Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
3 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

ดุจอาทิตย์ที่กลางใจ




...คุณเชื่อเรื่องของพรหมลิขิตไหม?...

เชื่อว่า...โชคชะตาจะนำมาซึ่งความรักและใครบางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบ...หรือเชื่อในมนต์ขลังของวันวาเลนไทน์บ้างหรือเปล่า?...

...ฉันเองไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านั้นหรอก...

...จนกระทั่งวันหนึ่ง...





เป็นปกติที่ช่วงหัวค่ำของวันพุธกลางสัปดาห์ ที่ร้านขายยาซึ่งฉันทำงานประจำอยู่จะค่อนข้างเงียบเหงา

ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงหลังเคาน์เตอร์จ่ายยาด้วยอารมณ์เรื่อยเปื่อย... เงี่ยหูฟังเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อน หากก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ

หันไปมองร้านค้าฝั่งตรงข้าม...

ร้านอาหารที่อยู่เยื้องๆ กันก็ปิดร้านไปพักผ่อนตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มดีด้วยซ้ำ เห็นแต่ประตูเหล็กสีเข้มกับเงาสลัวที่แสงไฟริมถนนไม่อาดสาดส่องไปถึง

ฉันล้วงมือเข้าไปในช่องเก็บของด้านข้างลิ้นชักเงิน ที่ปกติฉันมักจะสอดหนังสืออ่านเล่นทิ้งไว้สอง-สามเล่มเสมอ ทว่าวันนี้...กลับพบแต่ความว่างเปล่า จึงต้องก้มตัวลงไปมองดู

“สวัสดีครับ” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง

“โอ๊ย!” ฉันอุทานออกมาเมื่อศีรษะโขกเข้ากับเคาน์เตอร์จ่ายยาโดยแรง

ยกมือขึ้นกุมหัว...ไม่แตก...แต่ก็ทำเอามึนไปเหมือนกัน...

“ขอโทษครับ เป็นอะไรมากไหม?” น้ำเสียงถามไถ่ค่อนข้างร้อนรน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองตัวต้นเหตุที่ยืนอยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าที่พยายามปรับให้ดูอารมณ์ดีอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...กับลูกค้า

เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวค่อนข้างคล้ำอย่างคนที่ออกแดดอยู่เป็นกิจวัตร เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็กสีเข้มสอดชายเสื้อเข้าในกางเกงดูเรียบร้อย ทว่าแขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นเกือบถึงข้อศอกทำให้ดูเป็นชุดลำลองมากกว่าจะเป็นทางการ

หากถึงกระนั้นรัศมีบางอย่างที่ฉายออกมาจากข้างในก็ทำให้ฉันพอจะเดาออกว่า...เขาน่าจะเป็นคนในเครื่องแบบ...

ฉันยิ้มให้เขาตามมารยาท แม้จะยังเจ็บอยู่บ้างแต่ลูกค้าก็สำคัญที่สุด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”

“ผมมาพบพี่พัฒน์ครับ”

คำตอบนั้นทำเอาฉันต้องขมวดคิ้ว เพราะพี่พัฒน์ซึ่งเป็นเจ้านายฉัน และเป็นเจ้าของร้านขายยาแห่งนี้ไม่ได้สั่งความอะไรไว้

...แต่โดยปกติพี่พัฒน์ก็ไปธุระนู่นนั่นนี่จนลืมนัดเป็นประจำนั่นล่ะ...

“รอสักครู่นะคะ พอดีพี่เค้าไม่ได้สั่งอะไรไว้น่ะค่ะ ขอโทรศัพท์ก่อน...แป๊ปเดียวค่ะ”

เขาพยักหน้าแทนคำตอบ ในขณะที่ฉันรีบลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกอย่างรวดเร็ว

นานพอสมควรกว่าคนเป็นเจ้านายจะตอบรับมาตามสาย ฉันบอกธุระที่ทำให้ต้องโทรไปตามก่อนจะหันมาถามคนที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านนอกเคาน์เตอร์ระหว่างรอ

“ขอโทษนะคะ พี่ชื่ออะไรคะ?”

“วินครับ”

ได้คำตอบที่ต้องการแล้วฉันก็หันไปคุยกับเจ้านายต่อ

“น้องกาญจน์บอกผู้พันวินให้รอพี่สักสิบนาทีนะ พี่ใกล้จะถึงที่ร้านแล้วล่ะจ้ะ” พี่พัฒน์สั่งความมาตามสาย

“ค่ะพี่พัฒน์” ฉันรับคำสั้นๆ ก่อนจะวางสายแล้วถ่ายทอดสิ่งที่เจ้านายบอกมาให้เขาฟังอีกทอดหนึ่ง

“พี่พัฒน์บอกว่า...ให้ผู้พันรอสักสิบนาทีได้ไหมคะ? พี่พัฒน์กำลังขับรถมาค่ะ”

ทว่าแทนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธเขากลับเอ่ยถามฉันด้วยคำถามที่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับธุระของเขาเลย

“ชื่ออารยาหรือครับ?”

ผู้พันหนุ่มคงอ่านป้ายชื่อเภสัชกรประจำร้านซึ่งเป็นชื่อของพี่เภสัชกรอีกคนจึงเข้าใจผิด

“ไม่ใช่หรอกค่ะ เป็นชื่อพี่เภสัชกรอีกคน”

ความไม่คุ้นเคยต่อคนในเครื่องแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารทำให้ฉันรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กริยาท่าทางสง่าผ่าเผย กับสีหน้าเคร่งๆ นั้นชวนให้ฉันนึกอยากภาวนาขอให้พี่พัฒน์มาถึงร้านโดยเร็วเสียจริง





“คอยนานไหมวิน?” พี่พัฒน์โผล่เข้ามาในร้านพร้อมด้วยลังกระดาษใบใหญ่ หากสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจไม่ใช่กล่องใบนั้น แต่เป็นคำทักทายของพี่พัฒน์ที่มีต่อผู้พันหนุ่มคนนั้น

...ท่าทางสนิทกันน่าดูนะเนี่ย...แอบคิดในใจ

“ไม่นานครับ กำลังมองอะไรเพลินๆ” เขาตอบเจ้านายฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ไม่รู้ว่าฉันอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่า...กังวานเสียงนั้นติดจะล้อเลียนฉันอยู่ในที

...บ้าน่า คิดอะไรบ้าๆ ได้นี่เรา...

