆ จะขอจากแม่อีกแม่คงสงสัยและต้องมีคำถามตามมาเยอะแยะซึ่งผมขี้เกียจตอบ แต่ก็ต้องบอกไปอย่างหนึ่งว่า เลื่อนเวลาเดินทางไปก่อน

ผมบอกพ่อให้เปลี่ยนยางรถก่อนแต่ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อค่ำวานนี้ ใช้เวลาไปตั้งหลายชั่วโมงกว่าคนขับรถจะเอาไปเปลี่ยนยางรถทั้งสี่ล้อ คราวนี้ไม่มีทางเลี่ยงที่จะไม่บอกพ่อเพื่อขอเงินไปต่างจังหวัด ปกติถ้ามีเงินผมจะไม่บอก หายตัวออกจากบ้านไปเฉยๆ พ่อใจดีกว่าแม่เยอะเพราะพ่อให้มาตั้งสามพันบาท

ผมตัดสินใจว่าจะไปแล้วไม่มีการเปลี่ยนใจง่ายๆ ผมออกเดินทางอีกครั้งคืนต่อมา ผมชอบขับรถตอนกลางคืนมากกว่าเพราะอากาศเย็นสบายไม่ร้อน ไม่มีแสงอาทิตย์กวนใจ รถราบนถนนหลวงจะน้อยกว่ากลางวันแน่นอน แต่จะลำบากหน่อยคือการมองเห็นและรถบรรทุก รถบัสคันโตๆ ที่จริงแล้วผมเคยมีประสบการณ์ที่น่าหวาดเสียวครั้งหนึ่งเมื่อออกเดินทางตอนเช้าตรู่ ดีที่มีแฟนนั่งไปเป็นเพื่อน เมื่อพระอาทิตย์เริ่มแรงกล้ามากขึ้นทำให้แสบตา ความร้อนแรงของแสงแดดทำให้ง่วงโดยไม่รู้ตัวและหลับในทั้งที่ยังลืมตาอยู่นี่แหละทั้งที่แอร์ในรถยังเย็นฉ่ำ มาตกใจสะดุ้งตื่นรู้สึกตัวตอนที่แฟนสะกิดเพราะเห็นว่าผมขับทื่อเข้าหารถบรรทุกคันหน้าจนเกือบจะชนอยู่แล้วและไม่ชะลอความเร็วลงสักที ถ้าครั้งนั้นผมขับไปเพียงลำพังหรือแฟนผมดันหลับไปด้วย ผลลัพธ์ยากเกินที่จะบรรยาย อาจไม่มีโอกาสมานั่งเขียนเล่าเรื่องอยู่ตอนนี้ก็ได้

เมื่อขับถึงทางโค้งสุดที่รักโค้งนั้น ผมมองดูข้างทางที่เมื่อคืนฝากรอยเอาไว้ เป็นรอยล้อแหวกหญ้าคายาวเป็นทางจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งคือทั้งตอนขาลงและตอนที่ลากรถขึ้น นึกแล้วให้เสียวสันหลังวาบๆ แต่คืนนี้ แม้ฝนจะยังคงพรำๆ ไปตลอด ด้วยยางรถยนต์ใหม่เอี่ยมทั้งสี่เส้น ผมกล้าขับเร็วขึ้น รถวิ่งได้มั่นคงดี

ผมแวะเติมน้ำมันครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเห็นจะเป็นที่จังหวัดตาก และมาชะลอความเร็วลงเมื่อถึงจังหวัดลำปางหรือลำพูนไม่แน่ใจ เห็นรถกระบะ รถเก๋ง รถเล็กๆ จอดยาวข้างทางเป็นแถว ผู้คนยังอยู่กันในรถออกมาเดินเล่นไม่ได้เพราะฝนยังตกอยู่ตลอดเวลา จอดถามไถ่รถที่จอดข้างทางว่าเกิดอะไรขึ้น ได้รับคำตอบว่าถนนขาดเพราะน้ำป่ามันหลากไหลท่วมถนนเป็นระยะทางยาว รถขนาดเล็กไม่สามารถผ่านไปได้ นั่นหมายถึงรถที่ผมขับด้วยและไม่รู้ว่าเมื่อไรน้ำจะหยุดเสียด้วย

ผมดูเวลา มันบอกเวลาตีสี่เศษเกือบตีห้าอยู่แล้ว ใจหนึ่งไม่อยากเสี่ยงขับลุยไปเพราะเมื่อเปิดไฟสูงส่องไปเบื้องหน้าเห็นน้ำไหลบ่าแรงจากขวาไปซ้าย กระแสน้ำค่อนข้างแรง ที่สำคัญคือมองไม่เห็นถนน แต่ครั้นจะไม่ไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรน้ำป่าจะหยุด อาจเป็นชั่วโมง อาจเป็นวันก็ได้

ที่ทำให้ผมตัดสินใจได้คือเมื่อเห็นรถจี๊ปคันหนึ่งไม่จอดถามไถ่ขับลุยน้ำไปหน้าตาเฉย ผมตัดสินใจในบัดดลสตาร์ทรถขับตามไปทันที ผมไม่ได้กลัวน้ำ แต่กลัวขับตกถนนมากกว่า เมื่อมีรถนำทางเช่นนี้ทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้นขับจี้ตามติดไป แน่นอนไม่มีทางที่จะขับเร็วได้เพราะกระแสน้ำที่พัดมาค่อนข้างแรง ขนาดที่ต้องฝืนพวงมาลัยทวนกระแสน้ำที่พัดมา ขืนปล่อยมือให้วิ่งไป รับรองว่าไม่ถึงวินาทีต้องลงข้างทางแน่และไม่รู้ว่าจะล่องไปลงที่แม่น้ำสายไหน ถึงจะงมได้ถูก

ที่ทำให้ผมเหงื่อแตกพลั่ก มือที่กำพวงมาลัยเย็นเฉียบเพราะรถคันหน้ามันสูงกว่าสามารถขับไปได้เร็วกว่า ค่อยๆ ทิ้งผมห่างออกไปทุกทีจนเห็นแต่เพียงไฟท้ายแดงๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงจุดเล็กๆ ข้างหน้า สิ่งที่ผมสามารถทำได้ทางเดียวคือรักษาเส้นทางให้รถวิ่งไปตรงที่สุดเหมือนรถจี๊ปคันหน้าที่รักษาเส้นทางให้ตรงเข้าไว้ อย่าให้มันหลุดลงทางซ้าย ในใจนึกภาวนาอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากทั่วโลกให้ช่วยลูกช้างด้วย อย่าให้ลูกช้างต้องลงไปนอนในแม่น้ำเลย ไฟหน้าที่ส่องออกไปมีประโยชน์อย่างเดียวคือทำให้มองเห็นสายน้ำเชี่ยวที่พัดผ่านขวางหน้า ผมต้องฝืนพวงมาลัยขับขวางกระแสน้ำอย่างโดดเดี่ยว นึกในใจว่าตั้งแต่นี้ต่อไปถ้ารอดไปได้ ไม่จมหายไปเสียก่อน ข้าฯ จะไม่เอาแล้วโว้ย เข็ดจนตาย นี่ถ้าจับพวงมาลัยในลักษณะมุมเท่านี้แล้ววิ่งบนถนนปกติ รับรองได้ว่ารถจะวิ่งรอบพระบรมรูปทรงม้าในวงแคบๆ อย่างสบายๆ

ความจริงก่อนหน้านี้ก็มีลางบอกเหตุที่ลงไปแช่ในดงหญ้าคาแล้วนะ มันน่าจะเป็นลางสังหรณ์บ้าง แต่เปล่า คนทั้งดื้อทั้งอยากอย่างผม บางคนอาจจะเข้าใจก็ได้

