Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
3 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

เกือบไปแล้ว... ความรัก





 


ชั้นไม่ใช่คนมีประสบการณ์ความรักโชกโชนอะไรนัก เพราะเพิ่งมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่คนเดียว คนแรก (และพยายามเสมอให้เป็นคนสุดท้าย)

"มุมความรัก" ที่ตั้งขึ้นมาในบล็อกนี้ จึงไม่ได้ต้องการเขียนในฐานะกูรูอะไร
(เพราะกรูไม่เคยรู้จริงๆ หรอก) แค่อยากเล่าเรื่องที่เข้ามากระทบ"ใจ"แค่นั้นเอง


ชั้นกับแฟน เราคบกันกำลังจะเข้าปีที่สี่ (มิถุนานี้แล้วสินะ) แต่ระหว่างปีที่สามนี่แหละที่เกือบไปไม่รอด เพราะชั้นเกิด "นอกใจ" แฟนขึ้นมา

ใจเย็น อย่าเพิ่งเบือนหน้ารังเกียจคนเขียนแล้วปิ๊งคำพูดว่า "ทอม เจ้าชู้ทุกคน" เพราะการนอกใจมันมีอยู่หลายระดับ

อย่างชั้นคงเรียกว่าเป็นระดับการนอกใจอยู่ในใจแบบไม่ได้ตั้งใจนั่นเอง (คำขยายเยอะจริงๆ)


ตั้งแต่คบกัน เราไม่เคยทะเลาะกันซักครั้ง จะมีก็แค่งอนไปมา ประชดตามสันดาน และโต้เถียงบ้างตามวิสัย ส่วนเรื่องใช้กำลัง ลืมไปได้เลย (ใครว่าเพศที่สามชอบใช้ความรุนแรง)

เรียกได้ว่าเราสองคน "เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้ ฮู้ววว..." (ร้องเพลงอีกแน่ะ)

และถึงอีกฝ่ายจะจำเป็นต้องบินไปงาบความรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ถึงต่างแดน ทำให้ต้องห่างกันเป็นปีๆ แต่เราก็ยังติดต่อกันทุกวัน ทั้งทางโทรศัพท์และหลักๆ เลยคือ อินเทอร์เน็ต


หัวข้อที่เรามักคุยกันเสมอๆ คือ "อะไรจะเป็นสาเหตุให้เราเลิกกันได้บ้าง?"
ที่ถามอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเรากลัวอนาคต ก็แค่อยากทำความรู้จักมันไว้ จะได้เตรียมตัวล่วงหน้าบ้างก็เท่านั้น

แต่แล้วคำตอบของคำถามนี้มันก็เข้ามาในวันที่เราไม่ทันตั้งตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีเวลาให้ตั้งชื่อมันว่า "ความเฉยชา"


แรกๆ นอนดูนาฬิกา ออนไลน์ก่อนถึงเวลาคุยกัน แค่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็สามารถสร้างรอยยิ้มที่ดีที่สุดของวันได้

หลังๆ พอนาฬิกาบอกเวลา ข้ออ้างจากความเหนื่อยสารพัดสารเพก็ประดังเข้ามา
การคุยกันกลายเป็นหน้าที่ เหมือนลืมไปแล้วว่า "เรากำลังทำไปเพื่ออะไร"


ชั้นไม่เคยคิดว่าความรักกับระยะทางที่ห่างไกลจะยากเย็นอะไรนักหนา จนถึงวินาทีนี้...