ฉันรีบปัดความคิดวุ่นวายสับสนออกจากสมอง ในขณะที่พี่พัฒน์กับผู้พันพากันเดินเข้าไปทางด้านหลังร้าน

ผู้ชายสองคนท่าทางจะคุยกันถูกคอ ได้ยินเสียงพูดคุยระคนมาพร้อมกับเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะพี่พัฒน์ที่หัวเราะร่วนกว่าใคร

นาน...จนเกือบจะถึงเวลาเลิกงานแล้ว กว่าที่สองหนุ่มจะเดินกลับออกมาด้านนอกอีกครั้ง

“ขอโทษทีน้องกาญจน์ พอดีพี่คุยกับวินเพลินไปหน่อย” บอกกับฉันด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปทางผู้พันหนุ่มที่ยืนมองฉันนิ่งอยู่

“แนะนำน้องเภสัชหน่อยนะ น้องกาญจน์เป็นเภสัชกรประจำร้าน” จากนั้นพี่พัฒน์ก็หันมาพูดกับฉัน “ผู้พันรวิภาส เป็นรุ่นน้องพี่เอง เพิ่งย้ายมาประจำอยู่เชียงใหม่”

“เรียกพี่วินเฉยๆ ก็ได้ครับ” ผู้พันบอกกับฉัน ก่อนจะเดินตามพี่พัฒน์ที่ยังคงคุยจ้อออกไปข้างนอก ได้ยินแว่วๆ ว่า...ชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน

...วันนี้พี่พัฒน์จะเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้า...สาธุ ขอให้ผู้พันปฏิเสธทีเถอะ...

หากคราวนี้คำอธิษฐานของฉันดูจะไม่เป็นผล เพราะเมื่อไปถึงร้านอาหารคนร่างสูงก็นั่งอยู่ข้างๆ เจ้านายฉัน โดยมีพี่หญิง...อันหมายถึงภรรยาของพี่พัฒน์ และพี่เภสัชกรอีกสองคนนั่งตรงข้าม เหลือเก้าอี้ด้านข้างผู้พันไว้ให้ฉัน

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ล่วงหน้าค่ะพี่พัฒน์”

ฉันส่งถุงของขวัญในมือให้พี่พัฒน์ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเกร็งๆ

นับเป็นการทานอาหารมื้อค่ำที่ไร้รสชาติที่สุด ทั้งที่ผู้พันเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะใส่ใจฉันเป็นพิเศษ ตรงกันข้าม...เขาดูจะคุยกันถูกคอดีกับพี่อร...เภสัชกรประจำร้านอีกสาขาหนึ่งด้วยซ้ำ

หลังอาหารมื้อนั้น ฉันกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย แต่ฉันก็ลืมเรื่องของผู้พันรวิภาสได้เกือบสนิทในเช้าวันถัดมานั่นเอง





~~~~~~~~~~






ฉันได้วันหยุดเพิ่มในช่วงสุดสัปดาห์ จึงถือโอกาสใช้เวลาในวันว่างไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ คือการไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อน แล้วพากันยกโขยงไปดูหนัง ดังนั้นกว่าฉันขับรถจะออกมาจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านกลางเมืองได้ก็ดึกเต็มทน

ถนนนิมมานเหมินทร์คึกคักไปด้วยผู้คน คืนวันเสาร์...เหล่าปาร์ตี้แอนิมอลทั้งหลายต่างพากันมาเที่ยวดื่มกินตามสถานบันเทิง ที่เปิดเรียงรายไปทั้งสองฝั่งถนน รวมทั้งในถนนซอยนับแล้วคงหลายสิบร้าน

ฉันชะลอความเร็วลง ขณะทอดสายตามองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ริมถนน เด็กหนุ่มในชุดเสื้อผ้าสไตล์เกาหลีกับผมทรงยุ่งๆ ราวกับเพิ่งลุกจากที่นอนแลดูคล้ายกันไปหมด ในขณะที่สาวๆ ในชุดเสื้อสายเดี่ยวสุดเปรี้ยวพากันเดินเกาะกลุ่มตามกันเข้าไปในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนนใหญ่ด้านนอก

...บางครั้งฉันก็อยากจะมาลองเที่ยวเล่นแบบนี้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่กล้าพอสักที...

โครม!!!

เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นแล่นเข้ามาสู่โสตประสาท พร้อมกับอาการกระตุกวูบของตัวรถที่ทำเอาฉันถึงกับหัวคะมำ ฉันแตะเบรคโดยสัญชาตญาณก่อนจะค่อยรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉันขับรถชนท้ายคันข้างหน้า!!!

ใจหายวาบ...ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร จนกระทั่งคนขับรถคันนั้นลงจากรถมาดูความเสียหายนั่นแหละ ฉันเปิดประตูรถลงไปบ้าง

“ขอโทษค่ะ” ฉันเอ่ยคำขอโทษโดยไม่มองหน้าผู้เสียหายเลยด้วยซ้ำ คิดในใจว่าอีกฝ่ายคงจะต่อว่าถึงความสะเพร่าของฉันเป็นแน่แท้ แต่แล้วความเงียบอันน่าประหลาดก็ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรถที่ถูกชน

...ผู้พันรวิภาส!...

...ดูเหมือนว่าชีวิตคนเรามักจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ...

เขามองฉันด้วยสีหน้าเคร่งๆ หากถึงกระนั้นฉันก็สามารถจับได้ถึงประกายแห่งความคาดไม่ถึงในสายตาเขา

“น้องกาญจน์...ไฟแดงนะครับทำไมไม่เบรค?” น้ำเสียงนั้นฟังคล้ายผู้ใหญ่ดุเด็ก ชวนให้ฉันยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น ได้แต่ละล่ำละลักบอกออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงคล้ายกำลังจะร้องไห้เต็มแก่

“กาญจน์ขอโทษค่ะ กาญจน์ไม่ได้ตั้งใจ”

ผู้พันหนุ่มถอนหายใจหนักๆ เขายกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะหันมาบอกกับฉันด้วยประโยคที่แม้จะไม่ดุเหมือนทีแรก แต่ก็ฟังเป็นคำสั่งอย่างชัดเจน

“น้องกาญจน์ขับรถไปชิดริมฟุตบาธก่อน แล้วค่อยคุยกัน”





หลังจากจอดรถชิดริมฟุตบาธแล้ว ฉันจึงค่อยมีสติพอที่จะสังเกตความเสียหายที่เกิดขึ้น กันชนท้ายรถผู้พันพังไปทั้งแถบ สังเกตได้จากสีที่หลุดล่อนออกมาตลอดทั้งความยาว โชคดีอยู่บ้างที่ไฟท้ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ในขณะที่รถของฉันเพียงแต่มีรอยสีจากรถของเขาติดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“รถน้องกาญจน์มีประกันไหม?” เขาหันมาถามฉันที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับรถทั้งสองคัน

“ไม่มีค่ะ” ตอบเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ

“ของพี่ก็ไม่มี”

แม้เขาจะไม่กราดเกรี้ยวโวยวายใส่ฉัน แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดในน้ำเสียงนั้น

“กาญจน์จะซ่อมให้ค่ะ ผู้พันอย่าโกรธกาญจน์เลยนะคะ” ฉันบอกเขาเบาๆ รู้สึกผิดกับความประมาทพลั้งเผลอของตัวเองเหลือเกิน

ผู้พันรวิภาสมองฉันด้วยแววตาประหลาดจนฉันรู้สึกอึดอัด

“น้องกาญจน์เรียกพี่ดีกว่า อย่าเรียกผู้พันเลย”

คราวนี้คงเป็นฉันเองที่มองเขาด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนตัวฉันเองหากเป็นนอกเวลางาน ก็ไม่อยากให้ใครมาเรียก...คุณเภสัช...คุณเภสัช...ตลอดเวลาเหมือนกัน

...ตำแหน่งหัวโขนต่างๆ ค่อยเก็บไว้เรียกในเวลางานเถอะ...

ฉันตกลงกับเขาได้ในเวลาไม่นานนัก เราสองคนแลกนามบัตรกัน ก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยผู้พัน...เอ่อ...พี่วินบอกกับฉันก่อนกลับไปขึ้นรถว่า...

“แล้วพี่จะโทรหานะครับ”





