นักเขียนนามปากกา "จันทร์ทอแสง" เขียนนิยายแนว 20+ ทั้งโลกสวยและโลกไม่สวย

 
กันยายน 2560
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
18 กันยายน 2560
 

เ พ ช ร ใ น เ ง า # 1




ตอนที่ 1


ณ โรงพยาบาลหรูติดอันดับของเมืองหลวง หญิงสาวใบหน้าเรียว หุ่นบางสูงโปร่งในชุดกระโปรงเดินผ่านประตูเข้ามา ท่าทางของเธอดูร้อนใจมาก คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้ากันน้อย ๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแสดงถึงความกังวล เธอตรงไปที่ลิฟต์และกดยังชั้นสิบสอง ซึ่งเป็นส่วนของผู้ป่วยใน

หญิงสาวเคาะประตูห้องหนึ่งก่อนเปิดเข้าไป คนป่วยบนเตียงเป็นชายสูงวัย ท่าทางใจดี ใบหน้าอิดโรย

“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ” เธอถามเสียงร้อนใจพร้อมสำรวจร่างบิดาไปด้วย

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก หนูอย่าห่วงไปเลย”

“แล้วทำไมถึงล้มไปได้คะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอนที่พยาบาลโทรไปบอก ไอซ์ตกใจแทบแย่”

“หน้ามืดนิดหน่อย ทำคีโมใหม่ ๆ ก็แบบนี้” เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติ

“แล้วพยาบาลไม่ได้ดูแลคุณพ่อหรือคะ”

“ดู แต่ตอนนี้พ่อเข้าห้องน้ำ แล้วก็เกิดอาการวูบ แต่ตอนนี้พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”

“คุณพ่อต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะคะ” อัญพัชร์พูดเสียงสั่น พ่อของเธอเป็นมะเร็งกระดูกระยะสุดท้าย ซึ่งต้องรักษาด้วยการทำคีโมบำบัด แต่ผลการรักษาไม่ค่อยดีนะ เพราะร่างกายไม่ตอบสนองยาเท่าที่ควร

วัชระยิ้มอ่อนให้ลูก เขาจับมือลูกสาวคนเดียวไว้แล้วบีบกระชับ “พ่อไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก ยังไม่เห็นหนูรับปริญญาโทเลยนี่” เขาเอ่ย คำพูดนั้นทำให้อัญพัชร์หน้าหม่นลง

“ไอซ์คิดว่าจะหยุดเรียนแล้วค่ะ” เธอบอกเสียงเบา

“หยุดเรียน? ทำไมล่ะ หนูมีปัญหาอะไร ไม่เข้าใจตรงไหนหรือ ถามพ่อหรือถามคนที่บริษัทได้นะ ต้องทำวิจัยใช่ไหม”

“ไอซ์จะออกมาช่วยงานที่บริษัทคะ” เธอบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงมั่นใจ ขณที่บิดาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“พ่อดีใจที่หนูคิดถึงบริษัทแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ พ่ออยากให้หนูเรียนให้จบก่อน เพิ่งจะเรียนไปได้แค่เทอมเดียวเอง พ่อไม่อยากให้หนูหยุดกลางคัน”

“ก็เพราะเพิ่งเรียนไงคะ ไอซ์ถึงอยากหยุด ดีกว่าไปหยุดตอนที่เรียนไปเยอะแล้ว ไอซ์อยากช่วยแบ่งเบางาน อยากดูแลคุณพ่อให้มากกว่านี้” เธอเสียงสั่นแล้วดึงมือบิดามาแนบแก้ม “ไอซ์อยากให้คุณพ่ออยู่กับไอซ์นาน ๆ ตอนนี้คุณแม่ไม่อยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อเป็นอะไรไปอีกคน ไอซ์จะอยู่ยังไงล่ะคะ”

“โธ่ เด็กน้อยของพ่อ” วัชระเอ่ยเสียงเอ็นดูแล้วลูบศีรษะลูกสาวอย่างแสนรักแสนสงสาร
ครอบครัวของเขาอบอุ่นและเชื่ออย่างสุดใจว่าใครได้ฟังเรื่องราวเป็นต้องอิจฉาแน่ ๆ เพราะมีภรรยาที่แสนดี ช่างเอาใจ และยังมีลูกสาวแสนสวย น่ารัก นิสัยเรียบร้อยไว้อวดใคร ๆ อีกด้วย อัญพัชร์เรียบจบคณะพาณิชย์และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยของรัฐโดยมีเกียรติอันดับหนึ่งติดมือมาด้วย และตอนนี้เธอกำลังเรียนระดับปริญญาโทในสาขาบริหารธุรกิจ เพื่อต่อยอดนำความรู้มาใช้ในธุรกิจผลิตขนมปังและคุกกี้ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว

