เรื่องเล่า Exclusive trip in Singapore with Joy AF8 Part 3
เรื่องเล่า Exclusive trip in Singapore with Joy AF8 Part 3 สวัสดีทุกๆท่านอีกครั้ง ในที่สุดวันสุดท้ายก็มาถึงแล้วสินะ ขอโทษที่ครั้งนี้ต้องให้รอนาน..ฮ่า อันที่จริงผู้เขียนยังไม่อยากเขียนของวันสุดท้ายเท่าไหร่นัก เพราะความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับว่าหากผู้เขียนเขียนเรื่องราวของวันที่ 3 จบเมื่อไหร่ ผู้เขียนก้คงจะไม่ได้มานั่งทบทวนหรือคิดถึงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับน้องจอยในทริปสิงคโปร์อย่างนี้อีกแล้ว แม้ความสุขความทรงจำจะยังคงอยู่แต่ก็อดใจหายไม่ได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเริ่มต้นกันที่อาหารเช้าของโรงแรมกันเลยดีกว่า โดยวันนี้ผู้เขียนเก็บสัมภาระและลงมาเช็คเอ้าท์แต่เช้าเพื่อที่จะรอน้องอยากไม่พะวักพะวง วันนี้น้องจอยลงมาในชุดง่ายๆสบายๆเหมือนเดิม เป็นกางเกงขาสั้นเสื้อตัวในสีดำคลุมด้วยเสื้อคลุมกึ่งๆสูทสีน้ำตาลอ่อนๆดูจะเป็นทางการกว่าทุกวัน แอบสังเกตุว่าเส้นผมของน้องจอยยังมีความชื้นเหมือนเพิ่งผ่านการสระผมมา จะบรรยายละเอียดไปมั๊ย..ฮ่า ก็เพราะน้องมักจะลงมารับประทานอาหารเช้าช้ากว่าผู้เขียนเสมอ แต่อย่างที่รู้ๆกันว่าอันที่จริงเป็นเพราะผู้เขียนตั้งใจจะลงมาก่อนน้องเอง ดังนั้นเวลาน้องนั่งรับประทานอาหารเราจึงมีเวลาพินิจพิจารณาน้องได้อย่างละเอียด ฮ่า แต่แม้จะมีสายตาหลายคู่จ้องมองอยู่น้องจอยก็ยังนั่งรับประทานอาหารได้ตามปกติ ผู้เขียนก็ไม่ได้ถามน้องจอยเหมือนกันว่าน้องรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าเป็นผู้เขียนหากมีคนมาคอยจ้องมองเวลารับประทานอาหารผู้เขียนคงเขินจนไม่เป็นอันรับประทานเป็นแน่ ฮา เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางโดยทางคณะทัวร์ได้พาไปซื้อของที่ร้านดิวตี้ฟรี มาถึงตอนนี้ปรากฎว่าน้องจอยหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ ทำให้ไม่เป้นอันเลือกซื้อของกันเลยทีเดียว ความรู้สึกอยากจะเก็บภาพน้องหายไปในทันทีที่เห็นสีหน้าของน้อง น้องคงมีความว้าวุ่นใจสังเกตุได้จากสีหน้าของน้องมีความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย แต่น้องก็เก็บความรู้สึกและควบคุมสติได้ดีทีเดียว ด้วยวัยเพียง 19 ปีออกมาต่างบ้านต่างเมืองและไม่มีผู้ปกครองมาด้วย หากเป็นผู้เขียนคงจะร้องไห้ไปแล้ว เมื่อน้องทบทวนสักพักก็บอกว่าน่าจะลืมไว้ที่ห้องของน้องแพรวาและน้องแอ้นเพราะเมื่อคืนน้องไปที่ห้องนั้น จึงได้มีการประสานไปทางโรงแรมซึ่งปรากฎว่าน้องได้ลืมไว้จริงๆ ซึ่งทางโรงแรมบอกว่าเจ้าตัวต้องไปรับเองพี่ๆจึงพาน้องนั่งแท็กซี่ย้อนกลับไปเอา ในตอนนี้ผู้เขียนไม่ได้ติดตามน้องไปด้วยแต่ไปรอน้องที่จุดนัดหมายถัดไปอันได้แก่ย่านไชน่าทาวน์ บริเวณนี้จะมีวัดและพิพิธภัณฑ์พระเขี้ยวแก้ว ผู้เขียนจึงเดินสำรวจและบันทึกภาพมาไว้เผื่อให้น้องได้ดูเล่น และได้มีโอกาสได้ไหว้พระขอพร โดยผู้เขียนขอให้น้องจอยได้ของและกลับมาให้ทันที่นี่..