~~~~~~~~~~






คืนนั้น...



ฉันต้องนอนกระสับกระส่ายอยู่เกือบตลอดทั้งคืน แม้จะรู้ดีว่าเป็นอาการช็อคที่ตกค้างมาจากอุบัติเหตุ แต่การไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ส่งผลต่อความคิดอ่านของฉันในวันถัดมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ฉันคิดว่า...พี่วินน่าจะโทรศัพท์มาหาฉันตั้งแต่เช้าเพื่อจัดการธุระเรื่องซ่อมรถให้เสร็จสิ้นไป แต่จนแล้วจนรอด โทรศัพท์มือถือของฉันก็ยังคงเงียบสนิทไปจนถึงเวลาเข้างาน

...พี่พัฒน์ทิ้งร้านไว้ให้ฉันดูแลอีกตามเคย...

หลังจากที่จัดการทำความสะอาดและจัดของเข้าสต็อกเสร็จแล้ว ฉันก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นทางด้านหลังร้าน พร้อมกับมองกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนั้นอย่างชั่งใจ

พื้นกระดาษสีเหลืองนวล ช่วยขับให้ลายนูนสีทองของสัญลักษณ์กงจักรภายใต้มหาพิชัยมงกุฏ อันเป็นเครื่องหมายของกองทัพบกสามารถเปล่งรัศมีของอำนาจออกมาได้อย่างน่าประหลาด ในขณะที่ตัวอักษรเรียบๆ สีเขียวเข้มบอกถึงชื่อและตำแหน่งของเจ้าของนามบัตร กลับดูเคร่งขรึมเป็นทางการสมกับบุคลิกของเจ้าตัวโดยแท้

พันตรีรวิภาส ภัทรโยธิน...คือชื่อ-สกุลเต็มๆ ของเขา

...รวิภาส...แปลว่า...แสงอาทิตย์...

ไม่รู้ว่าพี่วินจะทันสังเกตเหมือนฉันไหม

...รัศมีกาญจน์...แปลว่า...รัศมีสีทองของดวงอาทิตย์...เช่นกัน

ฉันนึกถึงภาพเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวทางอารมณ์ที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในใจ เป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความสำนึกผิดและความสนใจใคร่รู้ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

...ไม่ควรเลยสักนิด...

ทว่าก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น สัญญาณเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

ฉันมองหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะตัดสายทิ้งแทบทันที ความรู้สึกหวั่นไหว...ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกร้าวราน...แหลกสลายของหัวใจ





ฉันเลิกกับพี่ปัณณ์...หรือนายแพทย์ปัณณธร ธีระวรการ เมื่อสองเดือนก่อน เพราะจับได้ว่า...เขามีผู้หญิงอีกคนในชีวิต แถมผู้หญิงคนนั้นยังเป็นลูกสาวอาจารย์ผู้อำนวยการซึ่งแก่กว่าฉันและพี่ปัณณ์นับสิบปี และเธอคนนั้นก็แต่งงานแล้วด้วย

พี่ปัณณ์พยายามจะขอคืนดีกับฉัน แต่สำหรับฉันแล้ว...ฉันรู้ดีว่า...ฉันคงไม่อาจรักเขาได้โดยปราศจากความเชื่อใจที่มีต่อกัน

...ภาพสองหนุ่มสาวตระคองกอดกันอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ โดยไม่ใส่ใจต่อสายตาคนรอบข้างนั้นบาดตายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด หากนั่นยังไม่เท่ากับที่ทั้งคู่แตะริมฝีปากเข้าหากันอย่างดูดดื่มอีกหลายครั้ง สิ่งที่เห็น...ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับมีดคมๆ ที่กรีดลงบนหัวใจฉัน...ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า...

หยาดน้ำอุ่นๆ ที่หยดลงบนหลังมือ เรียกสติสัมปชัญญะให้กลับคืนมา ฉันเงยหน้าขึ้น...กระพริบตาถี่ๆ พร้อมกับบอกตัวเองว่า...

...อย่าร้องไห้ อย่าให้ใครได้เห็นน้ำตาเป็นอันขาด...





“น้องกาญจน์ เป็นอะไรไปครับ?” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ไม่ห่างออกไปนักทำเอาฉันสะดุ้งสุดตัว ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร

...พี่วิน!...

