Don't just me because I sin differently from you.
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2557
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
28 พฤษภาคม 2557
 
All Blogs
 

ละครรำ [เรื่องสั้นแปล]

ละครรำ


แปลจากเรื่อง The Show ของ Kyawt Maung Maung Nyunt 
(แปลไว้ตั้งแต่ประมาณ 6 ปีก่อน ภาษาอาจไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะคะ)


เทศกาลตีติงจุตหรือออกพรรษาใกล้จะมาถึงแล้วยังไม่มีใครไปจองคณะละครมาฉลองเลย และชาวบ้านจำต้องฉลองงานนี้โดยไม่มีการแสดงใด ๆ ทุกคนต่างขัดเคืองใจกันมากโดยเฉพาะเด็กรุ่น ๆ พวกเขามาเรียกร้องกับผู้ใหญ่บ้านว่า “เราอยากดูละครรำ”


“แล้วข้าไม่อยากอย่างนั้นสิ” ผู้ใหญ่บ้านว่า “แต่เราไม่มีเงิน เงินกองกลางของหมู่บ้านก็เหลือน้อยเต็มที”

“เราจะหาเงินมาเอง แค่ไปจองคณะละครไว้ก็พอ”

“ดี เดี๋ยวเราคนแก่ ๆจะช่วยพวกเอ็งเต็มที่เลย”

คนหนุ่มสาวกลับบ้านด้วยความเบิกบาน


คนหนุ่มสาวรู้ดีว่าหาเงินมาเพิ่มได้หม่องหละจะขายไก่ เป้าซาจะขายแม่หมู ส่วนโพโพจะออกไปจับปลาเอามาบริจาค ตันช่าววิ่งออกมาจากบ้านพร้อมด้วยหน่อไม้ที่เขาจะแบ่งให้กองกลางและแล้วเงินก็งอกเงยขึ้นมา “ประมาณหนึ่งร้อยจ๊าด ฉันจะเอามันรวมเข้ากับเงินกองทุน”


ต่างปลื้มอกปลื้มใจเมื่อนับเงินได้มากพอสำหรับจ้างการแสดงแล้วเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกขายจนหมดเกลี้ยง เขาก็นำเงินนั้นไปมอบแก่ผู้ใหญ่บ้านเขาพอใจมากแล้วบอกว่า “ข้าจะไปดูให้แน่ใจว่าพระเอกกับนางเอกมาด้วยได้หรือเปล่า”

“ผู้ใหญ่เรายอมให้ผู้ใหญ่จัดการทุกอย่างได้ตามสบาย แล้วแต่ผู้ใหญ่จะเห็นสมควร”

สามวันต่อมาเรื่องตื่นเต้นครั้งใหญ่ได้อุบัติขึ้น เมื่อดาวเด่นจากคณะละครมาถึงหมู่บ้าน

“เขามาถึงแล้ว”

“หล่อไหมวะ”

“หล่อสิ หน้างี้สวยเชียว ผิวก็ดี๊ดีฉันว่าคงจะรวยจนไม่ได้ออกมาตากแดดตากลมเหมือนเราถ้าใครต้องมาลงนาท้าแดดลมฝนอย่างเราล่ะก็มิต้องสงสัยเลยว่าลงท้ายหน้าอ้ายคนนั้นคงจะดำปื้นเสียยิ่งกว่าก้นบาตรเสียอีก”

“อันนี้มันเรื่องบุญทำกรรมแต่งว่าแต่เขาพักอยู่ที่ไหนล่ะ”

“อยู่กับนังเมียะญุ่น”

“หลานผู้ใหญ่บ้านหรือ”

“พนันเลยว่าแม่นั่นคงดีใจจนเนื้อเต้น”


เมียะญุ่นเพิ่งจะแตกเนื้อสาว แม่ของเธอเป็นน้องสาวผู้ใหญ่บ้าน ในชนบทถือว่าการได้ดูแลแขกบ้านแขกเมืองที่เป็นดารานั้นเป็นเกียรติเป็นศรีที่ใครก็อยากทำดังนั้นชาวบ้านจึงพูดถึงเรื่องนี้กันมาก ต่างไม่พอใจที่ผู้ใหญ่บ้านให้สิทธิพิเศษแก่ญาติตนเองแต่ถึงอย่างไรก็ทำได้เพียงบ่นลับหลัง ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้ายิ่งกว่านั้นผู้ใหญ่ยังเป็นคนที่จ้างคณะละครมาให้พวกเขาเสียด้วย

เมื่อมาออกันที่บ้านเมียะญุ่นแล้ว พอได้มองลอดช่องระแนงไม้ไผ่ก็ต่างลืมความขุ่นข้องหมองใจนั้นไปอย่างรวดเร็ว