ฮ่า ซึ่งหลังจากไหว้พระเสร็จผู้เขียนก็มารอน้องบริเวณจุดนัดพบ ระหว่างที่รอน้องจอยก็ถ่ายรูปน้องแพรวาเล่นคร่าเวลาเนื่องจากน้องแพรวาโพสท่าสวยๆประหนึ่งนางแบบมืออาชีพ ผู้เขียนจึงอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพมาด้วย อิอิ หลังจากรออยู่ไม่นานน้องจอยก็กลับมา ตอนนั้นใกล้เวลานัดหมายแล้วแต่เป็นโชคดีที่ผู้เขียนไปเดินสำรวจมาก่อนจึงรีบพาน้องจอยไปไหว้พระขอพรสักเล็กน้อยหลังจากผ่านเรื่องกระเป๋าสตางค์หายเพื่อต่อไปน้องจะได้เจอแต่สิ่งดีๆ หลังจากออกจากวัดเราก้ไปรับประทานอาหารที่ Happy Joy Restaurant ดูเหมือนมาทริปนี้อะไรๆก้จอยไปหมด..ฮ่า ซึ่งผู้เขียนก็นั่งประจำที่คือนั่งตรงข้ามน้องจอยเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ในช่วงเวลารับประทานอาหารเป็นช่วงเวลาที่จะได้นั่งมองน้องจอยคุยเรื่องต่างๆได้อย่างชัดเจน ก็มีอัดคลิปบ้างแต่เผื่อความเป็นส่วนตัวจึงอัดมาเพียงเล็กน้อยเพราะถ้าขืนอัดคลิปตลอดเวลาน้องอาจจะเข้าใจว่าผู้เขียนเป็นพวกโรคจิตเป็นแน่ หรือแอบคิดไปแล้วก็ไม่รู้..ฮ่า อาหารแต่ละมื้อในสองวันที่ผ่านมาอยากจะบอกว่าไม่แตกต่างกันเลย แอบสงสารนักกินตัวยง คริคริ ดังนั้นเราจึงรับประทานกันรวดเร็วมากและมีเวลาไปเดินเล่นระหว่างรอคนอื่นๆ และได้ถือโอกาสถ่ายรูปน้องเล่นระหว่างรอ โดยน้องบอกว่าถ่ายแต่รูปยิ้มจนเมื่อยแล้ว ผู้เขียนก็ดีใจว่าน้องคงจะเปลี่ยนเป็นโพสสวยๆหรือเซ็กซี่ให้ผู้เขียนได้ถ่ายบ้าง ที่ไหนได้น้องกลับโพสท่าตลกๆให้ถ่ายซะงั้น แล้วน้องก็ไปหยอดตู้ของเล่นได้อักกี้เบิร์ดมาสองตัว น้องหยิบขึ้นมาให้ดูพร้อมทำหน้าล้อเลียน เรียกว่าอยู่กับน้องจอยมีเรื่องให้ฮาตลอด สถานที่ถัดไปได้แก่ Orchard Road ซึ่งเป็นถนนที่ทุกคนที่มาสิงคโปร์ไม่ลืมที่จะแวะเลือกซื้อสินค้าเบรนด์แนมยี่ห้อต่างๆ แต่คงไม่ใช่น้องจอย ฮา ทั้งสองฝั่งถนนจะเป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งและวงการบันเทิง ซึ่งที่นี่ได้เปิดโอกาสให้น้องในการเลือกเดินช้อปปิ้งเองหลังจากกักตัวน้องให้อยู่กับเรามาทุกวันแล้ว อิอิ และเราก็รู้ดีว่าน้องคงไม่ให้เลือกซื้ออะไรให้น้องเป็นแน่ดูจากวันแรกที่มาและคาดว่าน้องคงไม่ซื้ออะไรมากมายจึงต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยน้องไปเดินเล่นกับน้องหลิน ที่นี่ร้านค้ามากมายและคนก็พลุกผล่านมาก หลังจากผู้เขียนแยกจากน้องไปเลือกซื้อสินค้าของตนเองเสร็จก็เริ่มนึกถึงน้องขึ้นมาว่าอยากจะเจอน้องจอยเวลาเดินช้อปบ้างเผื่อจะเก็บภาพมาเล็กๆน้อยๆ แล้วก็เหมือนฟ้าเป็นใจให้ได้เดินมาจ๊ะเอ๋กับน้องพอดี น้องก็หันมาให้แชะภาพมาหนึ่งภาพ แต่เหมือนโดนมนต์สะกดทำให้ผู้เขียนเผลอเดินตามน้องไปและแอบถ่ายภาพระยะไกลมาฝากทุกคนอีกเล็กน้อย..ฮ่า การเดินเที่ยวครั้งนี้ผู้เขียนเปรียบเสมือนปาปารัชซี่ตามถ่ายซุปตาร์เลยทีเดียว หลังจากได้ภาพมาผู้เขียนจึงเลิกสะกดรอยตามเนื่องจากเกรงว่าจะทำลายความเป็นส่วนตัวของน้องเกินไป ในตอนนั้นน้องจอยคงไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบตาม แต่เมื่อน้องได้เห็นรูปภาพและได้อ่านเรื่องเล่านี้ ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจอกับน้องจอยคราวหน้าผู้เขียนต้องใส่หมวกกันน็อคไปด้วยหรือป่าว ต้องขอโทษน้องจอยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ผู้เขียนหวังว่าน้องจอยผู้น่ารักที่ทั้งสวยทั้งใจดีคงจะอภัยให้ผู้เขียนแน่นอน..