เจ้าของร่างสูงในชุดสนาม ยืนมองฉันด้วยสีหน้าลำบากใจ

“เปล่า...เปล่าค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาคมๆ ที่มองมา คว้ากระดาษทิชชู่จากโต๊ะข้างๆ ซับน้ำตาที่เหลืออย่างรวดเร็ว

พี่วินมีสีหน้าลำบากใจ แม้ฉันจะยิ้มให้เขาตามปกติในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา

“พี่วินนั่งก่อนซีคะ วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะกาญจน์เลยเข้ามานั่งเล่นข้างใน”

ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใสในแบบที่มีไว้ใช้กับคนไข้โดยเฉพาะ ขณะลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเย็นๆ มาส่งให้คนตัวสูงที่รับไปด้วยท่าทีงงงัน

การที่ต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ทำให้ฉันเรียนรู้ที่เก็บอารมณ์บางส่วนของตัวเองไว้ แล้วแสดงให้คนรอบข้างเห็นแต่สิ่งที่น่าจะทำให้เขาเหล่านั้นสบายใจมากกว่า คิดง่ายๆ ว่า...ลำพังไม่สบายกายอยู่ ถ้ามาหาเภสัชกรซึ่งเป็นบุตลากรทางการแพทย์แล้วยิ่งไม่สบายใจหนักขึ้น คนไข้ที่ไหนก็คงจะไม่อยากมา...

ถึงตอนนี้พี่วินคงไม่ค่อยมั่นใจแล้วล่ะ ว่าน้ำตาที่ได้เห็นนั้นเป็นของจริง หรือภาพลวงตากันแน่

“พี่วินเอารถไปให้ช่างดูหรือยังคะ? ช่างเขายังไงบ้างคะ?” ฉันเป็นฝ่ายตั้งคำถามเมื่อเห็นว่าเขายังคงนิ่งอยู่

“ยังเลยครับ พี่ว่าจะไปวันพรุ่งนี้แหละครับ นัดลูกน้องไว้แล้ว” พี่วินตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ อีกเช่นเคย

“พี่วินจะให้กาญจน์ไปด้วยไหมคะ? ถ้าเป็นช่วงเช้าๆ กาญจน์ว่าง” ฉันเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น

...คนเราเวลาทำผิดต้องยอมรับผิด พยายามแก้ไขความผิดนั้นเท่าที่จะทำได้ และไม่ทำความผิดเดิมซ้ำอีก...คือสิ่งที่ฉันคิดกับตัวเองในใจ

“พี่ยังไม่แน่ใจเลยครับว่าจะว่างกี่โมง เอาเป็นว่าพี่จะโทรหาน้องกาญจน์นะครับ”

“จริงๆ แล้วกาญจน์เชื่อใจพี่วินนะคะ พี่วินไม่จำเป็นต้องให้กาญจน์ไปด้วยก็ได้ แค่โทรมาบอกลายละเอียดกาญจน์เท่านั้นเอง”

คนตรงหน้าชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่แทบไม่เชื่อว่า...ฉันจะมีโอกาสได้เห็นมันบนใบหน้าคมคายของเขา

พี่วินยิ้มสวย...เหมือนเทวดา...

“ไม่ล่ะครับ พี่อยากให้น้องกาญจน์ไปกับพี่มากกว่า”

“งั้นก็แล้วแต่พี่วินสะดวกเถอะค่ะ กาญจน์น่ะ...ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

ลูกค้าชาวต่างชาติสองคนที่ผลักประตูเข้ามาในร้านเรียกให้ฉันต้องลุกจากที่

“ขอโทษนะคะ” ฉันบอกพี่วินสั้นๆ ก่อนจะหันไปทักทายทั้งคู่เป็นภาษาอังกฤษ

ฉันใช้เวลากับลูกค้าทั้งคู่ราวห้านาที พอหันกลับไปมองอีกที พี่วินก็ออกมายืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์แล้ว

“น้องกาญจน์เก่งจัง” น่าแปลกที่คำชมสั้นๆ นั้นกลับทำให้หัวใจพองฟูอย่างน่าประหลาด

“ไม่เก่งหรอกค่ะ มันเป็นงานเท่านั้นเอง”

ฉันคุยกับพี่วินต่ออีกสองสามประโยคก่อนที่เขาจะลากลับ แล้วฉันก็ทำงานต่อจนถึงเวลาเลิกงาน ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าฉันลืมพี่ปัณณ์เสียสนิท นับตั้งแต่วินาทีที่เห็นร่างสูงของพี่วินในสายตานั่นแหละ





~~~~~~~~~~






พี่วินโทรศัพท์มาหาฉันทุกวัน คุยกันเรื่องรถที่พี่วินยังไม่สามารถปลีกเวลาเอาไปให้ช่างดูได้ แล้วก็เลยคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ

ไม่คิดว่าฉันกับพี่วินจะสามารถคุยกันถูกคอได้ถึงขนาดนี้ จนรู้สึกว่า...เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน...

“ตายจริง! เที่ยงคืนกว่าแล้วค่ะพี่วิน นอนกันได้แล้วนะคะ ไม่งั้นพรุ่งนี้พี่วินไปทำงานสายแล้วอย่ามาโทษกาญจน์ล่ะ” ฉันบอกเขาเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปขนาดไหน

ทว่าแทนที่จะเดือดร้อนที่ต้องนอนดึก พี่วินกลับหัวเราะ

“พี่ฟังน้องกาญจน์พูดเพลินดี”

...นี่เป็นเพราะฉันพูดมากหรอกหรือนี่...

เมื่อได้พูดคุยกันมากขึ้น ฉันจึงรู้ว่า...นายทหารไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยคิดระแวง โดยเฉพาะพี่วินที่ดูจะใจดีกับฉันเอามากๆ ด้วยซ้ำ





หลังจากที่พี่วินแวะมาหาฉันที่ร้านในวันนั้น กว่าที่ฉันจะได้พบกับเขาอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปร่วมสัปดาห์

พี่วินนัดฉันที่ศูนย์บริการรถยนต์ที่เขาเป็นลูกค้าประจำอยู่ นายช่างและพนักงานประจำศูนย์จัดการประเมินราคาค่าซ่อมก่อนจะส่งใบประเมินให้พี่วินดูรายละเอียด

ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มจะคุ้นเคยกันขึ้นมาหรืออย่างไร ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า...พี่วินทำท่าจะเกรงใจฉันขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้มาก เพราะคนที่ศูนย์บริการแห่งนั้นค่อนข้างเยอะ กลัวว่าพูดออกไปแล้ว จะดูเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติ ยิ่งพี่วินเป็นถึงเสนาธิการด้วยแล้ว จะทำอะไรก็ควรระวังให้มาก

อันที่จริงฉันอยากบอกพี่วินว่า...เงินจำนวนนั้นแม้จะไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้มาถึงขนาดที่จะทำให้ฉันต้องลำบาก แล้วมันก็เป็นความรับผิดชอบของฉันโดยตรง

พี่วินต้องทิ้งรถไว้ที่ศูนย์ ฉันจึงอาสาไปส่งพี่วินกลับที่ทำงาน แต่พี่วินปฎิเสธเพราะให้ลูกน้องที่หน่วยมารับแล้ว และนั่นก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่า...ความหวังดีของฉัน อาจก่อปัญหาให้กับเขาโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้

อีกอย่าง...ฉันเพิ่งจะพบเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากพอจะพูดได้ว่า...รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ...





เสร็จจากธุระเรื่องซ่อมรถแล้ว ฉันคิดว่า...พี่วินคงจะเลิกติดต่อมา แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด เพราะพี่วินยังคงโทรศัพท์มาถึงฉันอย่างสม่ำเสมอ

ฉันไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มที่จะเฝ้ารอโทรศัพท์ของใครบางคนในช่วงห้าทุ่มของทุกวัน

พี่วินคุยสนุก...

แต่บางครั้งฉันก็อดที่จะเกรงใจเขาไม่ได้ ที่ตัวเองมักจะคุยเพลินจนลืมเวลาทุกที แม้จะรู้ว่าพี่วินต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า อีกทั้งฉันก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนักกับสถานภาพของเขา

พี่วินอาจมีใครในใจ...มีคนรัก...หรือมีภรรยาแล้วก็ได้

ฉันใช้เวลาอยู่นานพอสมควร กว่าจะกล้าถามพี่วินถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่พี่วินอาจจะมีกับใครบางคน

“พี่แยกทางกับภรรยามาได้ปีกว่าแล้วครับ”

...คำตอบรับตรงๆ นั้นสร้างทั้งความรู้สึกยินดี และหวาดหวั่นให้กับฉันได้พร้อมๆ กัน...

อย่างน้อย...ฉันก็ไม่ได้เข้าไปแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของใคร ทว่าคำว่า...หย่าร้าง...ก็ชวนให้คิดหนักมิใช่น้อย

พี่วิน...อาจเป็นคนดีที่ถูกทิ้ง

หรือตรงกันข้าม...ใครคนนั้นก็อาจจะไม่สามารถยอมรับบางอย่างที่พี่วินเป็นก็เป็นได้

ความรัก...เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน มุมมองของคนอื่นอย่างฉันคงไม่อาจตัดสินได้ว่า...ใครถูกหรือผิด

เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับความอ่อนโลกของตัวเองเหลือเกิน