แต่แล้วครอบครัวอันแสนสุขก็มลายไป เมื่อภรรยาสุดที่รักมาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างกะทันหันเมื่อปีก่อน วัชระถึงกับเสียศูนย์ไม่เป็นอันทำงาน ส่วนลูกสาวก็เอาแต่นั่งซึม จนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า สองพ่อลูกต้องคอยปลอบใจกันและกัน ในที่สุดสภาพจิตใจก็ค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงปี ความทุกข์ก็เข้ามาเยือนครอบครัวอีกครา เมื่อวัชระล้มป่วยจากอาการเท้าบวม ตัวเหลือง และตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งกระดูกในระยะที่สามแล้ว
โอกาสรอดยังพอมีจากการทำคีโม แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะผลการรักษาไม่ค่อยเป็นที่พอใจของแพทย์นัก ตอนนี้จึงทำได้แค่ประคองอาการไปก่อน

“พ่อเข้าใจความหวังดีของหนู แต่ถ้าหนูอยากช่วยพ่อจริง ๆ หนูต้องเรียนให้จบโทเสียก่อน หนูจะได้มีความรู้ เอามาพัฒนาบริษัทของเราได้ ส่วนเรื่องที่บริษัทไม่ต้องห่วง พ่อจะจัดการเอง”

“แต่…”

“เอาตามที่พ่อบอกนะ ถือว่าพ่อขอร้อง” วัชระพูดแทรกแล้วยิ้มให้ลูก อัญพัชร์ไม่อยากให้บิดาเครียดจึงพยักหน้ารับ

“คุณพ่อนอนพักก่อนนะคะ อาการจะได้ดีขึ้น เดี๋ยววันนี้ไอซ์จะอยู่เฝ้าคุณพ่อเองค่ะ”

“หนูไม่มีเรียนหรือ” เขายังเป็นห่วง

“ไม่มีค่ะ” หญิงสาวปด ความจริงเธอมีเรียนแต่ขอออกมาก่อน หลังทราบว่าบิดาต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน


........................................


ช่วงเย็น ในร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาล อัญพัชร์เดินเข้าไปแล้วกวาดตามอง ก่อนตรงไปยังโต๊ติดกระจกที่มีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่

“เกตุ ปู” อัญพัชร์ทักเพื่อน สองสาวยิ้มให้

“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง” ปณิตาหรือปูเอ่ยถาม เธอมีใบหน้าหวาน ท่าทางเรียบร้อย ผมยาวสีดำเป็นเงาถูกปล่อยสยาย ดวงตาของเธอกลมโต รับกับจมูกที่โด่งพองาม เธออยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีขาวแล้วสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้มที่ช่วยขับผิวให้ขาวกว่าเดิมและเพิ่มความหวานน่ารักด้วยกระโปรงสั้นสีชมพูอ่อน

“ดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่น่าห่วงคงเป็นอย่างอื่น” อัญพัชร์พูดลางถอนใจ

“คุณลุงต้องไม่เป็นอะไรหรอก” ทิพย์เกสรหรือเกตุปลอบเพื่อน หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนคู่กับกางเกงขายาวสีดำ ผมเป็นลอนถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า ท่าทางของเธอทะมัดทะแมง การแต่งกายดูโตและเป็นทางการกว่าเพื่อนอีกสองคน เพราะเธอทำงานแล้ว

“ขอบใจนะ” อัญพัชร์ยิ้มให้เพื่อน ก่อนหันไปถามปณิตา “หลังจากที่ฉันออกมาแล้ว อาจารย์บอกอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

“มีนิดหน่อย ฉันจดมาให้แล้ว” ปณิตาบอกพร้อมยื่นสมุดให้ ทั้งสองเรียนปริญญาโทที่เดียวกัน คณะเดียวกัน

“ขอบใจมากเลยนะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ ฉันเริ่มไม่อยากเรียนแล้วสิ”

“อย่าเพิ่งท้อสิไอซ์ เราเพิ่งเรียนมาได้แค่เทอมเดียวเองนะ และเธอน่ะเรียนเก่งอยู่แล้ว รับรองว่าต้องจบในสองปีแน่ ๆ”

“ฉันอยากดูแลคุณพ่อ อยากดูแลกิจการของเรา”

“แต่ถ้าเธอไม่มีความรู้ แล้วเธอจะดูแลบริษัทยังไงล่ะ ความรู้แค่ป.ตรี มันไม่พอสำหรับการเป็นผู้บริหารหรอก และชีวิตการทำงานน่ะ มันกดดันมากเลยนะ ขนาดฉันเป็นแค่พนักงาน บางทียังรู้สึกอึดอัดเลย แล้วเธอล่ะ ต่อไปต้องคุมคนตั้งเยอะแยะ ความกดดันต้องเยอะกว่าฉันอยู่แล้ว ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี เดี๋ยวจะแย่เอานะ” ทิพย์เกสรบอก ทำเอาปณิตาห่อไหล่

“เธอทำฉันกลัว การทำงานมันกดดันขนาดนั้นเลยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงหวั่น สีหน้าไม่มั่นใจ เธอกับอัญพัชร์ มีหลายอย่างคล้ายกัน คือที่บ้านมีธุรกิจที่รอไว้พร้อมแล้ว เหลือเพียงให้พวกเธอไปสานต่อ และเธอก็เป็นเด็กเรียนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยสัมผัสชีวิตการทำงานว่าเป็นอย่างไร แม้จะเคยผ่านการฝึกงานมา แต่นั้นก็เป็นเพียงผิวเผิน พวกพี่ ๆ เขาไม่เอางานหนัก ๆ มาให้เด็กฝึกงานอยู่แล้ว ทำให้เธอทำงานด้วยความสุข แต่เธอก็พอจะรับรู้ถึงแรงกดดันจากพี่ ๆ ที่ทำงานมาพอสมควร

ทิพย์เกสรยิ้มแห้งและเหมือนจะรู้ตัว “ฉันพูดถึงในกรณีที่เลวร้ายแบบสุด ๆ น่ะ แต่ถ้าเธอทำงานในบริษัทของตัวเอง คงไม่กดดันอะไรหรอก”

“แล้วเธอมีความสุขหรือเปล่า” อัญพัชร์ถามเพื่อน ทิพย์เกสรถอนใจเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

“ไม่ดีเลย ทำเกี่ยวกับการตลาดก็แบบนี้ ต้องคิดต้องวิเคราะห์ แล้วยังจะมีพวกขัดแข้งขัดขากันอีก ไม่เหมือนตอนเรียนเลย”

“มาทำที่บริษัทของฉันไหม” อัญพัชร์เสนอ ทิพย์เกสรส่ายหน้า

“งั้นมาทำที่บริษัทของฉัน เก่ง ๆ มีความตั้งใจอย่างเธอ รับรองว่าทุกคนต้องชอบแน่ ๆ” ปณิตาเสนออีก ครอบครัวของเธอเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาและเครื่องออกกำลังกายทุกชนิด มีตึกเป็นของตัวเองและยังมีแผนกกีฬาตามห้างใหญ่ ๆ อีกด้วย ขณะที่ทิพย์เกสรส่ายหน้าอีกครั้ง

“ทำไมล่ะ” เพื่อนทั้งสองถามพร้อมกันด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ

“ขอบใจเธอสองคนมากเลยนะ แต่ฉันไม่อยากทำงานแบบใช้เส้น ฉันไม่ชอบวิธีนี้ และตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด อีกอย่าง ฉันกะว่าจะทำงานอีกสักพักแล้วจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวน่ะ”

“ร้านกาแฟน่ะเหรอ” ปณิตาถามอย่างสนใจ

“ใช่ ถ้าฉันเข้าไปทำงานที่บริษัทของพวกเธอ คงทำได้แค่ไม่กี่ปี เดี๋ยวพวกเธอจะเสียหายเปล่า ๆ”