ฮ่า แล้วในที่สุดก็มาเจอน้องอีกทีบริเวณที่นัดหมาย แล้วก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ว่าน้องคงไม่ซื้ออะไรมากมาย สิ่งที่น้องได้จากการช้อปครั้งนี้มีเพียงช็อคโกเลตเพียงเล็กน้อยเท่านั้นโดยน้องบอกว่าซื้อไปฝากที่บ้านเพราะคนที่บ้านชอบกิน อันนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไงไม่เกี่ยวกับผู้เขียนนะ ผู้เขียนเพียงแต่เขียนตามคำบอกของน้องเท่านั้น น้องบอกว่าได้ซื้อของเท่านี้น้องก็มีความสุขแล้ว และก็ได้เวลากลับขึ้นรถเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น ช่วงเวลาที่เดินไปขึ้นรถจากที่น้องเคยเดินไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้สนใจว่าผู้เขียนจะถ่ายคลิปถ่ายรูปอะไร คราวนี้น้องกลับหันมาคอยดูคอยเรียกเป็นระยะแม้จะต้องคุยกับผู้เขียนผ่านกล้อง ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่าที่น้องคอยหันมามองเพราะอะไรเนื่องจากปกติแล้วน้องไม่ค่อยหันมาพูดกับกล้องสักเท่าไหร่ในขณะเดิน แอบคิดว่าน้องอาจจะเป็นห่วงผู้เขียนก็เป็นได้เพราะผู้เขียนมัวแต่ถ่ายน้องอย่างไม่ลดละ ฮา แล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนอื่นๆไปไหนกันหมด หลังๆนี้รู้สึกเริ่มจะทิ้งน้องกันบ้างแล้วนะ..ฮา แล้วน้องก็พาเดินไปตรงที่จอดรถซึ่งบริเวณนั้นจะมีทางม้าลายเล็กๆอยู่ที่นึง น้องพาเดินเลยไปแล้วคงจำได้ว่าตั้งแต่วันแรกไกด์ได้บอกว่าที่สิงคโปร์นี้ถ้าไม่ข้ามทางม้าลายจะเสียค่าปรับแต่ราคาเท่าไหร่ผู้เขียนไม่แน่ใจแต่ก็ไม่ใช่ราคาน้อยๆแน่ น้องจึงพาย้อนกลับไปข้ามทางม้าลาย แต่อยากจะบอกว่าทางไปขึ้นรถกับทางม้าลายห่างกันเพียงสองสามก้าวและบริเวณนั้นก็เป็นที่จอดรถแต่น้องก็ยังพาผู้เขียนย้อนกลับไปข้ามทางม้าลายจนได้ แล้วอาหารมื้อสุดท้ายก็มาถึง ในช่วงเวลานี้เหมือนภาระกิจของผู้เขียนใกล้จะเสร็จสิ้น ผู้เขียนจึงมีเวลาพูดคุยเล่นกับน้องจอยบ้างหลังจากมองน้องผ่านเลนต์มาตลอดสามวัน อาหารเย็นมื้อนั้นเรียกเสียงกรี๊ดจากคณะทัวร์ได้ทั้งคณะเนื่องจากอาหารแตกต่างจากอาหารที่เคยรับประทานมาทั้งสองวัน ฮา ตอนนี้ผู้เขียนเริ่มนึกอยากจะแกล้งน้องขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบมาสองวันโดยบอกขอโทษน้องที่ถ่ายแต่คลิปตอนรับประทานอาหารเพราะรู้ว่าน้องเกรงใจแฟนคลับเรื่องนี้ ฮา ซึ้งอันที่จริงผู้เขียนถ่ายน้องตลอดไม่แต่เฉพาะช่วงทานอาหารแต่พูดเพื่อแกล้งน้องไปอย่างนั้นเอง และก็บอกน้องว่ารูปถ่ายน้องมีแต่น่าเกลียดๆ ในตอนนี้น้องแพรวาก็น่ารักช่วยแก้ต่างให้พี่จอยว่าพี่จอยสวยมาเยอะแล้วให้เห็นพี่จอยสวยน้อยๆลงบ้าง ฮา อาหารมื้อนี้ดูจะเป็นมื้อที่ผู้เขียนคุยกับน้องมากที่สุดตลอดการเดินทางก็ว่าได้ ระหว่างนั่งคุยกันผู้เขียนยังได้บอกกับน้องว่าไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้ซื้อของไว้เราไปเดินจตุจักรกันดีกว่า น้องรีบเห็นด้วยป็นอย่างยิ่ง..