ถ้าเราอยู่ใกล้กันในวันที่เหนื่อย แค่กุมมือและปล่อยให้เสียงที่ได้ยินคือบรรยากาศรอบกาย อะไรๆ ก็ดีขึ้นได้... เหมือนเคย

แต่นี่เราไม่อาจโอบกอดกันได้ ถึงภาพวีดีโออีกฝ่ายจะอยู่ตรงหน้า แม้จะพยายามจินตนาการว่าเราอยู่ข้างกัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากหนึ่งปีเป็นสอง กลิ่นของอีกฝ่ายที่เราพยายามจดจำไว้กลับถูกบดบังด้วยกลิ่นโลหะและความร้อนจากคอมพิวเตอร์

และแล้วชั้นก็ค่อยๆ ลืมความรู้สึกซาบซึ้งในตอนที่เรามีกันและกัน "ตกลงมันเป็นยังไง"


ทฤษฎีที่พูดมาทั้งหมดอาจใช้ไม่ได้ผลกับคนจิตใจมั่นคง ปราศจากความโลเล แต่สำหรับชั้น คนที่มักจะหวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้าง มันได้ผลชะงักทีเดียว


เป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเกิดอาการเบื่อ เราจะวิ่งไปหาสิ่งเร้า/ สารกระตุ้นความสุข หรืออะไรก็ตาม แล้วแต่จะเรียก
ส่วนชั้น ในวินาทีนั้น ชั้นเลือกวิ่งไปหา "เพื่อน"

และทุกอย่างคงไม่พันกันยุ่งเหยิง ถ้าตัวปัญหาอย่างชั้นไม่ไปเผลอใจมองเห็นรอยยิ้มของคนอื่นว่ามีค่า

กว่าจะรู้ตัวความสำคัญของคนที่ถูกเรียกว่าแฟนก็เหลือพื้นที่อยู่นิดเดียว

ถึงการปันใจในครั้งนี้ชั้นจะเก็บไว้ในใจคนเดียว แต่สุดท้ายแฟนก็รับรู้ได้ (สงสัยที่เค้าว่ากันว่า เซ็นส์ผู้หญิงแรง คงจะจริง) จึงเป็นที่มาของ "สงครามจิตวิทยาขั้นฮาร์ดคอร์"


ระหว่างคุยกันผ่านอินเทอร์เน็ต
เธอ (แฟน) พยายามยกสถานการณ์ของเพื่อนๆ เกี่ยวกับการนอกใจมาให้ชั้นออกความคิดเห็นและตั้งคำถามชวนให้เอะใจ (แอบร้ายเนอะ) แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากชั้นเป็นพวกความรู้สึกช้า

อีกอย่าง ชั้นไม่คิดจะบอกความจริงอยู่แล้ว เพราะคิดว่าบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ตรงกันข้ามอาจทำให้ความรักของเราแย่ลง

ชั้นไม่เคยคิดว่าเราจะเลิกกัน และไม่เคยอยากให้เราเลิกกัน แค่ต้องการเวลาทำใจจากอีกคน

แล้วถ้าเธอรู้ว่าชั้นแอบชอบคนอื่นไปด้วยทั้งที่เราคบกัน ก็จะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย
"ถ้าตัดใจได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมเอง" ชั้นคิดอย่างนั้น


ด้วยความเครียดที่ทวีคูณขึ้นทุกวัน ชั้นปรึกษาทุกคนที่เข้ามาใกล้ ไม่เว้นแม้แต่พี่ที่บริษัทที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่เดือน (นี่ถ้ามีสัตว์สปีชีส์อื่นพูดกันรู้เรื่อง คงโดนหางเลขไปด้วย)

เพื่อนที่รู้จักนิสัยกันดี บอกให้ตัดใจ เลือกทางใดทางหนึ่ง

ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ที่บริษัทบอกว่า ถ้าไม่รู้สึกรักแล้วก็อย่าไปยื้อเค้าไว้ แถมฟันธงอย่างผู้รู้ด้วยว่า "รักทางไกลมันไม่ใช่ความจริง" (งั้นที่ผ่านมาชั้นคงฝันอยู่ตลอดสินะ)

กิจวัตรที่ทำประจำตอนนั้นคือ กระวนกระวาย สับสน และดิ้นพล่านๆ ทุกคืน คิดหนัก สิวขึ้น แต่ยังไม่มีทีท่าว่าทางออกจะผุดขึ้นมา