ขณะที่โต้กระแสน้ำเชี่ยวจนรู้สึกเลยว่ารถลอยขึ้นล้อลอยพ้นพื้นถนนและส่ายไปมาตามกระแสน้ำเล็กน้อย เสียงน้ำกระแทกทั้งข้างรถและใต้ท้องรถดังพั่บๆ อยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ไม่ติดว่าเป็นผู้ชายคงร้องไห้โฮออกมาแล้ว อีกใจหนึ่งก็นึกด่าไอ้รถจี๊ปบ้านั่นที่ไม่ยอมรอข้าฯ เลย หรือว่ามันจะไม่รู้ว่ามีอีหนูตราดาววิ่งตามมาขออาศัยส่วนบุญนำทางให้ “เวรกรรมแท้”

จนในที่สุดจุดไฟท้ายแดงๆ ของรถจี๊ปคันหน้าก็หายลับไปกับสายตาในความมืดซึ่งเป็นเวลาเดียวกับสายน้ำเชี่ยวจบลงพอดีๆ ผมถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ แทบจะฟุบลงไปกับพวงมาลัยด้วยใจอันเหนื่อยล้า เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ผมขับรถต่อไปช้าๆ เหยียบเบรคย้ำๆ กันหลายครั้งเพื่อไล่ความชื้นออกจากเบรค จนรู้สึกว่าเบรคทำงานเป็นปกติดีแล้ว ค่อยเร่งความเร็วขึ้น ถ้าตอนนั้นมีใครนั่งอยู่ข้างๆ ผมคงกระโดดจูบสักฟอด หัวใจมันพองโตลิงโลดจริงๆ อย่างที่บอกแหละว่า “เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ”

เมื่อมองดูเวลา มันบอกเวลาหกโมงเศษแล้ว หมายความว่าผมขับรถลุยน้ำนานตั้งกว่าครึ่งชั่วโมง แต่มันเหมือนครึ่งปีมากกว่า

ท่านผู้อ่านที่รัก กรุณารับทราบเอาไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า เวลาที่เขาบอกว่าถนนขาดเพราะน้ำป่าหรือน้ำท่วมก็แล้วแต่ ต้องอย่าขับลุยไปเป็นอันขาด ผมยังโชคดีที่ถนนสายนั้นเป็นสายตรงๆ ทื่อๆ ซื่อๆ ถ้าหากเป็นถนนที่มีทางโค้งเพียงนิดเดียว ถ้ารถไม่ลงจากถนนลงไปว่ายน้ำกับปลา มาเตะก้นได้เลย ยิ่งเป็นเวลากลางคืนกลางดึกแบบนั้นต้องยิ่ง “อย่า”เป็นอันขาด – อย่าทำโง่ๆ แบบผม




พอเริ่มมีสติก็เป็นเวลาเช้าพอดี พระอาทิตย์แหกม่านฟ้าทาบไปกับแนวสันเขายาวเป็นเทือกสูงต่ำสลับกันไปมาขับส่องแสงสีทองอร่ามตาที่ฟ้าเชียงใหม่ เมืองที่ผมรักที่สุดเมืองหนึ่ง ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมมีบัตรเครดิตของฝรั่งที่ทำคู่กับพ่อ ถ้าใช้แล้วเราไม่จ่ายหรือไม่มีจ่าย พ่อก็ต้องจ่ายอยู่ดีทำให้ลิงโลดใจยิ่งนัก ยิ่งเห็นบ้านเรือนเก่าๆ อันแสนอบอุ่นร่มรื่นทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาสองครั้งสนิท


ผมโทรศัพท์ถามเพื่อนสร้างความตื่นเต้นให้นายอ๊อดเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เคยเรียนหนังสือด้วยตั้งแต่ชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ

“เฮ้ย อ๊อด ข้าฯ เอง” ผมรู้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะที่จะโทรไปกวนเพื่อนในยามเช้าเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้เพราะผมมีความรู้เกี่ยวกับเส้นทางของเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างน้อย ถนนหนทางแทบจะเป็นศูนย์คือไม่รู้เรื่องนั่นเอง อย่าว่าแต่เมืองเชียงใหม่เลย แม้แต่กรุงเทพมหานครที่ผมเกิดแท้ๆ ผมยังไม่ค่อยจะประสาเลย

ว่ากันจริงๆ ผมว่าประเทศไทยโดยเฉพาะในกทม. มีชื่อถนนเยอะมาก จำกันไม่หวาดไม่ไหว วันไหนมีถนนตัดเพิ่ม ระยะทางเพียงแค่กิโลเมตรเดียวก็ยังตั้งชื่อใหม่ให้มัน เห็นๆ กันเลยว่าจากแยกหนึ่งไปยังอีกแยกหนึ่งเป็นชื่อถนนสายหนึ่ง แล้วถนนสายเดียวกันนั้นเองที่เป็นเส้นตรงต่อจากแยกนั้นไปก็กลายเป็นอีกชื่อหนึ่ง ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นคงไม่มีปัญหา แต่คนอื่นที่อยู่กันคนละมุมเมืองล่ะ บางทีชื่อถนนใหม่ยังนึกว่าเป็นชื่อขนมหม้อแกง ไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร หรือมีถนนสายนี้ด้วยหรือ มันน่าจะเรียก กินเนสบุ๊ค มาบันทึกเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้สบายบรื๋อ

หรือไม่อาจเป็นเพราะผังเมืองของกรุงเทพฯ เลวร้ายได้พอกัน พูดง่ายๆ คือไม่มีผังเมืองที่ดีนั่นเอง เวลาถนนสายไหนมีปัญหาการจราจรเกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เช่น บริเวณใดที่มีการจัดงานใหญ่ๆ คนไปกันเยอะๆ หรือฝนตกหนักน้ำท่วมที่สายหนึ่ง กรุงเทพฯ จะกลายเป็นอัมพาตทันที คำว่าอัมพาตหมายถึงหนึ่งชั่วโมงไม่ขยับไปไหนเลยเป็นต้น

คนกรุงเทพฯ ที่ใช้ถนน ถ้าไม่เคยติดอยู่บนถนนนานห้าชั่วโมงเต็มๆ โดยที่ขยับไปได้แค่สองกิโลเมตร ไม่นับว่าเป็นคนกรุงเทพฯ

อ๊อดส่งเสียงงัวเงียและคงไม่สบอารมณ์บอกว่า
“ข้าฯ น่ะใคร หมาหรือคน?”
“หมาก็ได้ ข้าฯ เองโว้ย ทอง เอ็งจำพ่อเอ็งไม่ได้แล้วหรือวะ?” ผมบอก
“เออ แล้วเอ็งเสือกโทรมาทำไรเช้าแบบนี้วะ?” นายอ๊อดยังไม่รู้ว่าผมมาถึงเชียงใหม่แล้ว ผมไม่ได้แจ้งให้มันรู้ล่วงหน้า
“ไม่ได้อยากจะโทรหรอก แต่ตอนนี้ข้าฯ เพิ่งมาถึงเชียงใหม่ กำลังหาโรงแรมนอน มีที่ไหนที่สวยๆ แพงๆ บ้างวะ ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน บอกหน่อยสิ”

อ๊อดบอกชื่อโรงแรม ฟังดูดีจัง มันบอกว่าจะโทรไปจองให้แล้วค่อยเจอกันตอนเย็นหลังมันเลิกงาน

ผมบอกว่า
“เออ ดีแล้ว ข้าฯ ก็ทั้งง่วงทั้งเพลีย แล้วเจอกันตอนเย็นๆ แล้วกัน”