~~~~~~~~~~






ฉันลืมพี่ปัณณ์เสียแทบสนิท จนกระทั่งคืนก่อนวันวาเลนไทน์...

ลูกค้าร้านยาในช่วงค่ำค่อนข้างน้อย ฉันจึงสามารถนั่งจมเจ่าอยู่กับความคิดวกวนของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนดูจะน่ารำคาญกว่าทุกวันที่เคยเป็นมา ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมตคอนโทรลเพื่อปิดโทรทัศน์นั่นเอง แสงไฟหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้กันก็กระพริบขึ้นเสียก่อน ตัวอักษรหน้าจอบอกว่ามีสายเรียกเข้า

...พี่ปัณณ์ดูเหมือนจะยังไม่ละความพยายามที่จะติดต่อฉัน...

หากพี่พัฒน์ไม่ติดกล้องวงจรปิดและคาดโทษพี่ปัณณ์ไว้ว่า...ถ้าพี่ปัณณ์ไม่เลิกมาตอแยฉันที่ร้านขายยา พี่พัฒน์จะแจ้งความด้วยข้อกล่าวหาคดีอาญาทุกข้อหาเท่าที่จะสามารถคิดออกได้ตามระบบกฏหมายไทย พี่ปัณณ์ก็อาจจะยังคงแวะเวียนมาหาฉันที่ร้านจนไม่เป็นอันทำอะไรก็ได้

นาน...กว่าที่แสงไฟกระพริบจะดับลง ฉันมองหน้าจอที่ยังคงสว่างเรืองด้วยหัวใจว้าวุ่น

บาดแผลที่เคยคิดว่าหายดีแล้วยังคงกลัดหนอง ร้าวลึกไม่ต่างไปจากวันแรกที่หัวใจถูกทำร้าย น้ำตาที่เคยคิดว่าเหือดแห้งไปนานแล้วทำท่าจะไหลออกมาอีกครั้ง

ฉันเงยหน้าขึ้น...กระพริบตาถี่ๆ เกลียดน้ำตาเพราะมันทำรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้...

...โลกนี้ไม่มีที่สำหรับผู้แพ้หรอกนะกาญจน์...

...ลืมเสีย...ลืมผู้ชายหลอกลวงคนนั้นเสียที...

ทว่าความทรงจำของคนเรานั้นแปลก ยิ่งพยายามบอกตัวเองให้ลืมเท่าไหร่...ภาพของใครคนนั้นกลับยิ่งกระจ่างชัด และร้าวลึกในหัวใจ...





พี่วินโทรศัพท์ถึงฉันราวห้าทุ่ม เป็นเวลาปกติที่เขารู้ว่าฉันจะทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแต่ยังไม่เข้านอน น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำให้ความรุ่มร้อนในหัวใจฉันเริ่มสงบลง

“น้องกาญจน์ เข้านอนหรือยังครับ”

“ยังค่ะพี่วิน กาญจน์เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จได้สักพักนี่เอง”

“เป็นไงบ้างครับวันนี้ งานยุ่งไหม?”

“ไม่ค่อยยุ่งหรอกค่ะ สงสัยเพราะพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ พี่วินล่ะคะ?”

“ยุ่งแต่ประชุมน่ะครับ น่าเบื่อมาก”

“ทำยังไงได้ล่ะคะ ก็มันจำเป็นนี่นา”

“นั่นน่ะสิครับ” คำตอบรับนั้นกลั้วมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ความสดใสของเขาดูเหมือนจะส่งผ่านมาตามสัญญาณโทรศัพท์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ฉันคลี่ยิ้มอ่อนๆ ในหน้า ความรู้สึกหนักอึ้งที่เป็นมาตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มคลายลง

“น้องกาญจน์ครับ”

“คะ? พี่วิน”

“พรุ่งนี้ไปทานข้าวกับพี่นะ”

...มื้อเย็น...กับวันวาเลนไทน์...

แม้จะพยายามปฏิเสธตัวเองถึงนัยสำคัญที่อีกฝ่ายกำลังสื่อออกมา แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก

“เอ่อ...” ฉันยังคงอ้ำอึ้ง...ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี

...จะว่าไปแล้วฉันเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ ความสนิทสนมที่ดูจะก้าวหน้าเกินกว่าที่คาดไว้ทำให้ต้องคิดหนัก...