“ดีจังเลยนะ ทำธุรกิจของตัวเองแบบนี้” ปณิตาเปรยแล้วถอนใจ

“เธอพูดเหมือนอิจฉาอย่างนั้นแหละ” ทิพย์เกสรพูดยิ้ม ๆ

“ใช่สิ ฉันอิจฉาเธอนะ ฉันอยากมีอะไรที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองแบบนี้แหละ ถ้าเธอจะทำเมื่อไหร่ ฉันหุ้นด้วยได้ไหม”

“ได้สิ” เพื่อนตอบด้วยความยินดีก่อนถาม “แต่ทางบ้านเธอจะยอมเหรอ”

“ยอมสิ เรื่องนี้ฉันเคยเกริ่นกับคุณแม่แล้ว พี่ปุณก็เห็นด้วย ส่วนเรื่องงานที่บริษัท พี่ปุณเขาจัดการได้อยู่แล้ว”

“ดีจังเลยนะ มีพี่น้องมาช่วยดูแลธุรกิจที่บ้าน” อัญพัชร์พูดเสียงเศร้า เธอเป็นลูกคนเดียว ต่อไปกิจการทั้งหมดของครอบครัว เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาเลย ขณะที่ปณิตายิ้มปลอบแล้วกุมมือเพื่อนไว้

“เธอเก่งอยู่แล้วไอซ์ ฉันเชื่อว่าเธอจัดการทุกอย่างได้”

“ขอบใจจ้ะ มะรืนนี้ไม่มีงาน ฉันคงต้องแวะไปบริษัทหน่อยแล้ว คุณพ่อเพิ่งทำคีโม คงต้องพักฟื้นอีกหลายวัน”

“พวกเราเอาใจช่วยเธอกับคุณลุงนะ ขอให้ท่านหายเร็ว ๆ” ทิพย์เกสรอวยพร


.....................................


บริษัทของครอบครัวอัญพัชร์ ตั้งอยู่แถวรังสิตบนพื้นที่กว่าสิบไร่ ด้านหน้าเป็นอาคารสำนักงานสูงสี่ชั้น ด้านหลังเป็นโรงงานที่มีคนงานกว่าห้าสิบชีวิต ขนมปังและคุกกี้ยี่ห้อเอ-คลาส ถือเป็นแบรนด์ติดตลาด มีสินค้าวางขายทั้งร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ และยังมีเซลล์วิ่งขายตามร้านค้าในต่างจังหวัดอีกด้วย

จุดเริ่มต้นเกิดจากแม่ของอัญพัชร์มีฝีมือเรื่องการทำขนม เธอจึงทำขนมปังและคุกกี้ส่งตามร้านกาแฟ ก่อนขยายเปิดเป็นร้านของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มออกบูทตามห้าง คุกกี้ยี่ห้อเอ-คลาสได้รับความนิยมมาก เพราะรสชาติดีและใช้วัตถุดิบคุณภาพ จากนั้นวัชระก็เริ่มเจาะตามร้านสะดวกซื้อเพื่อขยายตลาดไปยังต่างจังหวัด จากกำลังการผลิตด้วยมือคนก็เปลี่ยนเป็นเครื่องจักร จนบัดนี้ ผ่านไปเกือบสามสิบปี ขนมปังและคุกกี้ตราเอ-คลาส ก็ยังเป็นที่นิยมติดอันดับขายดีตลอด

อัญพัชร์มองป้ายบริษัทด้านหน้าด้วยความภูมิใจ พ่อกับแม่สร้างที่นี่ขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกท่าน โรงงานแห่งนี้สร้างมากว่ายี่สิบปีแล้ว เธอเติบโตมาพร้อม ๆ กับโรงงานแห่งนี้ พ่อบอกว่าเธอเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้ วันที่แม่รู้ว่าท้อง คือวันที่ธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้สร้างโรงงานนี้ และนั่นก็นำมาซึ่งบริษัทใหญ่โตในวันนี้


ในห้องประชุมเล็ก อัญพัชร์นั่งดูรายงานต่าง ๆ ด้วยคิ้วที่ขมวดยุ่ง ตรงหน้าของเธอคือชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าอ่อนเยาว์ เขายิ้มอ่อนเมื่อเห็นอัญพัชร์ถอนใจ

“ไอซ์ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องโครงสร้างของบริษัทเลยค่ะ” เธอเปรยแล้วปิดแฟ้ม

