|
23 มิถุนายน 2551
|
|
|
|
อ่านแล้วซึ้ง จึงส่งต่อให้อ่านกัน
อ่านแล้วซึ้ง จึงส่งต่อให้อ่านกัน มาจาก Forword Mail นะครับ
มีคนส่งผ่านมาแล้วมาถึงผม อ่านแล้ว ก็เลยอยากมาให้เพื่อนลองอ่านกัน
ลองอ่านกันดูแล้วแสดงความคิดเห็นนะครับ ไม่ต้องซีเรียสนะครับ
ชื่อของ โชติศักดิ์ อ่อนสูง หรือ แมมมอธ กลายเป็นคนดังในสังคมนี้ขึ้นมาในพริบตา หลังจากที่ประกาศตัวไม่ยืนถวายความเคารพต่อบทเพลงสรรเสริญพระบารมี ผมเชื่อว่าประชาชนที่มีโอกาสรับรู้ข่าวสารนี้จะเกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่ที่ผมเป็น
เบื้องแรกอยากร้องไห้ที่มีคนไทยอ้างว่าเป็นคนไทยใช้สิทธิเสรีภาพของเขาเพื่อประกาศว่า ไม่จำเป็นต้องยืนถวายความเคารพต่อบทเพลงที่เป็นตัวแทนขององค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของเราทุกคน และน้ำตาไหลหนักขึ้นเมื่อโดนซ้ำดาบสองด้วยการที่ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์หรือ NBT นำเอาสาวกของกลุ่มไม่ยืนเคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมีไปออกรายการ พร้อมกับใส่เสื้อสัญลักษณ์ของกลุ่มอย่างโจ่งแจ้ง
ท่ามกลางการเปิดทางสะดวกของรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลพลังประชาชนให้มีการกระทำย่ำยีหัวใจคนไทย...ซึ่ง ผมคิดว่านั่นคือความจงใจที่จะประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้งต่อสิ่งที่เราเคารพรักสูงสุด
และสุดท้ายก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนเหยียบหน้าซ้ำเมื่อผู้สื่อข่าวถามนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีผู้ดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ผู้กำลังถูกแจ้งความฐานหมิ่นเบื้องสูง ผู้ที่เคยมีคดีต้องไปนั่งในคุกฐานป่วนเมืองหน้าบ้านท่านประธานองคมตรี ผู้ที่เคยไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาของสถาบันกษัตริย์ ระบบอุปถัมภ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแห่งนี้ต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ
นายจักรภพตอบคำถามถึงการนำคนที่ใส่เสื้อ ไม่ยืน(ถวายความเคารพ) ไม่ใช่อาชญากร นี้ในใจความว่า
ประเทศเป็นประเทศเสรี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใส่เสื้ออะไรก็ได้ เราต้องเคารพสิทธิ์ของเขาเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนในประเทศนี้ไม่ได้เป็นทาสใครนี่ ถ้าอยากไปเป็นทาสก็ไปเป็นทาสที่อื่นโน้น ไม่ใช่ที่ประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย
คือ ถ้าประโยคนี้ออกจากปากเหล่าหัวหน้าเขตคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีก่อนผมจะไม่แปลกใจ เพราะเป้าหมายของคอมมิวนิสต์เหล่านี้คือการล้มล้างสถาบันสูงสุดอยู่แล้ว
แต่มันน่าตกใจที่ประโยคให้ท้ายออกจากปากเสนาบดี...ซึ่งอ้างประชาธิปไตยจากปวงชนชาวไทยเสมอ
อย่าพูดว่ารักพ่อและทำดีเพื่อพ่อกันแต่ปาก แต่จงปฏิบัติบูชาเพื่อพ่อที่เราเคารพเทิดทูนด้วย
เขียนมาถึงตรงนี้ผมนึกถึงบทพระราชนิพนธ์เพลง เราสู้ ที่องค์พ่อหลวงของเราทรงแต่งขึ้นในยุคที่วิกฤติของชาติกำลังล้อมกรอบประเทศนี้อยู่ นั่นคือ คอมมิวนิสต์ ตอนนั้นลัทธิมาร์กซ์เอย เหมาเอย เลนนินเอยกำลังเบ่งบาน ธงชาติไทยจากสีแดงขาวน้ำเงินก็ถูกเหล่านักศึกษาหัวก้าวหน้าย้อมสีให้เป็นสีแดงอย่างเดียว ปนเหลืองบ้าง ปนขาวบ้าง...ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคอมมิวนิสต์สายไหน
จากทฤษฏีโดมิโน ประเทศรอบข้างของเรากลายเป็นคอมมิวนิสต์กันเกือบทั้งหมด ประเทศไทยนั้นก็จ่อที่จะเป็นอยู่ เพราะ มีการฝังลัทธิล้างสถาบันเหล่านั้นกันให้ทั่วไปหมด