จนกระทั่งวันที่แฟนกลับไทยเพื่อทำธุระและตั้งใจกลับมาเคลียร์ในคราวเดียว (โหดจริงๆ)


ที่น่าตลกคือชั้นไม่รู้มาก่อนว่าแฟนรู้เรื่องที่ชั้นปันใจ และไม่คิดจะบอกความจริง ส่วนเธอคนนี้รู้มาตลอด แต่ต้องทำเป็นไม่รู้เพื่อรอให้ชั้นเป็นคนยอมรับเอง

สถานะที่เราเป็นอยู่เลยก่อให้เกิดบรรยากาศมาคุตลอดเวลา มีความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันตั้งแต่ไปรับที่สนามบิน การมีความลับต่อกันมันกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูกจริงๆ


เรากลับมาใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนอย่างเคยเท่าที่เวลามีอยู่
ในตอนนั้น ถึงเธอจะอยู่ตรงหน้าแล้ว ชั้นยังคงตอบตัวเองไม่ได้ว่า ชั้นจะตัดใจได้เมื่อไหร่ หรือความรักของเราจะกลับคืนมาได้มั้ย

ท่ามกลางความสับสนนั้น ชั้นตัดสินใจกอดเธอโดยไม่มีสาเหตุ
กอดเธอแน่นอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน
กอดเธอเนิ่นนานอย่างที่ควรจะทำตั้งแต่เราเจอกันอีกครั้งที่สนามบิน
กอดเธอในห้องแคบๆ หน้าตู้เสื้อผ้า

เหมือนเดิม ยังมีคำถามมากมายที่ชั้นก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ วินาทีนั้นรู้อยู่อย่างเดียวว่า "คนนี้แหละที่จะไม่ยอมเสียไป"


สุดท้ายเราเปิดใจนั่งคุยกัน
ชั้นได้แต่อึ้งและเสียใจที่เธอรู้มาตลอด ส่วนเธอไม่โกรธแถมยังปลอบชั้น และพร้อมยอมรับทุกการตัดสินใจ (แม้ชั้นจะเลือกปล่อยมือไปก็ตาม)

รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดช่วยสมานความรักของเราได้เร็วอย่างที่ต้องการได้ และคงไม่มีใครช่วยให้ความรู้สึกไม่มั่นคงในความรักของเราหายไปได้

ชั้นยังจำคำพูดของตัวเองในวันนั้นได้ "ถึงเธอจะไม่เชื่อใจ ไม่คาดหวังว่าชั้นจะทำได้ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้อย่าหมดหวังในตัวชั้นก็พอ"



ถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้

ขอบคุณเธอนะที่ผ่านวินาทีแห่งความยากเย็นและเห็นแก่ตัวของชั้นมาด้วยกัน

ขออุทิศบทความนี้ให้แก่ความรักของเราที่จะครบรอบวันที่ 24 มิถุนายน 2553 นี้

ขอให้ทุกคนฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ เข้มแข็งเอาไว้ แม้ว่าคุณจะไม่มั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่อย่าปล่อยให้คำปรึกษาของใครมาตัดสินชีวิตคุณ

แล้วสู้ต่อไปด้วยกันนะ



บทความนี้เป็นเพียงหนึ่งมุมมองจากเพศที่สามในสังคม อย่างที่เราเรียกตัวเองว่า "มุมมองที่สาม (Third EyeS View)"
Create Date : 03 มิถุนายน 2553
7 comments
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 19:31:27 น.
Counter : 732 Pageviews.