กว่าผมจะไปถึงโรงแรมทำเอาเหนื่อยเพราะต้องถามทางไปตลอดทาง โรงแรมที่พักสวยดี ห้องที่พักเห็นทัศนียภาพด้านหลังโรงแรม เป็นที่โล่งว่างเป็นร้อยๆ ไร่ มีต้นไม้ทั้งใหญ่น้อยขึ้นรกตาไปหมด ไกลออกไปมีฉากหลังเป็นภาพของดอยสุเทพอันเลื่องชื่อ

ผมไม่อาบน้ำ ไม่แปรงฟัน ทันทีที่เข้าห้องพัก ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆ แต่เหมือนไม่หลับ คงเพราะตาค้างที่ไม่ได้หลับขับรถมาตลอดคืนและภาพที่ขับรถลุยน้ำป่ายังหลอนอยู่ในจิตสำนึกอยู่เลย แต่หลังอาหารเที่ยงพอหลับได้งีบหนึ่งและฝันไป

ในฝัน ผมจำได้แม่นว่า ผมยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เฝ้ามองดูขบวนแห่แหนอันยาวเหยียด ผู้คนล้นหลามเนืองแน่นตลอดทาง ชุดแต่งกายของแต่ละคนดูแปลกตาเหมือนเครื่องแต่งกายในยุคโบราณ โดยเฉพาะในขวบแห่ที่แต่งกายแสนวิจิตรดูงามตา ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาดูตระการตายิ่งนัก หญิงสาวจะม้วนผมเป็นมวยรัดด้วยดอกไม้ห้อยเป็นอุบะ ฝ่ายชายแต่งกายคล้ายชุดทหารหลากสีสัน ไม่มีอาวุธ ขบวนที่ตามมาเป็นปี่พาทย์ทั้งคล้องกลองเสนาเสนาะ

กลางขบวนเป็นเสลี่ยงสูงสีทองเหลืองอร่าม ประดับดอกไม้รอบคัน มีสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งประทับเด่นเป็นสง่าอยู่บนเสลี่ยง ใบหน้างดงามดั่งเทพธิดา ผิวขาวนวลเปล่งรัศมีรอบกาย ความงามทำให้ผมจ้องตาแทบไม่กระพริบ นิ้วมือเรียวๆ ของเธอโบกไปมาให้กับฝูงชนอย่างช้าๆ เป็นภาพที่จับตายิ่งนัก

เมื่อเสลี่ยงเคลื่อนที่ผ่านมายังที่ผมยืนอยู่ ผมมั่นใจว่าสตรีสูงศักดิ์นางนั้นมองมาที่ผมพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้างดงามดั่งเทพธิดานั้น และหากผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป สตรีนางนั้นตั้งใจโบกมือให้ผมด้วยซ้ำ แม้เสลี่ยงคันงามนั้นจะเคลื่อนที่คล้อยผ่านไปแล้วก็ตาม ผมก็ยังเห็นสายตางดงามดั่งเนื้อทรายคู่นั้นมองมาที่ผมอยู่เพียงแต่ไม่ได้หันหน้ามามองเท่านั้น

ผมตื่นขึ้นตอนบ่ายจัด จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ เหมือนจะรู้ว่านายอ๊อดจะมาเร็วกว่าเวลาเลิกงานเพราะพอแต่งตัวเสร็จ เสียงโทรศัพท์ที่ข้างหัวเตียงพลันดังขึ้น นายอ๊อดบอกว่ากำลังรออยู่ที่ชั้นล่าง

เกิดมาผมไม่เคยกอดกับผู้ชายมาก่อน แต่คงเป็นเพราะที่ตัวเองรอดตายมาได้สองครั้ง เมื่อเห็นหน้าอ๊อดเพื่อนเก่าที่จากกันมาหลายปีทำให้ผมอดไม่ได้ดึงตัวมันเข้ามากอดแบบที่เคยเห็นในหนังฝรั่ง เพียงแต่ไม่ได้จุ๊บแก้มกันเท่านั้น ผมพูดขึ้นก่อนด้วยความยินดีว่า
“ข้าฯ ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอนายอีกครั้ง อย่าเพิ่งรีบตายนะ”

อ๊อดทำหน้างงๆ ไม่นึกว่าผมจะทักทายมันด้วยการกอด ส่วนที่บอกว่า อย่าเพิ่งรีบตายน่ะเป็นธรรมดาของคนปากเสียเช่นผม แต่ผมก็รู้สึกนะว่าอ๊อดก็ดีใจที่ได้เจอผมเช่นกัน ต่างคนต่างเล่าเรื่อง
ความเป็นไปของตัวเองให้กันและกันฟังอย่างสนุกสนาน แน่นอน ผมเล่าเรื่องการผจญภัยบนถนนหลวงสองครั้งที่เกิดขึ้นให้มันฟัง มันทำท่าตกใจไม่รู้จริงหรือเก๊ ลงท้ายด้วย ต่างยังไม่มีแฟนด้วยกันทั้งคู่

อ๊อดบอกว่า
“งั้นเดี๋ยวหลังอาหารจะพาไปแต่งงาน”
“พาไปฟังเพลงก่อนดีกว่า ข้าฯ อยากฟังเพลง มีที่ไหนที่มีนักร้องเจ๋งๆ ช่วยพาไปหน่อย แต่แบบคาเฟ่ไม่เอานะ” ผมบอก

อ๊อพาผมไปทานข้าวที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องขับออกนอกเมืองไปไกลเหมือนกัน ร้านอาหารแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่นั่งกลางแจ้ง อีกส่วนหนึ่งเป็นห้องกระจกขนาดค่อนข้างใหญ่ บรรยากาศโดยทั่วไปเยี่ยมยอดเหมือนสวนอาหารที่เต็มไปด้วยร่มไม้ มีโป๊ะไฟที่ใช้กระถางดินเผาสีแดงเป็นลวดลายโปร่งๆ ให้แสงไฟที่จุดด้วยไต้หรือเทียนไขก็ไม่รู้ปล่อยแสงวาบๆ ออกมา ตั้งอยู่บนเสาไม้สูงระดับเอว ตั้งห่างกันเป็นระยะๆ รอบบริเวณ คงเป็นเพราะฝนที่ยังตกพรำๆ ทำให้ร้านอาหารมีโต๊ะเราแค่เพียงโต๊ะเดียว

อาหารอร่อย บริการดี โดยเฉพาะเด็กสาวๆ หน้าตาแฉล้มพูดจาหวานแหววเสนาะหู ดูเพลินตาจำเริญใจ จนอยากเป็นเจ้าของร้านอาหารเสียเอง แต่ถ้ามีลูกค้าเพียงแค่นี้ ไม่นานคงได้ปิดกิจการเป็นแน่แท้

หลังอาหาร อ๊อดพาไปฟังเพลง ซึ่งเป็นห้องฟังเพลงดื่มเหล้าของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง และเป็นเวลาพอดีกับที่หญิงสาวซอยผมสั้นแบบผู้ชายแต่ยังมีความเป็นแบบของสตรีอยู่ ใบหน้านั้นสวยอย่างประหลาด ไม่ใช่สวยแบบนางสาวไทยอะไรเทือกนั้น แต่เป็นแบบทันสมัยดูผสมปนเปกันระหว่างตะวันตกกับไทยปนจีน เสื้อเชิร์ตสีขาวแขนยาวพับถึงศอกเสียบชายในกางเกงยีนสีฟ้าอ่อนทำให้ดูเก๋ไก๋ เธอประคองกีต้าร์ครวญเพลงได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งมาก จนผมอดไม่ได้ต้องขอเพลงซึ่งไม่นึกว่าเธอจะเล่นและร้องได้ คือเพลง The First Time Ever I Saw Your Face เป็นนัยบอกเธอตามความหมายของเพลงนั้น และเธอก็ครวญเพลงได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