ฮ่า แล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่สนามบินชางยี โดยหลังจากผ่านด่านผู้โดยสารขาออกพี่ๆก็พาน้องไปช้อปเป็นการส่งท้าย ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนได้แยกไปซื้อของฝากของตนเองก่อนกลับมาเจอน้องอีกที เห็นน้องซื้อของด้วยก็แปลกใจสอบถามได้ความว่าพี่คนนึงเกิดวันนี้พอดีจึงใช้เป็นข้ออ้างให้น้องเลือกของที่อยากได้เพื่อเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆในวันเกิดของเค้าที่ได้ซื่อของให้น้อง น้องจึงยอมเลือกซื้อของโดยได้แว่นตากับน้ำหอมติดไม้ติดมือกลับมาเมืองไทยด้วย หลังจากนั้นก็เดินเล่นดูสินค้ากันอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปขึ้นเครื่องบิน ระหว่างเดินเราก็ทำหน้าที่อย่างไม่ลดละ โดยรักษาระยะห่างจากน้องเพื่อถ่ายคลิป น้องจอยบอกว่าอันที่จริงมาเดินด้วยกันก็ได้นะ อยากจะบอกน้องว่าถ้าเป็นไปได้ผู้เขียนก็ อยากจะเดินข้างๆน้องไปตลอดทริปด้วยซ้ำแต่ถ้าทำเช่นนั้นคงได้แต่คลิปสถานที่ต่างๆ คนรักจอยที่ไม่ได้มาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าน้องจอย แล้วเมื่อกลับมาเมืองไทยอาจจะไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้ผู้เขียน ฮ่า ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็มาเจอกับน้องหลินที่เอาเงินคืนภาษีจากการซื้อสินค้ามาคืนน้องโดยน้องได้คืนมาสองเรียน น้องบอกว่าถ้าจะน้อยขนาดนี้ น้องหลินจึงบอกว่าอย่าบ่นเพราะน้องหลินไปทำเรื่องคืนอยู่นานกว่าจะได้มาคืนให้น้องจอยสองเหรียญ ผู้เขียนจึงถามน้องจอยว่าแล้วจะเอามั๊ย น้องบอกว่าเอาสิตั้งห้าสิบบาท ฮ่า เมื่อขึ้นนั่งประจำที่ก็เป็นโชคดีอีกแล้วที่ผู้เขียนได้นั่งอยู่ด้านหน้าน้องจอยเลยได้เก็บภาพบนเครื่องบินมาฝากกันด้วย โดยน้องนั่งข้างน้องต้นเห็นเม้าท์กันอยู่พักนึงแล้วน้องก็นั่งเงียบมาตลอดทาง เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรรภูมิน้องอยากเข้าห้องน้ำมากแต่เราต้องต่อรถอีกต่อนึงจำได้ว่าน้องรีบเรียกให้ผู้เขียนขึ้นรถ ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือว่ากลัวช้ากันแน่เพราะเมื่อตัวรถถึงอาคารสนามบินน้องจอยก็วิ่งตื๋อไปเข้าห้องน้ำไม่รักษาภาพพจน์ศิลปินกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นกันต่ออีกนิดหน่อยดูจะไม่รีบกันเลยเนอะ โดยน้องจอยอยู่กับพวกเราตลอด เอ๊ะหรือว่าเราตามน้องจอยตลอดอันนี้ก็ชักไม่แน่ใจ อิอิ เมื่อเอากระเป๋าเสร็จเราก็เดินออกมากับน้องจำได้ว่าน้องบ่นว่าง่วงมาตลอดทาง แต่พอออกมาเจอกับบรรดาแฟนคลับที่มารอ น้องกลับเป็นคนละคน สีหน้าดูสดชื่นแจ่มใสและคุยเล่นกับทุกคน จากนั้นก็แจกของฝากจากสิงค์โปร์ให้แฟนคลับที่มารอรับ แม้จะเหนื่อยสักเพียงไหนน้องก็ยังคุยกับแฟนคลับอยู่พักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน มีอีกเรื่องนึงที่ผู้เขียนไม่ได้เล่าไว้แต่แรกแต่อดที่จะเขียนถึงไม่ได้คือตลอดระยะเวลาสามวันที่อยู่บนรถบัส น้องจะคอยคุยเล่นกับพวกเราเสมอ มีอยู่ครั้งนึงน้องจอยพยายามจะช่วยพี่แฟนคลับบ้านอื่นเก็บกระเป๋าขึ้นตรงที่เก็บของเหนือศีรษะแต่พี่เค้าเก็บเกือบเสร็จแล้วน้องจึงทำเป็นเนียนเล่นมุกตลกให้เราได้ขำกัน นอกจากนั้นก็มีการร้องเพลงและพูดคุย