“โอวว หล่ออะไรปานฉะนี้”

“ดูไฝที่ข้างแก้มนั่นสิ”

“โสร่งหลายตาหมากรุกนั่นด้วย”

“ฉันชอบทรงผมเขาว่ะ เรียบแปล้เชียวฉันว่าตอนเข้าเมืองคราวหน้าฉันไปตัดอย่างนั้นมั่งดีกว่า”

“เฮ้ย อ้ายเด็กพวกนี้ ไปตายที่ไหนก็ไปไม่ต้องมาแอบดูเลย” คำพูดของเมียะญุ่นกระทบเด็ก ๆ พอเป็นกระสัยเท่านั้นแต่เป้าหมายที่แท้จริงคือพวกผู้ใหญ่


“เชื่อมันเลย แม่นั่นกล้าไล่เราน่ะยังกะว่าอีแค่มีพระเอกมาพักอยู่ด้วยจะทำให้แม่ตัวพองขึ้นอย่างนั้นแหละ ดีล่ะ ถ้างั้นเราก็ไปกันเถอะแอบมองอย่างนี้มันก็เสียมารยาทนะ”

หลายคนเดินบ่นกลับบ้านเรื่องความพาลของเมียะญุ่น

* * *

วันที่สองที่พระเอกอยู่ที่นี่ ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงตีกลองทางคณะกำลังซ้อมการแสดงอยู่บ้านอูทู เจ้าของบ้านเป่าปี่ อูอ่องมเยงเล่นฆ้องวงส่วนเจ้าเป๋อูทูนหญั่นทำหน้าที่มือกลอง โกเส่นวินเล่นกรับพร้อมกับทำหน้าที่เป็นนักร้องควบกับเป็นตัวตลกไปด้วยเปโต๊ะตีฉิ่งและก็ทำท่าทำทางเป็นตัวตลก โพเมียะตีกลองเล็ก นักดนตรีวงนี้เป็นคนของหมู่บ้านทั้งหมด


เป้าซาเป็นคนควบคุมการแสดงหมอนี่เป็นพวกป่าเถื่อนและเคยฆ่าคนตายมาหลายคนแล้ว เข้าออกคุกมาก็หลายครั้งหลายคราถึงชาวบ้านจะกลัวแต่เขาก็เป็นคนควบคุมที่ดี เขารู้วิธีจัดวางการแสดงทุกครั้งที่มีการจัดงานแต่งงาน เขาก็เป็นคนคอยคุมพิธีของหมู่บ้าน

พระเอกมาถึงในเวลาไม่นานมีเด็กตามติดมาเป็นพรวน พอพระเอกแหย่เล่น พวกเด็ก ๆ ก็หัวเราะกันคิกคัก

“ยินดีต้อนรับจ้ะ เชิญนั่ง”

เขาแจกยิ้มให้ทุกคนแล้วนั่งลงไม่ช้าทุกคนก็หันกลับไปสนใจกับการฝึกซ้อมต่อ ชาวบ้านฟังเพลงกันไป

“เสียงดีเนาะ ยังกับดูละครคณะใหญ่ ๆ อยู่แน่ะ”

“จริงด้วย คงจะออกมาดีเชียวล่ะ แล้วแถมเขายังร้องเพลงได้จริงๆ ด้วย”


สามวันต่อมา พอนางเอกมาถึงชาวบ้านก็เข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังขณะที่เธอลงจากเกวียน พวกเขาก็กรูกันเข้าไปช่วยถือของ ทั้งกระเป๋าเดินทางกล่องผ้าถุง และม้วนที่นอน

“ไม่ ๆ ระวังด้วย! นั่นมันกล่องผ้าถุงหนูนะประเดี๋ยวนรกจะกินหัวหนูสิ”


คนพม่าเชื่อกันว่าผู้ชายไม่ควรถือกล่องผ้าถุงหรือโสร่งของผู้หญิงถ้าผู้ชายคนใดทำ ความเป็นชายของเขาจะเสื่อมลง ส่วนผู้หญิงจะมีบาปติดตัว

“น้องหญิง ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น เธอเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา”


ผู้ใหญ่บ้านจัดการให้นางเอกพักที่บ้านตนเองผู้ชายรวย ๆ ทุกคนในหมู่บ้านต่างอยากได้รับเกียรตินี้กันทั้งนั้น มีอยู่คนหรือสองคนถึงกับออกปากกับผู้ใหญ่บ้านว่า“ผู้ใหญ่ทำไมไม่ให้นางเอกไปพักบ้านฉันเล่า รับรองว่าจะให้เธออยู่อย่างสุขสบายเลย”

ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเอ็งจะดูแลเขาได้ดี แต่ถ้าเขาไปพักกับเอ็งแล้วคนอื่นจะว่ายังไงล่ะ ไม่ว่าใครก็อยากให้นางเอกไปพักกับตัวกันทั้งนั้นนี่”

ครั้นแล้ว ทุกคนจึงกลับบ้านด้วยความไม่พอใจ พวกเขารู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านนี่ช่างทำตัวเข้ากับสำนวนที่ว่า“เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ”เสียจริง อีตอนแรกแกก็ส่งพระเอกไปไว้บ้านน้องสาวแล้วอีคราวนี้ก็ยึดเอานางเอกไปไว้บ้านตัวเองอีกคนเราอภัยให้แก่ความเห็นแก่ตัวได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะไม่ใช่ถึงสองครั้งสองคราอย่างนี้


คนหนุ่ม ๆ ที่ช่วยหาเงินเข้าสมทบทุนหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับเรื่องนี้เป็นพิเศษและถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่บ้านโดยตรงแต่ก็ยังอุตส่าห์รวมหมู่กันพูดคุยเรื่องนี้ที่ใต้ต้นไทร “ผู้ใหญ่ทำอย่างนี้ได้ยังไงไม่ยุติธรรมเลย”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ทำไมผู้ใหญ่ถึงควรพานางเอกไปพักบ้านแกล่ะ”

“ก็…นะ”

“ไอ้ “ก็…นะ” นี่มันหมายความว่าอะไร”

“ผู้ใหญ่บอกว่าถ้าแกพาเขาไปอยู่บ้านคนอื่น ใครต่อใครก็จะว่าแกได้”

“ข้าไม่คิดอย่างนั้นหรอก แกไม่ค่อยจะอยากทำอะไรให้เราเสียมากกว่า”
“อย่าพูดถึงแกอย่างนั้นยิ่งกว่านั้นก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่หรือไงที่จัดการให้มีละครจนได้น่ะ ทายว่าเอ็งก็ร่วมมือด้วยเหมือนกันผู้ใหญ่ก็แค่อยากชมการแสดงเหมือน ๆ กับเราทุกคนนี่แล้วไม่เห็นต้องไปอิจฉาตาร้อนอะไรเลย”


ช่วงนั้นชาวบ้านไม่ค่อยมีงาน จึงไปรวมกันดูการฝึกซ้อมและพระเอกนางเอกได้ ผู้ชมมุงกันเป็นกลุ่มใหญ่เสียจนกระทั่งวงดนตรีซ้อมกันไม่ได้ร้อนถึงผู้ใหญ่บ้านต้องถือไม้มาไล่ผู้ชมเหล่านั้นไปไกล ๆ ผู้ชมก็แตกฮือกันไปผู้ใหญ่บ้านตะโกนตามหลังไปว่า “เอาไว้รอดูตอนแสดงจริงโน่น กลับไปทำงานไปทำตัวกันอย่างนี้มันเหลือจะรับจริง ๆ”

* * *

“เจ้าข้าเอ๊ยฟังทางนี้ จะมีการสร้างเวทีงานออกพรรษากันในวันพรุ่งนี้ทุกบ้านต้องส่งตัวแทนผู้ชายหนึ่งคนมาที่ศาลาหมู่บ้านตอนเก้าโมงเช้า ปยอ”

รุ่งเช้าวันต่อมาทั้งชายหนุ่มชายแก่ไปรวมกันที่ศาลา “เฮ้ย หน้าเดิน ตาพิว โพหญั่นตันช่าว พวกเราต้องไปสร้างเวทีกัน ถ้ามัวชักช้าอืดอาดอยู่นี่ผู้ใหญ่บ้านจะได้เอาตายสิเร็วเข้า”


ศาลาอยู่ติดกับวัดบริเวณข้างหน้ามีพื้นที่โล่งซึ่งแบ่งเขตวัดกับหมู่บ้าน มีต้นมะม่วงบ้านและมะม่วงป่าขึ้นอยู่มะม่วงป่าขนาดเล็กกว่ามะม่วงบ้าน ถึงจะเป็นผลไม้กินได้แต่ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้ป่วยและอาเจียนเป็นเลือดชาวบ้านจึงไม่ได้กินกันมากนัก


ชาวบ้านเคยจัดการแสดงขึ้นที่บริเวณศาลามันไม่มีผนัง ใครก็มาพักที่นี่ได้ ชาวบ้านที่ถือศีลก็จะมารวมกันที่นี่ด้วยและถ้าเกิดว่าจะมีงานออกพรรษากันอย่างนี้ล่ะก็ คงถึงคราวต้องซ่อมบันไดกันเสียทีนี่ชาวบ้านก็ปรับปรุงมันมาสามวันแล้ว