 

หลังจากผ่านศึกหนักมาด้วยกันกับแฟน เราได้ข้อสรุปสำหรับความรักที่ห่างไกลว่า
1. ต้องรู้จักเติมความหวานให้กัน
แม้ต้องซื้อเค้กมาเป่าหน้าคอม ซื้อดอกไม้มาให้อีกฝ่ายเห็นผ่านเว็บแคมแล้วต้องเก็บไว้เอง

ดีดกีตาร์ให้ฟัง ถึงจะดีดได้แค่สามคอร์ดและทุกคอร์ดบอดหมดก็ตาม

หรือแม้แต่การทำหน้าตาปัญญาอ่อนใส่กล้องให้อีกฝ่ายหัวเราะพอใจอย่างบ้าคลั่ง และกล่าวหาว่าเราติงต๊อง


2. หัดฝืนใจทำในสิ่งที่อีกฝ่ายชอบบ้าง
แฟนของชั้นชอบเขียนจดหมายกับโปสการ์ดส่งข้ามประเทศมาให้ และแอบน้อยใจว่าไม่เห็นได้รับคืนบ้างเลย

ถึงเวลาที่คิดว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญ คำพูดของเธอก็จะลอยขึ้นมา ชั้นแน่ใจว่าถ้าส่งโปสการ์ดหรือจดหมายไปให้ เธอต้องชอบมาก

แต่ด้วยความขบถในตัวเลยตัดสินใจไม่ทำ เพราะไม่อยากทำแล้วถูกมองว่าทำเพราะแฟนบอกให้ทำ

แต่หลังจากเหตุการณ์แย่ๆ ที่เราผ่านร่วมกันมา ชั้นก็คิดว่า ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้ามันทำให้เค้ามีความสุข และสุดท้ายเราก็จะสุขไปด้วย (ถ้าไม่ติสต์แตกมากนักล่ะก็นะ)


3. ดำเนินชีวิตตามปกติแบบมีเธออยู่ด้วย
ข้อนี้ง่ายๆ แค่ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการไปวันๆ แล้วก็เก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ในสต็อก พอถึงเวลาคุยกันจะทำให้เรารู้สึกต่อกันติดในทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องตลกกับมุกเฝื่อนๆ นี่ ต้องเก็บให้ไวเลยล่ะ

(ส่วนเรื่องเสื่อมๆ ที่เราทำและไม่อยากให้รู้นี่ ก็เก็บไว้เหมือนกัน แต่เก็บให้มิดเลยนะ เหอๆ)


4. ตั้งเวลาการคุยที่แน่นอน และสะดวกต่อทั้งสองฝ่าย (สองประเทศ)
หลายคนอาจมองว่าวิธีการนี้เป็นกฏ เป็นหน้าที่เกินไป บางคนอาจชอบมากกว่าที่จะโทรหากัน คุยกัน ในวันที่คิดถึงกันจริงๆ ไม่จำเป็นต้องจำกัดเวลาอะไรทั้งนั้น

แต่ส่วนตัวแล้วมองว่าถ้าปล่อยให้เป็นอิสระขนาดนั้นจะยิ่งทำให้ต่างคนต่างค่อยๆ ลืมกันไปได้ง่ายกว่า ถ้าไม่อยากหาคนรู้ใจคนใหม่ แนะนำให้วางกฎให้ความรักบ้าง

มันอาจจะขัดใจอยู่บ้าง และถึงมันจะดูบีบบังคับเกินไป แต่สุดท้ายเราจะรู้ว่ามันเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เรารู้จักเสียสละเวลาบางส่วนเพื่อกันและกัน


5. เปิดอกคุยกันทุกเรื่อง ถ้ามันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ควรทำให้ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วก็ทำไม่ค่อยได้เหมือนกัน ต้องรอจวนตัว หรือสถานการณ์บังคับก่อนถึงจะทำได้
(ซึ่งไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี เด็กๆ อย่าลอกเลียนแบบนะคะ)


และสุดท้ายข้อนี้สำคัญมาก
6. ต้องเจอกันครึ่งปีต่อครั้ง
อันนี้เป็นข้อที่เราคุยกัน และคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนขี้ลืมและช่างอ่อนไหวอย่างชั้น


ใครไม่เชื่อไม่ทำไม่เป็นไร มันแค่เป็นสิ่งที่ชั้นพยายามทำอยู่
ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก และเรายังคบกันได้จนถึงทุกวันนี้ (แม้ว่ามันจะดูแปร่งๆ และเป็น How to ไปหน่อยก็ตาม)

 

โดย: มุมมองที่สาม - Third EyeS VieW 3 มิถุนายน 2553 19:30:54 น.  