“พี่อยากเจอกาญจน์จริงๆ นะครับ แต่ถ้ามันทำให้กาญจน์อึดอัด...”

“ตกลงค่ะพี่วิน”

บางที...อาจเป็นน้ำเสียงที่ดูจะเจือไปด้วยความผิดหวังอย่างปิดไม่มิดของเขา ที่ทำให้ฉันรู้สึกทนไม่ได้

...ฉันตอบรับคำเชิญนั้นไปโดยอัตโนมัติแท้ๆ เชียว...





~~~~~~~~~~






อาหารค่ำในโรงแรมหรูริมฝั่งแม่น้ำชวนให้หัวใจรู้สึกวูบไหวอย่างประหลาด

ทันทีที่พี่วินรู้ว่าฉันไม่เคยแตะต้องเครื่องดืมที่มีแอลกอฮอล์มาก่อน เขาก็ขอให้บริกรเสริฟน้ำส้มคั้นให้ฉันแทน ทว่าไปๆ มาๆ สายตาของฉันก็จับจ้องไปที่แก้วก้านยาวบรรจุไวน์องุ่นสีเข้มของเขาอย่างอดไม่ได้

“อยากลองไหมครับ?” เขาเอ่ยยิ้มๆ ความอยากรู้อยากเห็นของฉันคงทำให้เขารู้สึกขันอีกตามเคย

จริงๆ แล้ววันนี้ ฉันสบตาคนตรงหน้าได้ไม่ค่อยเต็มตาเท่าไรนัก ...ไม่รู้ว่าแววตาคมดุคู่นั้นหายไปไหน เหลือแต่แววตาพราวระยับที่ชวนให้หัวใจเต้นระรัว...

“ได้หรือคะ?” ฉันถามเบาๆ กึ่งกล้ากึ่งกลัว

รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายดูจะยิ่งขยายกว้างขึ้น เขาทำท่าจะกวักมือเรียกบริกร หากฉันก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“กาญจน์ชิมของพี่วินได้ไหมคะ?”

เขาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเลื่อนไวน์แก้วนั้นมาให้แทนคำตอบ

“ค่อยๆ จิบนะครับ” บอกกับฉันด้วยน้ำเสียงคล้ายพี่ชายใจดีอีกเช่นเคย

กลิ่นแอลกอฮอล์แม้จะจางๆ แต่ชวนให้รู้สึกมัวเมาอยู่ไม่น้อย ฉันจรดริมฝีปากกับขอบแก้ว แต่แล้วในเสี้ยววินาทีถัดมาแก้วใบนั้นก็หล่นลงไปกระจายอยู่บนพื้น พร้อมกับน้ำเสียงกราดเกรี้ยวของใครบางคนที่ดังอยู่ข้างตัว

“น้องกาญจน์!”

“พี่ปัณณ์!”





เหตุการณ์ต่อจากนั้นค่อนข้างวุ่นวายสับสน จำได้แต่ว่าพี่ปัณณ์คว้าข้อมือฉันไว้ แล้วลากแขนให้ฉันเดินตามเขาไปอย่างไม่ปราณีปราศรัย

“พี่ปัณณ์ปล่อยกาญจน์นะ ปล่อยกาญจน์ซี ไอ้พี่ปัณณ์บ้า!” ฉันโวยวายพร้อมกับพยายามขืนตัวอย่างเต็มที่

“พี่ไม่ปล่อยเธอหรอก”

“เราเลิกกันแล้วนะพี่ปัณณ์”

พี่ปัณณ์หันกลับมามองฉัน หากยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร พี่วินที่มาจากทางไหนก็ไม่รู้ก็ซัดกำปั้นเข้าไปบนใบหน้าขาวๆ ของพี่ปัณณ์แบบเต็มๆ

ก่อนที่หน่วยรักษาความปลอดภัยจะมาถึง และแยกคนทั้งคู่ออกจากกัน ฉันคิดว่าพี่ปัณณ์คงโดนกำปั้นพี่วินไปไม่ต่ำกว่าห้าหมัด

พี่ปัณณ์มองฉันด้วยแววตาตัดพ้อจนฉันไม่อาจสบสายตาเขาได้ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาจนคิดอะไรไม่ออก

รู้ตัวอีกที...ฉันก็นั่งอยู่บนรถโดยมีพี่วินทำหน้าที่เป็นสารถี





ฉันลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายที่แลดูเคร่งขรึมกว่าปกติด้วยหางตา ก่อนจะนึกค่อนในใจ...ออกมาดผู้พันอีกแล้ว...

เปิดกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าจะโทรออก จนถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน พี่วินจึงชะลอความเร็วของรถลงก่อนจะจอดชิดข้างทาง

“จะกลับไปดูเขาหน่อยไหม?”

“พี่วิน!” ฉันอุทานอย่างคาดไม่ถึง ในขณะที่นายทหารระดับเสนาธิการอย่างพี่วินดูจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่า

“อย่าหลอกตัวเองเลยครับ พี่มองตากาญจน์ก็รู้”

“กาญจน์ชอบพี่วิน”

“แต่ก็เป็นห่วงเขา” พี่วินต่อประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“พี่กลับไปส่งกาญจน์ได้นะ ถ้ากาญจน์อยากไป”

ฉันสำรวจใบหน้าคมคายของคนตรงหน้า ทั้งสีหน้าและแววตาของพี่วินยังคงดูใจเย็น ไม่มีร่องรอยของความเกรี้ยวกราดหรือเสียใจอย่างที่ควรจะเป็น

และนั่นก็ทำให้ฉันเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของคนตรงหน้าอย่างแท้จริง

...เวลาที่พบกันอาจจะสั้น จนไม่อาจจะบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่า...ความรักหรือเปล่า แต่ความรู้สึกเจ็บร้าวรุนแรงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันก็ดูจะเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ...

ฉันโผเข้าหาคนข้างกายที่ดูจะอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึง แตะริมฝีปากลงบนคางสากระคายก่อนจะไล่เลื่อนขึ้นมาถึงริมฝีปากหยักได้รูป ความไม่ประสีประสาของฉันดูจะไม่เป็นอุปสรรคเท่าไรนักเมื่อพี่วินเป็นฝ่ายดึงฉันเข้าไปหาเสียเอง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่พี่วินจะปล่อยฉันให้เป็นอิสระ

“ให้ตายเถอะ...” เขาสบถ ก่อนจะรีบออกรถอย่างรวดเร็ว





พี่วินจอดรถหน้าประตูรั้วก่อนจะหันมามองฉันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

“น้องกาญจน์” ความเข้มของน้ำเสียงนั้นทำให้ฉันเริ่มรู้สึกกลัว

“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ไม่ว่าจะกับใคร เพราะกาญจน์อาจจะไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้ว”

“กาญจน์ขอโทษ” ฉันบอกเขาเบาๆ รู้สึกถึงน้ำตาร้อนๆ ที่เริ่มเอ่อท้นในขอบตา

มือใหญ่ค่อยไล้เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน หากดูเหมือนว่า...ยิ่งพี่วินอ่อนโยนกับฉันเท่าไร น้ำตาของฉันก็ยิ่งทะลักทะลายออกมามากขึ้น จนสุดท้ายพี่วินจึงดึงฉันเข้าไปหา

“อย่าร้องไห้สิครับ...คนดี”

...ฉันซุกซบเช็ดน้ำตากับอกกว้างนั้น...

“ถ้ากาญจน์ไป...พี่วินจะไม่โกรธ ไม่เสียใจหรือคะ?” ฉันเอ่ยถามหลังจากเริ่มควบคุมตัวเองได้

“พี่รักกาญจน์” เขาบอกสั้นๆ ทว่าพี่วินคงมองเห็นความกังขาในแววตาฉันจึงค่อยอธิบาย “ตอนแรกพี่ก็แค่เอ็นดูที่กาญจน์น่ารักแบบเด็กๆ แต่พอยิ่งได้รู้จักพี่ก็บอกตัวเองได้ว่า พี่อยากมีผู้หญิงอย่างกาญจน์นี่แหละอยู่ข้างๆ แต่พี่ไม่คิดจะบังคับกาญจน์ให้ต้องมารักพี่ตอบหรอกนะ”

...พี่วินคงไม่รู้หรอกว่า เพราะประโยคสุดท้ายนั้นแหละที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่า...ฉันตกหลุมรักคนตรงหน้าเต็มเปา และคงไม่อาจจะถอนใจคืนมาได้อีก...

“อยู่กับกาญจน์นะคะ อย่าทิ้งกาญจน์ไป แล้ววันหนึ่งกาญจน์จะรักพี่วินให้มากกว่าใครๆ ในโลก...กาญจน์สัญญา...”