ผมถามอ๊อดว่า
“ทำยังไงถึงจะรู้จักเธอได้วะ?”
“เธอชื่อเดียร์ คงเป็นชื่อเล่นมั้ง ส่วนอย่างอื่นต้องคิดหาทางเอาเอง”

ผมคิดตามที่อ๊อดบอก หากผมเข้าไปทำความรู้จักเธอตอนนี้ ผมก็เหมือนแขกคนอื่นๆ ที่เข้ามาดื่มเหล้าและสนใจนักร้องซึ่งก็น่าจะเป็นธรรมดาสำหรับเธอที่อาจจะเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เธอก็คงต้องทำหน้าที่ของการเป็นพนักงานที่ดีที่จะต้องต้อนรับแขกหรือดึงแขกให้มาใช้บริการที่นี่ ผมก็คงไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งในสายตาของเธอ ถ้าจะให้เป็นที่สนใจของเธอ ผมต้องแหวกแนว

ผมถามอ๊อดต่อว่า
“นอกจากที่นี่ เธอต้องร้องเพลงที่ไหนอีกหรือเปล่า?”
“คงไม่มั้ง ” อ๊อดบอก
“เอ็งรู้ได้ไงวะ?” ผมถามเพราะไม่นึกว่าอ๊อดจะรู้อะไรมากถึงเพียงนั้น
“ก็ ข้าฯ เคยตามจีบอยู่เหมือนกัน ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” มันหัวเราะ สารภาพความจริงออกมา
“แล้วเป็นไง?” ผมถามด้วยความอยากรู้
“รู้จักแห้วไหม อร่อยนะ ยิ่งเคี้ยวยิ่งมัน ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” อ๊อดหัวเราะ ไม่รู้ว่าหัวเราะให้กับโชคชะตาหรืออะไรกันแน่ แต่เป็นหัวเราะที่ออกจะเซ็งๆ
“เพราะอะไรล่ะ?”
“ข้าฯ เชื่อว่านะ ทุกคนที่เข้าไปจีบคงได้รับคำตอบเดียวกันคือ เธอไม่ชอบผู้ชาย” อ๊อดบอก
“หมายความว่าเป็นทอมหรือดี้?” ผมถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน” อ๊อดบอก
“แล้วรู้ไหมว่าเธอพักอยู่ที่ไหน?” ผมซักต่อ
“รู้ แต่ไม่แน่ใจว่าเธอยังจะพักอยู่ที่เก่าหรือเปล่านะ”
“แล้วจะรู้ได้ไงว่าเธอพักที่ไหน?” ผมถาม
“ก็ ถามดูสิ หรือไม่ก็ตามไปดู......” อ๊อดบอก แล้วเหมือนจะนึกขึ้นได้ ถามผมว่า “.....เอ็งคิดจะทำอะไรของเอ็งวะ?”
“อืม....ไม่รู้สิ.....ก็ถามไปงั้นๆ แหละ” ผมบอกไปอย่างนั้นเอง ความจริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าสนใจหญิงสาวน่ารักๆ แถมยังมีฝีมือทางดนตรี และร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมตามประสาชายหนุ่มโสดไม่มีแฟน

ความจริงผมเป็นคนที่นิยมชมชอบคนที่มีฝีมือทางดนตรีอยู่แล้วทั้งที่ตัวเองจะไม่ได้เรื่องเลย ยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งไปงานวันเกิดของคุณตาของเพื่อนคนหนึ่งที่บ้าน พี่ชายของเพื่อนคนนี้เป็นนักเปียโนที่เก่งมาก ขนาดจบปริญญาโททางดนตรีจากเมืองนอก ผมนั่งฟังพี่ชายเพื่อนเล่นอย่างตั้งใจโดยไม่ได้สนใจน้องสาวแสนน่ารักของเพื่อนที่นั่งคุยกับผมอยู่ข้างๆ จนแม่คุณงอนหน้าเป็นจวัก พาลไปหาเรื่องกับพี่ชายที่เล่นเปียโน จนวงแตกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะหล่อรากดินอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะเธออายุแค่สิบขวบเท่านั้นและชอบชวนผมเล่นไล่จับทุกครั้งที่ไปบ้านเพื่อนคนนี้

ผมบอกให้อ๊อดเรียกเด็กมาเก็บเงินค่ากาแฟ ช่างเป็นเพื่อนที่แสนจะเหมือนกันอะไรปานนั้นเพราะ เราไม่ดื่มเบียร์เหล้าอะไรเทือกนี้เลย



อ๊อดเคยเล่นกอล์ฟเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่หลังจากที่เล่นได้สามสี่ปีเขากลับเลิกเล่น ให้เหตุผลกับผมว่า
“กอล์ฟเป็นกีฬาที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าฯ เคยเล่นกีฬามา มันช่วยปลุกเอาความเป็นคนแท้ๆ ออกมาให้เห็นได้ชัดเจนเรียกว่า กิเลส ข้าฯ เล่นกอล์ฟมาเกือบสี่ปี เอ็งก็รู้ว่าฝีมือข้าฯ เป็นยังไง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ จากคนที่ไม่เคยรู้จักตัวเองมาก่อน นึกว่าตัวเองเป็นคนที่สุขุม เยือกเย็น นึกว่าตัวเองวิเศษกว่าใครอื่นแม้กระทั่งเอ็ง แท้ที่จริงแล้ว ข้าฯ ไม่ต่างจากใครทั้งสิ้น ทำไมข้าฯ จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง อยู่ที่จะยอมรับกันดีๆ หรือจะหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ข้อหลัง

ข้าฯ ก็เลยคิดว่า ถ้าข้าฯ สามารถเดินท่องไปในสนามโดยไม่ต้องเล่นกอล์ฟ ข้าฯ จะทำได้หรือไม่ ปรากฏว่าได้เหมือนกันเพราะข้าฯ เคยเดินตามพ่อเล่นกอล์ฟ เมื่อข้าฯ ทำได้ ข้าฯ ก็ไม่เห็นจะจำเป็นต้องเสียเงินเล่นกอล์ฟ แค่เข้ามาเดินเล่น ไม่ว่าจะร้อนแค่ไหนก็เดินได้ แกรู้ไหมว่าข้าฯ ได้อะไรมาบ้าง?.....” มันคงพูดเหนื่อยเลยเว้นวรรคด้วยคำถาม ผมไม่ตอบ ปล่อยให้มันพล่ามไป อ๊อดบอกต่อว่า

“.....ข้าฯ ได้เรียนรู้ตัวเอง ได้เรียนรู้วิธีการเอาชนะตัวเองโดยมีกอล์ฟนี่แหละที่ทำให้ข้าฯ เห็นแสงสว่างตรงนั้น มันเป็นธรรมะอย่างหนึ่งเหมือนกัน หมายความว่าการจะเล่นกอล์ฟได้ดี จะต้องรู้จักเอาชนะตัวเองเป็นเบื้องต้น ก็คือการเล่นอย่างมีความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ หากทำได้และเข้าใจจริงๆ ว่ามันคืออะไร คนๆ นั้นจะต้องเป็นนักกอล์ฟที่เก่งที่สุดในโลก เพราะแม้จะแพ้ก็ยังเรียกได้ว่าผู้ไม่ชนะ เพราะมีผู้ไม่ชนะเยอะแยะ.....และเป็นสุขใจจริงๆ เสียด้วย ถ้าเป็นนักกอล์ฟแบบนี้ ไม่ต้องเล่นก็ได้”

ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหน มาเข้าใจจริงๆ ก็ตอนนี้เองว่ามันเป็นคนช่างคิด บางทีก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเอามาพูดให้ผมฟัง แน่นอน ผมจะไปรู้เรื่องได้ยังไง ก็มันคิดของมันเอง ในเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วใครจะรู้เพราะมันไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องอะไร จนผมคิดว่ามันบ้า