 

แวะมาทักทายค่ะ


เขียน อ่านสนุกดีน่ะค่ะ

ฝันดีค่ะ

 

โดย: รักนายพีรพงศ์ (Girl_lov_Star ) 3 มิถุนายน 2553 22:58:48 น.  

 

คุณ รักนายพีรพงศ์ - ขอบคุณมากนะที่แวะมาเม้นท์ ช่วยสร้างกำลังใจการเขียนได้เยอะเลยแหละ เหอๆ
ยินดีที่ได้รู้จักนะ

 

โดย: มุมมองที่สาม - Third EyeS VieW 4 มิถุนายน 2553 3:51:57 น.  

 

ยังดีที่แค่เกือบนะ ของกูไปแล้ว

 

โดย: Peartony IP: 58.64.71.155 4 มิถุนายน 2553 13:45:33 น.  

 

ที่ให้รักษาไว้ นั่นหมายความว่ามันต้องไม่ฝืนใจ
ถ้ารู้ตัวว่าไม่อยากรักษามันไว้ ไม่ผิดหรอกที่จะปล่อยมือไปนะ... Peartony

 

โดย: มุมมองที่สาม - Third EyeS VieW 6 มิถุนายน 2553 0:12:27 น.  

 

ดีใจด้วยนะคะที่ผ่านจุดนั้นมาได้

ยิ่งผ่านเรื่องแบบนี้ด้วยกันเยอะๆ ยิ่งผูกพันนะคะว่ามั้ย

เราเองก็เป็นเพศที่3ค่ะ แต่ความรักเพิ่งจะเริ่มต้น เข้ามาเจอก็เลยอ่านเรื่องของคุณเพลินไปเลย

ขอให้มีความสุขค่ะ

 

โดย: โค้กใส่น้ำแข็ง 10 สิงหาคม 2553 8:58:57 น.  

 

ขอบคุณนะ ช่วยได้เยอะเลย

 

โดย: เกือบไปแล้วเหมือนกัน IP: 82.170.142.214 23 ตุลาคม 2553 22:08:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


มุมมองที่สาม - Third EyeS VieW
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ถามเอง: ทำไมถึงตั้งนามปากกาว่า "มุมมองที่สาม"
ตอบเอง: ก็ชื่อตัวเองมันไม่เท่เท่าไหร่ (เล็ก)

ถามเอง: ถามจริง
ตอบเอง: อยากพูดถึงมุมมองเรื่องต่างๆ ในฐานะเพศที่สามคนนึง

ถามเอง: นึกว่าจะพูดเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพศที่สาม
ตอบเอง: ก็ส่วนนึง แต่อยากเขียนเรื่องอื่นด้วย เป็นเพศที่สามก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมีความคิดด้านนั้นด้านเดียวนี่นา หรือว่าไง

ถามเอง: แล้วเป็นอะไรในเพศที่สาม
ตอบเอง: คนทั่วไปคิดว่าเป็น "ทอม" แต่เพื่อนๆ เรียกว่า "ตุ๊ด" เพราะแมนไม่พอ บางครั้งก็เรียกตัวเองว่า "ไส้เดือน" เพราะมีคนบอกว่ามันมีหลายเพศในตัวเดียว (ซึ่งไม่รู้จริงรึเปล่า)

ถามเอง: คิดว่าจะเขียนไปถึงเมื่อไหร่
ตอบเอง: ถามว่าจะเขียนได้บ่อยแค่ไหนน่าจะได้คำตอบเร็วกว่ามั้ง ห้าๆ

ถามเอง: อยากบอกอะไรกับคนที่อ่านอยู่
ตอบเอง: ขยันจัง
Friends' blogs
[Add มุมมองที่สาม - Third EyeS VieW's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.