พระองค์ท่านพระราชนิพนธ์ทำนองจากบทกลอนสุภาพ 4 บทที่นายสมภพ จันทรประภาแต่งจากพระราชดำรัสที่พระราชทานให้แก่สมาชิกสภานิติบัญญัติที่เข้าเฝ้าที่พระตำหนักจิตรลดาฯ มาเป็นกลอนถวาย เมื่อพระราชนิพนธ์ทำนองเสร็จแล้วก็ทรงมอบให้วง อส. นำไปบรรเลงในวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 2517 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ ทหาร อาสาสมัคร และตำรวจตระเวนชายแดน ขณะที่ประชาชนก็ได้รับอานิสงส์จากเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ด้วยเช่นกัน ประชาชนได้ตรงไหนครับ...ก็ตรงนี้เมื่อฟังเพลงนี้แล้ว ความฮึกเหิมที่จะสู้กับลัทธิอุบาทว์ที่จะล้มล้างและเปลี่ยนชาติของเราให้เป็นชาติของมันมันเกิดขึ้นอย่างอักโข เพลงนี้ช่วยเตือนสติเราว่า ในช่วงเวลาที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เบ่งบานนั้น ถ้าเราเอาแต่วางเฉย ถ้าเราไม่สู้กับความเชื่อและตัวบุคคลที่มันจะมาล้างเราให้ออกจากประเทศที่เรารู้จัก เราจะกลายเป็นคนไม่มีแผ่นดินอยู่ เหมือนเขมรอพยพ เหมือน ญวนอพยพที่สุดท้ายต้องหนีตายลงเรือแบกเสื่อผืน-หมอนใบไปตามยถากรรม
บทเพลงพระราชนิพนธ์เราสู้นั้น พวกคอมมิวนิสต์ยุคอดีตหรือแม้แต่คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้าง หรือ คอมมิวนิสต์อกหักในยุคปัจจุบัน ขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 บทเพลงอันเป็นเครื่องไม้เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่เอาไว้ทำลายพวกมัน
นอกจากบทเพลงพระราชนิพนธ์เราสู้แล้ว ก็ยังมีบทเพลงทหารเสือพระนเรศวร และบทเพลงหนักแผ่นดินอีกด้วย
แน่นอนในสงครามครั้งนั้นเราชนะจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ ประเทศเรารอดพ้นวิกฤติในครั้งนั้นได้ คงไม่ปฏิเสธนะครับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นจุดรวมใจที่ทำให้พวกเราร่วมใจกันชนะศึกครั้งนั้น .......... มาถึงยุคสมัยนี้ ยุคที่สถาบันกษัตริย์ถูกละเมิดมากที่สุด และการคงอยู่ของสถาบันที่รักยิ่งของเรานั้นกำลังวิกฤตเพราะถูกพวกไม่หวังดีทำลายทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ
บอกตามตรงนะครับบทเพลงพระราชนิพนธ์เราสู้นี้ยังสามารถเอามาฟังเพื่อปลุกและปลอบขวัญคนในประเทศจำนวนมากที่กำลังท้อแท้กับเหตุการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมือง ให้เราสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องเสียที แม้สงครามครั้งนี้จะไม่ใช่ภาพที่ชัดเจนอย่างอดีต แต่เป็นการต่อสู้กับศัตรูที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีพร้อมทั้งอำนาจทุนและอำนาจสื่อ และอันตรายกว่าเดิมมากนัก
แต่ถ้าเราสู้...เราจะชนะในที่สุด
ไม่ต้องรอทหารออกมาปฏิวัติสู้หรอกครับ ประชาชนนี่แหล่ะสามารถสู้เองได้โดยสันติ ไม่ว่าจะเป็นการไปรวมตัวกันเพื่อถามนายกฯสมัครก่อนจะไปออกรายการสดทางช่อง 11 หรือเจอหน้าท่านที่ตลาด อตก. ก็ถามท่านเสียงดังๆ ไปเลยว่า ใจคอจะปล่อยให้สถาบันโดนหมิ่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือ
ถามท่านเลยว่ารักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์และผู้ที่จัดเสื้อผ้าให้คุณจิตราใส่ออกอากาศเพื่อแสดงออกว่าจะไม่เคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้นควรจะต้องลงโทษให้หลาบจำไหม
ถามท่านเลยว่า ท่าทีเมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นของนายจักรภพ รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสื่อของรัฐ...ท่านจะทำอย่างไร
บางส่วนก็ไปไล่แจ้งความกันให้ทั่วให้โชติศักดิ์และพรรคพวกได้รู้ว่า คนที่ควรจะไปอยู่ประเทศอื่นไปอยู่กับคุณพ่อมาร์ก - เหมา - เลนนิน นั้นคือ พวกเขา...
มิใช่พวกเราคนไทยที่อยู่ใน ราชอาณาจักรไทยแห่งนี้!!
เหมือนที่ใครบางคนบอกให้เราไปเป็นทาสที่ประเทศอื่น หลังจากที่ฟังเพลงนี้จนจบ เราคงสามารถปลอบตัวเองและบอกคนรอบข้างดังๆ ว่า
เราจะอยู่ตรงนี้ สู้ตรงนี้ สู้จนตาย เพื่อสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราศรัทธา และสิ่งที่เราเคารพ!! ขอย้ำอีกครั้งนะครับ อ่านแลวอย่าซีเรียส
แค่แสดงความคิดเห็นก็พอครับ
Create Date : 23 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 10:28:42 น. |
|
1 comments
|
Counter : 365 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
w_thira |
|
|
|
|