อ๊อดพูดต่อว่า
“เอ็งคงไม่รู้ว่า ข้าฯ เริ่มปฏิบัติธรรมทันทีเมื่อเริ่มคิดได้ เพราะอะไรรู้ไหม?.....” ผมไม่ตอบอีก แต่คราวนี้ชักสนใจในสิ่งที่มันพูด มันบอกต่อว่า “......เพราะการปฏิบัติธรรมทำให้ข้าฯ เข้าใจอะไรได้หมดทุกอย่าง อย่างเอ็งเนี่ยนะ ลองไปตีให้ข้าฯ ดูสักสองสามหลุม รับรองได้ว่า ข้าฯ ต้องบอกได้แน่ เอ็งดีและไม่ดีตรงไหน เพราะอะไร”

ผมค่อนข้างเชื่อว่ามันทำได้ แต่สนใจที่มันพูดมากกว่า คือแม้ฟังแล้วจะยังงงๆ ไม่แน่ใจว่ามันจะพยายามบอกอะไรผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือแค่คิดว่า มันอาจจะรู้ก็ได้ว่าเพื่อนของมันคนนี้ไม่ใช่คนประเภทที่จะมายัดเยียดอะไรให้กันตรงๆ ได้ มันเลยพยายามเจรจาหว่านล้อมให้ผมทำอะไรสักอย่างหรือคิดอะไรในทางเดียวกับมัน มันเลยต้องตีลูกวน แต่รู้สึกจะวนไกลไปสักหน่อย จนผมตาลายไปหมด

ผมถามว่า
“ที่เอ็งพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบอกข้าฯ ว่า ต่อไปอย่าชวนเอ็งเล่นหรือซ้อมกอล์ฟหรือเปล่า?”

มันพยักหน้าหงึกๆ รับว่าใช่ ผมเลยไม่ชวนมันเล่นกอล์ฟในเช้าวันต่อมา และมันก็รู้ว่ามันห้ามผมไม่ให้เล่นกอล์ฟไม่ได้ ใครจะบ้าเดินเล่นในสนามกอล์ฟโดยไม่เล่นกอล์ฟอย่างมัน แม้จะชวนผมไปแต่งงานก็ตาม – ตกลงคืนนั้น มันไม่ได้พาผมไปแต่งงานหรอกนะ เพราะพอออกจากโรงแรมที่เราไปนั่งฟังเพลง ผมก็บอกให้มันไปส่งผมที่โรงแรมที่พัก

สนามกอล์ฟลานนาค่อนข้างจะเงียบเหงาในเช้าวันพฤหัส สมัยนั้นกรีนฟีส์ค่อนข้างถูก จ่ายทีเดียว เล่นได้ทั้งวัน ผมไม่ได้เล่นที่สนามนี้มานานแล้ว ไม่รู้ว่าต่างจากเมื่อก่อนสักขนาดไหน เมื่อก่อนมีสนามม้าอยู่ข้างๆ แทบจะติดกันเลย ประมาณหลุมท้ายๆ บางวัน น่าจะเป็นวันอาทิตย์มั้งที่มีแข่งม้า จะได้ดูม้าแข่งไปด้วย เห็นสภาพม้าแต่ละตัว มันไม่ค่อยจะทัดเทียมกันเสียเลย บางตัวดูดีแข็งขัน บางตัวดูดีกว่าม้าแกลบนิดเดียว ไม่น่าจะแข่งกันได้เลย อัฒจรรย์คนดูจะอยู่ฟากตรงข้าม รู้สึกคนจะเข้ามาดูม้าแข่งเยอะเหมือนกันเพราะเวลาม้าเริ่มวิ่ง เสียงคนดูจะโห่ร้องเชียร์ม้าที่ตัวเองพนันเอาไว้ ยิ่งใกล้เส้นชัย เสียงยิ่งดังอึงคะนึง จ็อคกี้บนหลังม้าจะขย่มไสม้าเป็นการใหญ่ ดูไปเหมือนคนบ้าอีกแบบ ตามปกติวิสัยของคนที่ไม่เคยอยู่สุข และไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราว ได้แต่ความสะใจและหาเงิน ที่ดีๆ ไม่ค่อยคิดกันเหรอกเพราะมันไม่สนุกแบบที่ชอบ

ผมยังเคยคิดเลยว่า ถ้าแข่งม้าเหมือนกอล์ฟ คือวิ่งให้ช้าที่สุด ใครเข้าที่หลังสุดเป็นผู้ชนะ อยากรู้จังว่ามันจะเป็นยังไง

อากาศยามเช้าสดใสกว่าเมื่อวาน แต่เมฆยังครึ้มอยู่ สายลมชื้นๆ โชยมาอ่อนๆ พาเอากลิ่นฝนมาด้วย ผมแหงนหน้ามองภาพสนามเขียวๆ ที่โปรยไว้ด้วยหยาดน้ำค้างจนดูขาวโพลนไปทั่ว เมื่อสายลมแรงกรรโชกมาวูบหนึ่ง มันสะลัดเอาหยาดน้ำค้างที่จับอยู่ตามกิ่งใบต้นไม้ใหญ่ให้ร่วงพรูกระจายไปตามสายลม เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าพลันเกิดเป็นประกายวูบวาบราวกับราวประกายเศษดาวที่นางฟ้าเสกให้

ผมหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด บันทึกกลิ่นอบอวลของเชียงใหม่เอาไว้ในความรู้สึก เผื่อว่าวันใดที่คิดถึงจะได้เรียกเอากลิ่นไอแห่งความทรงจำออกมา ร่ายเล่าต่อให้คนอื่นร่วมประทับใจด้วย อย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้

ผมซ้อมสวิงลมอยู่สามสี่ครั้ง ตั้งท่าแล้วตีลูกออกไป สายตาเหลือบเห็นแค้ดดี้สาวคนหนึ่งกำลังแบกถุงกอล์ฟเดินตามมา นึกดีใจที่จะมีเพื่อนร่วมเล่นด้วย

ผมเอ่ยปากถามแค้ดดี้ว่า
“นายมาคนเดียวเหรอ?”
“เจ้า” เธอตอบแล้วยิ้ม
“เราจะเล่นไปด้วยกันดีไหม?” ผมถาม
“ถามนายเองสิเจ้า” แค้ดดี้บอก แล้วยิ้มอีก แล้วเดินจากไปที่แท่นแดง หมายความว่าเป็นนักกอล์ฟสตรี

เออจริงของแค้ดดี้ ผมก้มลงรูดซิบด้านหน้าของถุงกอล์ฟเพื่อนับลูกกอล์ฟว่ามีกี่ลูก เปล่า ไม่ได้กลัวว่าแค้ดดี้จะขโมยหรอก แค่อยากรู้จะได้เตรียมการซื้อเพิ่มเสียแต่เนิ่นๆ ล้วงมันแทบจะทุกช่อง ปรากฏว่ามีเป็นสิบ ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินมา เข้าใจว่าคงเป็นสตรีเขจ้าของถุงกอล์ฟเมื่อครู่ ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นดู ภาพที่เห็นทำให้ผมแปลกใจ เธอเป็นผู้หญิงแบบผู้ชายน่ะ

ผมซอยสั้นแบบผู้ชาย ใบหน้าหล่อดีถ้าเป็นผู้ชายก็คงดี เสื้อยืดสีเขียวตัวโคร่งยี่ห้อแพง กางเกงตัวหลวมจนรู้สึกว่าน่าจะผิดขนาด ท่าทางเดินเลียนแบบให้เป็นผู้ชายแต่มันมากไปหน่อยเพราะผู้ชายไม่เดินกันแบบนั้น เหมือนผู้ชายที่พยายามจะเป็นผู้หญิงเกินไป ปากคาบบุหรี่เหมือนพระเอกในหนังคาวบอย

ผมทักขึ้นยิ้มๆ ก่อนว่า
“สวัสดีครับ ผมเล่นคนเดียว จะเล่นไปด้วยกันไหมครับ?”