“ค่อย ๆ ดูไป เดี๋ยวไอซ์ก็เข้าใจเอง” แทนไทเอ่ย เขาเป็นเจ้าหน้าที่ด้านการตลาด อายุมากกว่าอัญพัชร์หนึ่งปี และเพิ่งเข้าทำงานเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ก็ได้รับความไว้วางใจ ให้เข้ามารายงานสถานการณ์ของบริษัท เพราะมีความสนิทสนมกับอัญพัชร์ ทั้งสองเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบัน พ่อกับแม่ของแทนไทก็เป็นพนักงานเก่าแก่ของที่นี่

“ไอซ์คงแย่มากเลยนะคะ ไม่เคยเข้ามาดูบริษัทแบบลึก ๆ เลย ใครเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร ไอซ์ก็ไม่ค่อยรู้” เธอว่าตัวเอง เพราะเอาแต่เรียนกับเรียนและไม่ได้ลงมาคลุกคลีกับพนักงาน ทำให้เธอไม่สนิทหรือรู้จักใครเป็นการส่วนตัว ที่รู้ก็มีแค่พ่อกับแม่ของแทนไท และผู้บริหารเก่าแก่อีกสองสามคน แม้จะแวะมาที่บริษัทบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นการแวะมารับบิดาก่อนกลับบ้านเท่านั้น ไม่เคยเข้ามาดูรายงานหรืออะไรเลย

“ก็ไอซ์ยังเรียนอยู่นี่ ไม่รู้ก็ไม่เห็นแปลก” แทนไทปลอบ

“ไอซ์คิดว่าจะหยุดเรียนแล้วล่ะคะ”

“ทำไมล่ะ”

“พี่ไทก็รู้ว่าตอนนี้อาการคุณพ่อไม่ค่อยดี ไอซ์อยากแบ่งเบางานของคุณพ่อบ้าง”

“ไอซ์บอกเรื่องนี้กับท่านหรือยัง” เขาถาม

“บอกแล้วค่ะ” เธอตอบแล้วถอนใจอ่อน

“คุณลุงคงไม่เห็นด้วยแน่ ๆ”

“ค่ะ”

“พี่ก็ไม่เห็นด้วย ไอซ์ควรเรียนให้จบก่อน”

“อีกตั้งสองปี” เธอว่า

“เชื่อเถอะว่ามันคุ้ม และถ้าไอซ์ยังไว้ใจพ่อกับแม่ของพี่ พี่สัญญาว่าจะช่วยงานบริษัทอย่างเต็มที่” แทนไทให้คำมั่น

“ไอซ์ต้องไว้ใจคุณน้าทั้งสองอยู่แล้วค่ะ” อัญพัชร์รีบพูด แม่ของแทนไททำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการเงิน ขณะที่พ่อของเขาดูแลในส่วนของการผลิต ถือเป็นกำลังหลักของบริษัทเลยก็ว่าได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งใจเรียนนะ แล้วอีกสองปี ไอซ์จะต้องเป็นผู้บริหารสาวไฟแรงที่ถูกจับตามองมากที่สุดแน่นอน” เขาพูดอย่างมั่นใจ ทำเอาอัญพัชร์ยิ้ม

“พี่ไทชมไอซ์เกินไปแล้ว”

“ไม่เกินหรอก ไม่เชื่ออีกสองปีรอดูแล้วกัน” เขายังมั่นใจ สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทำให้อัญพัชร์ต้องหันมาทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง เธอไม่ได้ต้องการเป็นผู้บริหารไฟแรงแต่เพราะการทำงานต้องอาศัยความรู้ ถ้าเธอไม่มี แล้วจะเอาอะไรมาพัฒนาบริษัท

แต่ถ้าเธอเอาแต่เรียนกับเรียนแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ เธอจะเก่งล่ะ...อัญพัชร์ได้แต่สับสนและคิดไม่ตก


..................................