รวมถึงกล่าวขอบคุณเมื่อได้เวลาต้องจากกัน สร้างความประทับใจให้กับทุกๆคน จะว่าไปแล้วการไปเที่ยวครั้งนี้เหมือนน้องไปเพื่อมอบความสุขให้เราจริงๆ ดูเหมือนน้องจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับการเที่ยวครั้งนี้เท่าไหร่นักเพราะดูน้องจะไม่ค่อยใส่ใจกับวิวทิวทัศน์รอบๆตัวสักเท่าไหร่ เดินไปทางไหนก็เดินๆไปอย่างนั้นเอง ไม่มีอยากจะถ่ายรูปกับมุมนั้นมุมนี้ ไม่มีรีบที่จะเดินดูให้ทั่วๆ เพื่อไปชมหลายๆที่ เหมือนน้องตั้งใจมาเดินเล่นกับพี่ๆซะมากกว่า พี่ๆพาเดินไปทางไหนก็ไป ถ่ายรูปก็เพียงเล็กๆน้อยๆ จะว่าไปที่จริงไม่ต้องไปถึงสิงคโปร์ก็ได้เพราะผู้เขียนเองก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวสิงคโปร์แต่ไปเพราะไปกับน้องจอย ฮา หรือเป็นเพราะว่าน้องจอยเก็บความรู้สึกเก่งก็ไม่รู้จึงไม่แสดงออกให้เห็นว่าที่จริงแล้วน้องตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้มากสักเพียงใด แม้การเดินทางในครั้งนี้ของผู้เขียนจะเริ่มต้นไม่สวยงามนัก เนื่องจากถูกขอร้องแกมบังคับไป ฮา แต่จากการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับน้องจอยตลอดระยะเวลาสามวันกลับทำให้ผู้เขียนได้พบเห็นแง่มุมของชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นมาจากความรักของผู้คนรอบข้าง ในความเห็นของผู้เขียน น้องจอยดูจะเป็นคนที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่นและให้อิสระในการดำเนินชีวิต น้องจึงเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อาจเพราะได้รับความรักมาจากครอบครัวอย่างเปี่ยมล้นอยู่แล้ว น้องจึงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความรักจากใคร ดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อเอาใจใคร ดังนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบน้องก็คงไม่มีผลกับน้องสักเท่าไหร่ โลกของน้องจอยเหมือนมีแต่สิ่งสวยงาม น้องเลือกที่จะมองผ่านสิ่งที่ไม่ดีและเก็บเกี่ยวเอาแต่สิ่งที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียงและแบ่งปันความรักออกมาให้ผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงสั้นๆที่ผู้เขียนได้รู้จักน้องจอย จะทำให้ผู้เขียนรู้สึกกับน้องจอยได้มากขนาดนี้ ขอบคุณน้องๆทุกคนที่ผลักดันให้ผู้เขียนได้มาเที่ยวในทริปนี้ ขอบคุณน้องจอยที่ทำให้ทริปท่องเที่ยวที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร กลายเป็นทริปที่สร้างความสุข ความสนุกสนานให้ผู้เขียนขึ้นมาได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคนที่ได้รู้จัก มีหรือที่จะไม่รักเด็กคนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขียนมาเป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน... ปล.น้องจอยไม่ดราม่าผู้เขียนจึงไม่กล้าดราม่า...555 ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องเล่าในครั้งนี้
Free TextEditor
Create Date : 17 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2554 21:46:49 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2571 Pageviews. |
|
|