เธอมองหน้าผม สีหน้าไม่บอกอะไร บอกว่า
“ไม่อ่ะ เสร็จแล้วต้องรีบกลับ”
“งั้นเชิญก่อนเลย ผมไม่ได้รีบ เล่นได้ทั้งวัน ยังกะว่าจะเล่นจนพระอาทิตย์ตกดินด้วยซ้ำ เอ่อ.... ไม่ทราบว่าคุณต้องกลับกี่โมงหรือครับ?” ผมถาม ความจริงผมไม่ได้อยากคุยด้วยนักหรอก แต่ผมไม่เคยรู้จักใครที่เป็นทอมมาก่อน เลยอยากลองคุยด้วย ดูว่าชายประเภทนี้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไรบ้าง เผื่อว่าจะมีเพื่อนแบบนี้ในอนาคตจะได้วางตัวได้ถูก แล้วผมก็ได้เรียนรู้บทเรียนแรกจากเขาคนนี้ก็คือ ไม่ค่อยจะมีมารยาท เพราะเธอบอกเพียงสั้นๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วหันหลังเดินจากไป ขึ้นแท่นทีสีแดง

“โธ่เอ๊ย!นึกว่าแน่ ที่แท้ก็ไปเล่นแท่นแดง แน่จริงเล่นที่แท่นขาวหรือน้ำเงินดูสิ” ผมนึกในใจ ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ เดี๋ยวโดนชก

เธอตีลูกออกไปได้ดีเหมือนกัน แต่ยังอยู่หลังลูกผม ผมตะโกนเบาๆ ก่อนที่เธอจะเดินจากไปว่า
“อีกลูกหนึ่งที่กลางสนามของผมนะครับ”

เปล่าหรอก ผมไม่ได้ปล่อยให้เธอเดินไปคนเดียวหรอก ผมเดินตามไปด้วยแต่คล้อยหลังมาหน่อย ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง บอกตัวเองว่า อยากรู้จังเลยว่าเธอจะเป็นยังไง ถ้าผมเป็นผู้กำหนดบทให้เธอแสดงมากกว่าจะปล่อยให้เธอแสดงไปตามลำพัง

ผมแนะนำตัวเองว่า
“ผมชื่อทองนะครับ”
“แหวนห่ะ” เธอบอก
“คุณแหวนตีดีมากเลยนะครับ เล่นบ่อยไหมครับ?” ผมจงใจเลือกคำถามที่เธอต้องตอบ
“อาทิตย์ล่ะสองสามวันห่ะ” เธอตอบ ใบหน้ายังเฉยเมยอยู่อย่างเดิม ท่าทางน่าจะบอกว่า ฉันไม่ชอบผู้ชายนะ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง ผู้ชายในสายตาของเธอหรือที่เคยประสบมาไม่ว่าจะเลวร้ายต่อเธอขนาดไหน แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี

เราเดินมาถึงลูกที่เธอหยุดอยู่ ผมขยับถอยออกมาห่างให้ไม่ให้รบกวนการเล่น เธอตีลูกด้วยหัวไม้แฟร์เวย์ได้ดี ลูกยังไม่ถึงกรีนซึ่งเป็นหลุมพาร์สี่

ผมเอ่ยปากชม
“สวยมากเลย โอ้โฮ เจ๋งมากเลยครับคุณแหวน” พยายามทำน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นกันเอง ผมบอกต่อว่า “แบบนี้บีบผมแย่เลย” เธอเริ่มยิ้มออกมาได้บ้าง
เธอมีมารยาทอยู่บ้างที่มาหยุดรอผมเล่นลูกของผม ตอนแรกนึกเสียวๆ อยู่เหมือนกันว่าเธอจะไม่สนใจเดินหายไปเฉยๆ

ระยะเหลือเพียง 150 หลา ไม่ยากสำหรับผมนัก ผมเลือกเล็งที่กลางบ่อทรายแล้วตีตรงออกไปตกที่บ่อยทรายจริงๆ นึกในใจว่า ‘นี่ถ้าเล็งที่กรีนจะไปหรือเปล่าวะ’ แล้วแกล้งทำท่าหัวเสีย บ่นกระปอดกระแปดว่า
“เวลาเล็งไปที่กรีน มันก็ตกทราย เวลาเล็งทราย มันก็ตกทรายอีก ทรายน่ะบ่อเล็กกว่าตั้งเยอะ ไม่รู้จะอะไรกันนักหนา”

เธอยิ้ม ท่าทางเป็นมิตรขึ้นหน่อย บอกว่า
“กอล์ฟก็อย่างนี้ล่ะฮ่ะ”

ผมชวนแหวนคุยไปตลอดทาง บางครั้งเล่าเรื่องขำๆ ให้เธอฟังบ้าง เล่าเรื่องที่ตัวเองผจญภัยมาให้เธอฟัง ถามเรื่องส่วนตัวของเธอบ้าง บอกเรื่องของตัวเองบ้าง ส่วนใหญ่แกล้งพูดชมที่เธอเล่นแต่ล่ะช็อต แกล้งตีให้แพ้แล้วแกล้งทำหัวเสียหงุดหงิดให้เธอดู แล้วเราก็เล่นกอล์ฟไปด้วยกันโดยปริยายและไม่ได้เร่งร้อนอะไรอย่างที่เธอบอกเมื่อตอนต้นว่าต้องรีบไป และจ่ายค่าน้ำค่าอาหารให้เธอตลอดทาง

ผมชอบน้ำใบบัวบกสีเขียวข้นๆ ที่ขายตามเพิงอาหาร รู้สึกจะมีอยู่ที่เพิงหลังนี้หลังเดียว ดื่มแล้วรู้สึกชื่นใจดี นึกในใจว่า ‘คนอะไรวะ กินเก่งชิบเป้งเลย’ เพราะเธอกินทุกซุ้ม ผมน่ะดื่มแต่น้ำ

เราเล่นกันมาถึงหลุมๆ หนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าเป็นหลุมอะไร แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นรอบหลัง เราทั้งสองตีลูกออกไปแล้ว ขณะที่เดินมาถึงลูกของเธอ ผมบอกว่า
“ดูนั่นสิคุณแหวน สวยไหม?” ผมชี้ไปที่กรีนที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อย มีธงใบสีแดงโบกอยู่ไหวๆ ตามแรงลมที่โชยไปไม่หยุดราวกับจะโบกมือให้เรา ฉากเบื้องหลังคือแนวสันเขาสูงต่ำไล่เรียงยาวซับซ้อนติดต่อกันไปจนหายลับไปสิ้นสุดลงที่ไหนก็ได้ และแผ่นฟ้าหม่นๆ กว้างขวาง ประดับด้วยจุดเล็กๆ คือเหล่าปักษาเป็นฝูงที่ขยับปีกพะเยิบพะยาบ บังเอิญที่ตรงหลุมนั้นไม่มีต้นไม้ขวางตา ภาพเบื้องหน้าจึงยิ่งกว่ารูปภาพแดนสวรรค์ที่ไม่มีวันที่จิตกรใดจะวาดขึ้น ได้มันเป็นภาพที่งดงาม ยากนักที่จะมีใครจินตนาการได้งดงามเท่า หรือจะบรรยายอย่างไรก็ไม่เท่าได้ยลด้วยสายตาเอง

แหวนมองดูภาพนั้นอย่างตะลึงลาน ราวกับไม่เคยพานพบมาก่อน พูดเสียงเหมือนละเมอว่า
“สวยมากฮะ แหวนไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย เซ่อจริงๆ เลยเรา”