ในห้องผู้ป่วยที่วัชระพักรักษาตัวอยู่ เขานอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอิดโรย การทำคีโมผ่านมาหลายวันแล้ว แต่อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้นและต้องนอนที่โรงพยาบาลตลอด เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ถึงมือหมออย่างทันท่วงที หน้าเตียงคือชายหญิงมีอายุในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองมองคนป่วยแล้วยิ้มให้กำลังใจ

“แข็งใจไว้นะระ สู้กับโรคให้เต็มที่” ชายสูงวัยให้กำลังใจ วัชระยิ้ม

“ขอบใจมากภัท และขอบใจนะที่มาตามคำขอของฉัน”

“นายมีอะไรถึงโทรให้ฉันมาพบด่วน” ธีรภัทรถาม ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และคบหาสนิทใจกันเรื่อยมา

“มีเรื่องอยากจะขอร้องสักหน่อย ฉันรู้ตัวดีว่าเวลาของตัวเองใกล้หมดแล้ว”

“คุณห้ามท้อนะคะคุณระ คุณต้องเป็นหลักให้หนูไอซ์นะคะ” พันวัสสาให้กำลังใจ

“ที่ผมยังต่อสู้กับโรคนี้ได้ เพราะหนูไอซ์นี่แหละ แต่ผมก็รู้ว่าดูแลเขาไปตลอดไม่ได้ ภัท ฉันขออะไรสักสองอย่างได้ไหม ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้าย”

“คุณระ!” พันวัสสาอุทานแล้วทำหน้าไม่เห็นด้วยที่เขาพูดเป็นลางแบบนั้น

“ได้ ฉันรับปาก นายจะขออะไร”

“นายช่วยซื้อหุ้นบริษัทของฉันได้ไหม”

“ระ” ธีรภัทรเรียก ”นี่นายกำลังคิดอะไรอยู่ จะขายบริษัทงั้นเหรอ นั่นมันน้ำพักน้ำแรงของนายนะ”

“เพราะเป็นน้ำพักน้ำแรงน่ะสิ ฉันเลยอยากให้นายซื้อต่อ ฉันรู้ว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ บริษัทที่ฉันสร้างมาคงล้มละลายหรือไม่ก็คงเปลี่ยนมือไปอยู่กับคนอื่น และถ้ามันจะอยู่กับใคร ฉันขอเป็นคนเลือกเองดีกว่า เพราะรู้ว่านายจะช่วยรักษาสมบัติชิ้นนี้ของฉันได้ นะภัท ช่วยซื้อกิจการของฉันได้ไหม” วัชระอ้อนวอน

“คุณคุยเรื่องนี้กับหนูไอซ์หรือยังคะ แกจะยอมหรือคะ” พันวัสสาถาม

“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมห่วงที่สุด” วัชระพูดพลางถอนใจก่อนหันไปมองหน้าพันวัสสา

“คุณสารับปากกับผมได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สารับปากคุณ”

“ฉันก็รับปากนายเหมือนกัน” ธีรภัทรเอ่ย

“ช่วยดูแลหนูไอซ์ต่อจากฉันได้ไหม ฉันรู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือไม่มากแล้ว และหนูไอซ์ก็คือคนที่ฉันหวงและห่วงที่สุด ต่อไปถ้าฉันไม่อยู่แล้ว หนูไอซ์คงอยู่ลำบากและไร้ที่พึ่ง นายช่วยเป็นหลักและดูแลแกแทนฉันด้วย เรื่องที่ฉันจะขอก็มีแค่สองเรื่องนี้ นายรับปากฉันได้ไหม”

สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างตัดสินใจ ความจริง ทั้งสองเรื่อง พวกเขารับปากเพื่อนสนิทได้อยู่แล้ว แต่จะบอกเรื่องนี้ให้สังคมและอัญพัชร์เข้าใจอย่างไร พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นพวกชุบมือเปิบ เข้ามาหวังผลประโยชน์จากความเจ็บป่วยของเพื่อนสนิทหรือเปล่า
และคำขอเรื่องลูกสาวเพียงคนเดียวที่วัชระอยากให้ช่วยดูแล พวกเขารู้ว่าการดูแลนั่นหมายถึงอะไร

ไม่ใช่การดูแลเรื่องสารทุกข์ของเธอ ไม่ใช่การดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของเธอ แต่คือการรับเธอมาเป็นลูกอีกคน...ไม่ใช่ลูกสาว แต่เป็นลูกสะใภ้!