~~~~~~~~~~






หนึ่งปีต่อมา...



วันวาเลนไทน์ปีนี้พี่วินยังต้องไปทำงานแม้จะเป็นวันอาทิตย์ ฉันนั่งอ่านหนังสือรอเขาอยู่ที่เก้าอี้สนามหน้าบ้าน พลางทอดสายตาไปยังถนนด้านหน้าเป็นระยะ

บ่ายแก่แล้ว...หากยังไม่เห็นวี่แววของคนที่นัดไว้ว่าจะมารับสักที...

จนกระทั่งแสงสีเหลืองนวลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วนั่นแหละ รถเก๋งสีบรอนซ์เงินจึงค่อยแล่นมาจอดหน้าบ้านช้าๆ

ฉันทำเป็นง่วนกับหนังสือตรงหน้า ไม่สนใจเงาวูบวาบของคนที่เข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ

“ขอโทษที พอดีวันนี้พี่ติดดูเขาซ้อมสวนสนาม” ร่างสูงในชุดลายพรางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สนามฝั่งตรงข้าม พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบสไตล์ผู้พันอีกตามเคย

...ชาตินี้ทั้งชาติ ไม่รู้ว่าฉันจะมีโอกาสได้เห็นพี่วินทำท่าลุกลี้ลุกลนบ้างไหม...นึกค่อนคนตรงหน้าในใจ พลางตวัดสายตาค้อนอย่างอดไม่ได้

ฉันปิดหนังสือในมือ ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าคมคายที่ชื้นไปด้วยเหงื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณไรผม พี่วินสบตาฉันก่อนจะเลิกคิ้วแทนคำถาม ฉันจึงย่นจมูกใส่เขาพร้อมกับบ่นกระปอดกระแปด ด้วยน้ำเสียงที่คนฟัง...ฟังอย่างไรก็คงรู้ว่าแกล้ง...

“คนอะไร...มาช้าแล้วยังเหม็นเหงื่ออีก”

“เหม็นเหงื่อแล้วรักหรือเปล่าล่ะ”

...โดนโจมตีจุดอ่อนซึ่งๆ หน้าทำเอาแทบวางสีหน้าไม่ถูกแน่ะ...

“ว่ายังไงครับ...คนเก่ง?” เขาถามยิ้มๆ

ฉันเสหยิบกระดาษเช็ดหน้าจากกระเป๋าถือส่งให้เขา แต่แทนที่พี่วินจะรับไปดีๆ เขากลับรั้งข้อมือฉันไว้ให้แตะกระดาษลงบนใบหน้าคมคายนั้นแทน ฉันพยายามชักมือกลับแต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก

“อุ๊ย! พี่วิน...ไม่อายเค้าเหรอคะ เดี๋ยวมีใครมาเห็น”

พี่วินไม่ตอบ จนกระทั่งรู้สึกว่าเหงื่อแห้งจนพอใจแล้วนั่นแหละจึงค่อยปล่อยมือ

“พี่มีของมาให้กาญจน์ด้วยนะ” บอกฉันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด

“อะไรคะ?”

กล่องกำมะหยี่สีเข้มถูกส่งมาตรงหน้า ฉันลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะรับเอามาเปิดออกดูด้วยใจระทึก แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุด เพราะมันว่างเปล่า...ไม่มีอะไรเลย...

...จะมาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย...ไม่ขำนะจะบอกให้...

เลื่อนกล่องเปล่าคืนให้เขาพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ไม่เห็นมีอะไรเลย”

เขายิ้มเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของฉัน

...ไม่รู้ขำอะไรนักหนา...

“อยู่นี่ไง”

ก่อนที่ฉันจะทันตั้งตัว พี่วินก็คว้ามือฉันเอาไว้อีกครั้ง

...แหวนทองวงเล็กบาง ประดับหัวแหวนด้วยพลอยสีฟ้าและสีชมพูอย่างละเม็ด แบบที่ฉันเคยเอ่ยชมให้เขาฟังเมื่อเห็นภาพในหน้านิตยสารเมื่อนานมาแล้ว ถูกสวมลงกับนิ้วนางข้างซ้ายโดยเร็ว...