ผมเรียนรู้จากแหวนว่า เธอเป็นยิ่งกว่าคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง แต่องศาความเข้มข้นในบางเรื่องจะมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป และไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย เธอบอกว่า
“ถ้ามีใครมาทำให้เราแค้นใจ จะไม่ล้างแค้นได้อย่างไร”
“หากเรื่องมันเกินเลยไปถึงขนาดฆ่าแกงกันแล้วต้องติดคุกติดตารางมันไม่แย่ไปใหญ่เหรอ?” ผมถาม
“ติดเป็นติดสิ ยังไงก็ต้องล้างแค้น” เธอบอกด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง จนผมไม่อยากคุยในเรื่องแบบนี้อีก เพราะคนที่สามารถทำอะไรได้โดยไม่รักตัวเองเลยเป็นคนที่สุดขั้วเกินไป ผมคิดในใจว่า สมควรที่จะต้องห่างเอาไว้จะดีกว่า คิดอยากถอนคำพูดในหลุมที่ผ่านมาที่ชวนเธอทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารหน้าสนามกอล์ฟซึ่งแหวนบอกว่าอาหารอร่อยมาก ซึ่งเธอเอ่ยปากขอเป็นเจ้ามือเสียด้วยและบอกว่าจะมีเพื่อนอีกคนหนึ่งไปด้วยคือคนที่จะมารับเธอที่สนามกอล์ฟ

เราเล่นกันมาถึงหลุมสุดท้าย ขณะที่เดินไปตามแฟร์เวย์ แหวนบอกว่า
“ปกติ เราไม่คบกับผู้ชายเลยนะ ผู้ชายส่วนใหญ่มันชั่ว แต่สำหรับนาย เราคิดว่านายน่าจะเป็นคนดี”

ผมสะดุ้ง เสียวสันหลังวาบเพราะผมไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เธอเข้าใจนักหรอก แต่ช่างปะไร ยังไงหากผมไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ แค่เล่นกอล์ฟด้วยกัน 18 หลุม แล้ววันนี้ก็จะกลายเป็นอดีตไปเอง แต่.....


แต่.....มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิดเสียแล้วเพราะ เมื่อเก็บถุงกอล์ฟใส่ท้ายรถเสร็จ หันไปเห็นแหวนควงแขนเพื่อนสาวอีกคนหน้าตาเหมือนอมบอระเพ็ดเข้าไปทั้งต้นเดินเคียงมาหาผมด้วยกันทำให้ใจผมแทบสลายลงไปตรงนั้น นึกตำหนิพรหมลิขิต นึกโทษโชคชะตาตัวเอง โทษฟ้าดินมั่วไปหมด ใบหน้าที่ยิ้มๆ ของผมต้องเจื่อนลงทันทีเมื่อแหวนบอกว่า
“ทอง นี่เพื่อนเรานะ ชื่อเดียร์”

คำพูดของแหวนที่บอกว่าเพื่อนตีความได้หลายอย่าง หากหมายความว่าเดียร์เป็นเหมือนแหวนทั้งสองจึงเป็นเพื่อนกันได้ ผมก็คงหมดหวังอย่างที่นายอ๊อดบอกผม เพราะเธอคงไม่ชอบผู้ชาย ผมก็เท่ากับหลงเข้ามาในดงของผู้ชายแบบพิเศษนี้เข้าแล้ว

แต่นั่นยังไม่เท่ากับอีกความหมายหนึ่งคือ หากหมายความถึงเป็นคู่รักกัน นั่นยิ่งเลวร้ายหนักเข้าไปใหญ่ เพราะแนวโน้มที่แม้เดียร์จะเป็นเช่นสตรีทั่วไปจะแจ่มชัดขึ้น อาจเปลี่ยนแปลงมาชอบผู้ชายได้ซึ่งใจจริงๆ ผมอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่แหวนซึ่งพอจะเปิดใจรับเพื่อนผู้ชายสักคนได้แล้วล่ะ หากผมสามารถทำให้เดียร์มาชอบผู้ชายอย่างผมได้ ผมก็คงกลายเป็นผู้ชายชั่วๆ ในสายตาของแหวนอย่างที่เธอบอก ยิ่งตอนนี้ บังเอิญที่ผมมารู้เสียก่อนแล้วว่าทั้งสองกำลังระหองระแหงกัน ดูจากท่าทางของเดียร์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันบอกอย่างนั้น ทำให้ผมต้องชั่งใจหนักมากขึ้นเป็นพันเท่า

ทำไมมันต้องบังเอิญอย่างนี้วะ

“เอ่อ.....สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ก่อน เดียร์รับไหว้อย่างเขินๆ คงไม่นึกว่าผมจะไหว้ ท่าทีนั้นเปลี่ยนไป สายตาของเราที่สบกันมันบอกอะไรบางอย่างที่ผมอาจเข้าข้างตัวเองมากเกินไปก็ได้ ทั้งที่ผมพยายามที่สุดแล้วจะไม่ให้มันสื่ออะไรออกไปแต่ไหนเลยจะปิดบังได้มิดชิด เขาถึงว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มันเป็นเช่นนี้เอง

ด้วยรอยยิ้มทั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยไมตรีอันดีของเดียร์ทำให้ผมต้องรีบกลบเกลื่อนความพิรุธของใจ หันกลับไปมองแหวน บอกว่า
“ร้านนั้นหรือครับ?” ชี้มือไปที่ร้านอาหารริมถนนก่อนถึงทางเข้าสนามกอล์ฟ
“ใช่ค่ะ” เดียร์ตอบ

ใจผมครุ่นคิดสับสนไปมาวุ่นวาย นึกถึงคำพูดของแหวนขณะที่เราเล่นมาถึงหลุมๆ หนึ่ง
“นายทำให้เราสบายใจขึ้นนะ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เรามีปากเสียงกับเพื่อนเราตลอด นายบอกให้ลืมๆ เสียบ้าง บอกให้อภัยแก่กันเสียงบ้าง เราคิดว่า เราทำได้นะ แต่ถ้าเพื่อนเราไม่ยอมด้วยล่ะ”
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน แต่ผมคิดว่าถ้าเรายอมอ่อนให้แล้ว และอ่อนให้จนถึงที่สุด เธอก็น่าจะดีขึ้นเองแหละ”

แหวนและเดียร์นั่งกันที่ฟากหนึ่งของโต๊ะ ผมนั่งอยู่ฟากตรงข้ามกับเดียร์ แหวนสั่งอาหารคนเดียวบอกว่าทุกอย่างที่สั่งอร่อยทั้งนั้น รวมทั้งหมดห้าอย่าง จนผมต้องท้วงขึ้นเบาๆ ว่า
“เอ่อ....เราน่าจะตัดออกสักอย่างสองอย่างนะ ผมเห็นจานอาหารที่โต๊ะข้างๆ แล้ว ขืนเอามาครบห้าอย่างรับรองว่ากินไม่หมดแน่” พนักงานเสริฟรั้งรออยู่ ดูว่าเราจะเอายังไงกันแน่
“ใช่ พี่แหวนก็แบบนี้แหละค่ะ เดียร์พูดเคยฟังที่ไหน” เดียร์บอก น้ำเสียงไม่ค่อยดี

ใจหนึ่งของผมแสนจะอิ่มเอมที่ได้มารู้จักหญิงสาวที่ผมแอบหมายปองไว้ แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกไม่ค่อยดีที่มาอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างคนสองคนที่ผมเพิ่งรู้จักทั้งคู่ จะวางหน้ายังไงไม่ค่อยถูก รู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล แต่สองคนนั้น ทั้งเดียร์และแหวนดูเหมือนจะไม่สนใจ เหมือนตั้งท่าจะกัดกันอย่างเดียว