พวกเขาไม่ได้รังเกียจอัญพัชร์ ออกจะรักชอบพอหญิงสาวด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ตอบตกลงทันที เพราะห่วงเรื่องสภาพจิตใจของอัญพัชร์ เธอจะคิดอย่างไรที่พวกเขาเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท แถมเธอยังต้องแต่งงานกับลูกชายของพวกเขาอีก

มองไปทางไหนก็มีแต่เขาจะได้กำไร ส่วนวัชระและอัญพัชร์ก็มีแต่เสียกับเสีย

เขาอาจถูกมองว่าเห็นแก่ตัวก็ได้...ธีรภัทรคิดไม่ตก

“เรื่องนี้นายถามความสมัครใจของหนูไอซ์ก่อนดีกว่ามั้ย ถึงครอบครัวของเราสองคนจะรู้จักสนิทสนมกันดี แต่เรื่องนี้ก็ต้องถามความสมัครใจก่อน ฉันไม่อยากบังคับหนูไอซ์” ธีรภัทรแนะนำ

“ฉันจะบอกหนูไอซ์เอง ว่าแต่นายไม่รังเกียจหนูไอซ์ใช่ไหม” วัชระถาม

“ไม่เลย” เพื่อนตอบทันที

“เราไม่เคยรังเกียจหนูไอซ์เลยค่ะ” พันวัสสาบอกอีกคน “และยินดีรับเธอมาเป็นลูกสาวด้วยความเต็มใจ ความจริง ฉันก็คิดทาบทามหนูไอซ์ให้ตาธีอยู่เหมือนกันค่ะ นี่ก็รอให้คุณหายดีก่อนแล้วจะมาคุยเรื่องนี้”

“จริงหรือครับคุณสา” วัชระหน้าชื่นขึ้น

“ผมคงโล่งใจถ้าลูกอยู่กับคนที่ไว้ใจได้ ยายหนูเป็นเด็กหัวอ่อน มองโลกในแง่ดี ผมกลัวว่าลูกจะโดนหลอกและเจอคนไม่จริงใจ แต่ถ้าเป็นตาธี ผมก็เบาใจหน่อย เขาเป็นเด็กน่ารัก เป็นสุภาพบุรุษ ผมยังจำตอนที่ครอบครัวของเราสองคนไปเที่ยวด้วยกันได้ เด็กสองคนนั่นเข้ากันได้ดีเลยนะครับ” คนป่วยพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงความหลังก่อนถามต่อ

“ตอนนี้ธีเป็นยังไงบ้างภัทร เห็นว่าจบโทจากนอกตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ”

“ฉันบอกให้เขากลับมาแล้ว แต่นายธีอยากทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากบริษัทที่นั่นก่อน นี่ก็สองปีกว่าเห็นจะได้แล้ว และคงถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับมาเมืองไทยเสียที”

“คงเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่เนื้อหอมน่าดู หน้าตาก็ดี ความรู้ก็สูง ลูกสาวฉันพอจะมีสิทธิ์บ้างไหมเนี่ย” วัชระถามยิ้ม ๆ

“ทางเราต่างหากที่ต้องถามว่าตาธีมีสิทธิ์ยื่นใบสมัครให้หนูไอซ์พิจารณาหรือเปล่า เรียนก็เก่ง หน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็เรียบร้อย ดีพร้อมสมเป็นกุลสตรีขนาดนี้ ถ้าฉันปล่อยให้หลุดมือไป คงน่าเสียดายแย่”

“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า...” วัชระมีสีหน้าลุ้น ๆ

“ฉันรับปากตามที่นายขอทั้งเรื่องบริษัทและเรื่องหนูไอซ์” ธีรภัทรเป็นคนเอ่ย

“จริงหรือภัท ขอบใจนะ ขอบใจจริง ๆ ขอบคุณคุณสาด้วยครับ ขอบคุณมาก” วัชระเอ่ยก่อนผ่อนลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย “ตอนนี้ฉันไม่ห่วงอะไรอีกแล้วล่ะ ต่อให้พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ฉันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันห่วงที่สุด มีคนดูแลต่อแล้ว”

“นายรักษาตัวให้เต็มที่เถอะ เรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะจัดการให้เอง” ธีรภัทรรับปาก


.......................................






Create Date : 18 กันยายน 2560
Last Update : 18 กันยายน 2560 20:43:39 น. 0 comments
Counter : 741 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นักเขียนสีเทา
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]








ผลงานที่เว็บอีบุ๊กส์ :






. . . . . . . . . . . .


ผลงานทั้งหมดที่เว็บเมพ :



[Add นักเขียนสีเทา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com