“แต่งงานกับพี่นะ”

ก่อนหน้านี้ฉันอาจจะเคยนึกสงสัยในบางเวลาว่า...เวลานายทหารขอความรักจากผู้หญิง จะดูขึงขังจริงจังเหมือนตอนออกคำสั่งลูกน้องหรือเปล่า? ทว่าถึงตอนนี้...ฉันไม่สามารถสังเกตอะไรอย่างอื่นได้อีก นอกจากใจความของประโยคสั้นๆ ประโยคนั้น...กับหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง...





“กาญจน์ว่า...เรารอจนถึงปีหน้าค่อยจัดงานแต่งงานดีไหมคะ? เราจะได้แต่งงานกันในวันวาเลนไทน์เสียเลย” ฉันถามเขาเป็นเชิงปรึกษา หลังจากไปทานอาหารนอกบ้านแล้วเลยไปนั่งฟังเพลงกันต่อในคลับของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง

พี่วินส่ายหน้า...สบตาฉันด้วยแววตาพราวระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านอัดอยู่ข้างใน ก่อนจะกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็นเหมือนเช่นเคย

“ไม่ดีหรอก ถึงพี่จะเป็นทหารแต่พี่ไม่คิดว่าพี่จะอดทนได้นานขนาดนั้นนะ...” ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “แต่พี่สัญญาว่า...หลังแต่งงานแล้ว พี่จะทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ของเราสองคน...ดีไหม?”

...วันวาเลนไทน์ดูจะทรงมนต์ขลังกว่าที่ฉันเคยคิดไว้...

ฉันตอบรับความรักของพี่วินในวันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว...

ไม่เคยคาดคิดว่า...จะมีโอกาสได้ตอบรับคำขอแต่งงานของเขาในวันวาเลนไทน์ปีถัดมา...

...ใครจะคิดว่าผู้ชายมาดดุ บทจะหวานก็แทบจะพาให้ทั้งตัวทั้งใจละลายมันอยู่ตรงนี้นี่เอง...

พี่วินพิสูจน์ตัวเองด้วยความหนักแน่น...สม่ำเสมอ จนฉันรู้สึกว่า...เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่แสงตะวันที่ช่วยขับไล่ความหม่นหมองให้หมดไปจากชีวิตของฉันเท่านั้น แต่เป็นดวงตะวันที่ส่องสว่างอยู่กลางใจนับจากวันแรกที่พบกัน...จนถึงวันนี้...

และคงจะเป็นเช่นนี้อีกนานแสนนาน...

...ตราบเท่าที่เรายังมีกันและกัน...





~~~~~~~~~~






คุยกันท้ายเรื่อง


ตอนแรก...
ธารตั้งใจจะเขียน "ค่ำคืน...สายฝน...และความบังเอิญ" ภาคสองต่อ
แต่ปรากฏว่า...ความรู้สึกตื่นเต้นสั่นไหวที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ
ดูจะจางหายไปพร้อมๆ กับอะดรีนาลีนในกระแสเลือดหมดแล้ว

ธารเลยเขียนเป็นเรื่องสั้นเรื่องใหม่
จากแรงบันดาลใจเดิม
จะเรียกว่า...เป็น "ค่ำคืนฯ" ฉบับสมบูรณ์ก็ว่าได้ค่ะ
หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ

แถมท้ายอีกนิดว่า...
วันวาเลนไทน์นี้ธารมีเรื่องสั้นขนาดยาวอีกหนึ่งเรื่องนะคะ
คราวนี้...จะส่งการบ้านคุณแจงจริงๆ สักทีล่ะค่ะ




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553
9 comments
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2553 15:14:26 น.
Counter : 401 Pageviews.

 

อ่าาาาา ได้อ่านแล้วนะคะพี่ธาร

มีแอบหวานตอนท้ายด้วย ^^

พี่วินนี่ดูเป็นผู้ชายสุขุมดีนะคะ

แบบเนี้ยะๆๆๆ สเปกเลย อิอิ ^^(ขอแอบนอกใจพี่กฤตแปบนึงน้า)

Ps.ที่อิจฉาพี่ธารไม่ใช่เรื่องพี่ธารเสียตังค์น้า แต่อิจฉาที่พี่ธารเจอผู้ชายคล้ายพี่กฤตหรอก ^^

 

โดย: GoOsHa!R IP: unknown, 202.44.135.34 3 กุมภาพันธ์ 2553 22:35:11 น.  

 

มาลงชื่อเชียร์อีกรอบ

 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 10 กุมภาพันธ์ 2553 11:39:53 น.  

 

ขอบคุณคุณธารที่ไปอ่านความลับตูนค่ะ

อยากอ่านความลับคุณธารบ้างจัง

 

โดย: เหมือนพระจันทร์ 12 กุมภาพันธ์ 2553 21:35:20 น.  

 

คอมเม้นท์แล้วนะครับ

 

โดย: P'EAK IP: 125.25.231.168 14 กุมภาพันธ์ 2553 1:10:58 น.  

 

เมื่อไหร่จะเจอใครซักคน....ซักทีนะ...

 

โดย: puii IP: 112.142.117.160 14 กุมภาพันธ์ 2553 1:29:12 น.  

 

ยังไม่เสร็จอีกเหรอเรื่องนั้น O_O เมื่อไหร่จะได้อ่านอะตัวเอ๊ง

(เอ๊ะ มันเศร้านี่นา ลืม ฮ่าๆ)

 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 17 มีนาคม 2553 16:36:24 น.  

 



มาส่งเมนูแสนเร่งรีบ ตอนเช้าค่ะ
บางครั้งสิ่งดีๆ รอเราอยู่ ขอแค่ให้ก้าวเดินออกไป

 

โดย: redclick 22 มีนาคม 2553 6:34:34 น.  

 

คุณธารดองบล็อก..อิอิ เรื่องนี้เราอ่านและเม้นท์ที่ลายปากาแล้วนะคะ

 

โดย: nikanda 28 มีนาคม 2553 6:22:02 น.  

 

Tarn, you made my day today, novel is so romantic, you know what there are a lots of couples have been through and found love this way..Dang.!! you did the great heck out of job. I mean it I love every bit of the story..keep up good work, and I will read all of your Novels.

Love
Pi Camille (vorn)

 

โดย: Camille IP: 71.81.178.101 7 มิถุนายน 2553 8:07:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธาร นาวา
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากสายธารลำเล็กๆ
หลอมรวมเป็นกระแสธาราอันกว้างใหญ่
หลั่งริน...ไหลระเรื่อย...
นำพาเอาความชุ่มชื้นฉ่ำเย็นมาสู่หัวใจผู้คน

ลายปากกา
Friends' blogs
[Add ธาร นาวา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.