แหวนบอกว่า
“ก็มีเงินจ่ายนี่หว่า กินไม่หมดก็โยนทิ้งสิวะ”

ผมล่ะอยากตบปากคนที่พูดแบบนี้จัง ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนมาคิด ปากถึงโพล่งออกมาแบบนั้น แล้วนี่เหรอที่บอกว่าจะอ่อนให้และอ่อนให้ถึงที่สุด

ผมรู้ว่าความหมายของแหวนที่พูดไปก็เพียงแค่อยากประชดประชันกัน แต่มันก็กระทบมาถึงผมด้วย จนผมต้องรีบตัดบทบอกพนักงานเสริฟว่า
“น้อง เอาออกอย่างนึงแล้วกัน อะไรก็ได้”

พอพนักงานเสริฟเดินจากไป คำพูดของเดียร์ทำให้ผมใจหายวาบ เธอบอกว่า
“พี่ทองนี่หน้าตาคุ้นจังเลยนะคะ....” เหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ฉันสนใจเธอนะ’ แต่มันเป็นคำพูดที่จะทำให้ผมโดนชกมากกว่า เพราะน้ำเสียงของเธอหวานผิดปกติ
ผมรีบพูดขัดขึ้นว่า
“เอ่อ.....เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผมเพิ่งพบคุณเดียร์และคุณแหวนวันนี้เอง” ผมไม่รู้ว่าเจตนาที่เธอพูดแบบนั้นคืออะไร แต่ผมไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย
“ก็อาจจะในฝันของเดียร์ก็ได้นี่คะ” พูดไม่พูดเปล่า แถมยังทำตาหวานให้เสียด้วย คราวนี้ผมบอกได้ชัดเจนเลยว่าเธอแกล้งพูดประชด คงแกล้งทำให้แหวนเป็นเดือดเป็นแค้น แต่ผมไม่สนุกด้วยแน่เพราะแหวนพูดขึ้นเสียงค่อนข้างดัง หน้าตาขึงขังว่า
“เออ....ระวังให้ดีเหอะ จะโดน.....” ยังไม่ทันที่แหวนจะจบประโยค ผมรีบสอดขึ้นว่า
“คุณแหวนครับ ผมว่าผมจะขอตัวก่อนดีกว่า คุณทั้งสองจะได้ปรับความเข้าใจกัน ใจเย็นๆ นะครับ”

ผมตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่แหวนลุกขึ้นก่อน คว้ากุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะ บอกเสียงเครียดว่า
“ไม่ต้อง กรูไปเอง” พูดจบ ลุกขึ้นเดินก้าวฉับๆ ออกไปจากร้านทันที ผมไม่รู้จะทำอย่างไร หันไปบอกเดียร์ว่า
“รอเดี๋ยวนะครับ” ผมลุกขึ้น ออกวิ่งตามแหวนไปทันที

ดูสิ ผมเลยต้องกลายเป็นท้าวมาลีวราชมาห้ามศึกไปเสียฉิบ พลางนึกในใจว่า มาเชียงใหม่คราวนี้ผมไปเหยียบขี้หมามาหรือเปล่าวะ ไอ้ที่ไม่คิดว่าจะเจอก็เจอไปตั้งหลายขนาน ผู้หญิงที่ชอบก็ดันเป็นแฟนกับทอมที่กำลังเคืองใจกันอยู่เสียอีก ครั้นจะปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างคนสองคนมันก็ทำไม่ได้ เพราะอีกคนคงกลับไปเพียงลำพังแน่ ผมจะปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียวก็ไม่ได้อีก โอ๊ย! ยุ่งตายห่า

ความจริงผมน่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่สองคนแตกคอกัน ตาอยู่จะได้คาบไปแด๊กเสียหน่อย แต่นาทีนี้คงไม่ดีแน่เพราะยายแหวนมันรู้ว่าผมพักอยู่โรงแรมไหน ขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไป อาจเปลี่ยนที่ตายเป็นเมืองเชียงใหม่ก็ได้ ใครจะรู้

ผมรีบคว้าแขนแหวนเอาไว้ บอกว่า
“แหวนจ๊ะ ไหนบอกว่าจะพยายามอ่อนให้เธอไงล่ะ เอาน่า ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ....แหวนกลับไปที่ร้านอาหารนะ เธอจะพูดอะไรก็ช่างเธอเหอะ แหวนเองก็รักเดียร์ไม่ใช่เหรอ ยอมๆ เธอหน่อยเหอะนะ นะ”
“ก็ดูมันพูดสิ กวนส้นตีนชิบอ๋าย” แหวนหน้าตาบอกบุญไม่รับเอาเลย สะบัดแขนที่ผมจับอยู่ราวกับว่าผมเป็นคู่กรณีของเธองั้นแหละ ผมเอื้อมไปจับมือเธอใหม่ ออกแรงดึง บอกว่า
“ไปเหอะน่า....”
“เอ๊ะ บอกว่าไม่ไป พูดไม่รู้เรื่อง” เธอสะบัดมืออีกครั้ง เดินไปที่รถ ทิ้งให้ผมยืนเซ่ออยู่

จริงๆ เลยนะ ถ้าแม่แหวนเป็นผู้ชายจริงๆ คงโดนผมเตะสั่งสอนไปแล้ว ไอ้เราเรอะมาตามด้วยความหวังดี ดันเจือกหาว่าผมพูดไม่รู้เรื่องเสียอีก งั้นก็ช่างแม่ง

นายแหวนสตาร์ทเครื่อง ออกรถดังพรืดจนเศษหินกระเด็นเกือบโดนผม ทิ้งฝุ่นให้ตลบกลบหน้าผมเสียงั้นแหละ

เดียร์นั่งกอดอกสีหน้าอมทุกข์ คิ้วขมวดราวกับกำลังคิดสูตรมหานิวเคลีย มองดูอาหารที่วางตรงหน้า ยังไม่ยอมแตะเลยสักนิด ผมแปลกใจที่มีข้าวเพียงสองจาน ของเธอและของผม ผมเดาว่าเธอคงรู้นิสัยของแหวนดีเลยสั่งยกเลิกข้าวของแหวนไป

เรานั่งทานอาหารที่แสนอร่อยอย่างไม่มีรสชาติเลย แทบจะไม่ได้คุยกันสักคำ ที่สุด ผมเป็นคนที่อดไม่ได้ ถามขึ้นว่า
“คุณสองคนมีปัญหาอะไรกัน คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไง?”

เดียร์เงยหน้าจากจานอาหาร ยกน้ำขึ้นจิบ บอกว่า
“พี่แหวนเป็นคนขี้หึงอย่างร้ายกาจ จนเดียร์รำคาญ ทนไม่ไหว พูดง่ายๆ อยากเลิก แต่พี่แหวนไม่ยอม แถมขู่ด้วยว่า ถ้าเลิก เดียร์ต้องไปแจ้งเลิกกับยมบาล”
“นั่นเลยเป็นเหตุให้เดียร์ตีรวนมาโดยตลอดสิ?” ผมถาม
“ก็จนกว่าเค้าจะทนไม่ไหวขอเลิกไปเอง” เดียร์ตอบ
“แล้วผลเป็นยังไงบ้างล่ะ?” ผมถามต่อ
“ก็อย่างที่เห็นไง” เดียร์บอก
“โดยเอาผมเป็นเครื่องมือด้วย?”


(โปรดติดตามภาค 2)


Create Date : 09 พฤษภาคม 2549
Last Update : 9 พฤษภาคม 2549 10:10:11 น. 0 comments
Counter : 352 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

thongprakai
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




" ถ้าเข้าใจจะไม่เสียใจ ที่เสียใจเพราะไม่เข้าใจ " thongprakai
Friends' blogs
[Add thongprakai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.