มะปุ๊ คนที่บ้านอยู่ใกล้ศาลา ส่งน้ำชาและเมี่ยงมาให้บรรดาผู้ใช้แรงงาน“มะปุ๊ ชาติหน้าแม่คงได้เกิดเป็นนางฟ้านะแม่นะ” หนึ่งในคนงานว่า

“ทำไมล่ะ”

“เพราะว่าพวกฉันกำลังหิวโหยกันอยู่แล้วแม่ก็ประเคนเมี่ยงและน้ำร้อนน้ำชามาถึงที่”

แล้วชาวบ้านคนหนึ่งก็งึมงัมขึ้นว่า “ฟังมันว่าเข้า หน้าไม่อายยังกะขอทาน” คนอื่นเลยหัวเราะกันครืน

งานเวทีเสร็จสิ้นลงแล้ง ทั้งการซ่อมแซมทาสีฉากหลังและฉากอื่น ๆ ใหม่ทั้งหมด เมื่อถึงวันแสดงจริงชาวบ้านก็กระวีกระวาดแย่งที่นั่งกัน


“โฮ้ย ใครมาย้ายเสื่อกู แล้วนี่เสื่อใครหาเควมะเอาอีเสื่อผืนนี้ไปทิ้งให้ข้าที”

“เฮ้ย ใครเอาเสื่อฉันไปทิ้ง”

“ตรงนี้มันที่ฉันนะ”

“ใครว่า ของฉันตะหาก”
“โกหก แกมาทีหลังฉันจองตรงนี้ก่อน”

“ตอแหล”

“ฉันไม่ได้ตอแหล แกสิตอแหล”

“อีหน้าหมา”

“อีหน้าวัว”

ผู้หญิงสองคนปล้ำกันลงไปนอนกองอุตลุด

“เฮ้ย ใครก็ได้แยกพวกมันที มะเปี๊ยะ มะโซ หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทะเลาะกัน”


ผู้ชายสองคนต้องวิ่งเข้ามาแยกจากกัน แต่แล้วก็กลับมาทะเลาะกันอีก วันนั้นทั้งวันอย่างน้อยก็ตกราวๆ สามครั้งได้ ลงท้ายผู้ใหญ่บ้านเลยต้องมาจัดการแบ่งที่นั่งให้ด้วยตัวเอง

ปัญหาแบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับการแบ่งพื้นที่ขายของบริเวณออกร้านด้วยชาวบ้านสร้างร้านขายของด้วยใบจากและไม้ไผ่แต่ในหมู่พวกเขาก็ตกลงกันไม่ได้เสียทีว่าใครควรจะขายร้านไหนตามปกติก็มักพยายามใช้กำลังเข้าแย่งที่กัน แล้วลงท้ายด้วยการมีปากเสียง


ด่อโจ๊ะคนทอดน้ำเต้ากับมะทามวยคู่เอกกำลังปล้ำกันอุตลุต

“ใครก็ได้หยุดพวกมันที มะทา ยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง เอ็งเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง นี่เอ็งกำลังจะต่อยกับด่อโจ๊ะหรือวะ ไปตายซะไป แล้วก็นี่แม่ด่อโจ๊ะแม่ไม่รู้หรืออย่างไรว่าแม่ฟัดกับใครอยู่มันแต่งตัวเหมือนผู้หญิงก็จริงหรอกนะแต่ตัวมันน่ะยังเป็นผู้ชายอยู่ เธอสู้มันได้ซะที่ไหน”ผู้ใหญ่บ้านสวด

“ทำไมฉันจะสู้อ้ายเด็ก-กะ-เทยนี่ไม่ได้เล่า”

“หูววว ฟังมันว่า ดูเอาเองแล้วกันไม่อยากจะว่าอย่างโน้นอย่างนี้หรอกนะถึงยังไงมันก็แก่กว่าฉันแล้วก็ยังเป็นอีผู้หญิงสารเลวด้วย


“มาตรงนี้เลย! ถ้าอยากโดนมากนักเดี๋ยวกูจะช่วยสงเคราะห์ให้”

“โอย คุณพระคุณเจ้าช่วย แกสองคนนี่มัน!เดี๋ยวใครมาพาอ้ายอีสองตัวนี่ไปไกล ๆ ที” ผู้ใหญ่บ้านครวญ

* * *

พระจันทร์ดวงกลมโตแขวนลอยอยู่และส่องแสงลงมาเบื้องล่าง บริเวณหมู่บ้านเต็มไปด้วยงูพิษตกค่ำมาจึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้านโดยไม่มีไฟฉาย แต่ในคืนพระจันทร์เต็มดวงชาวบ้านจะออกเตร็ดเตร่กันตามสบาย


ก่อนเริ่มการแสดง ชาวบ้านจะนั่งกันตรงทางเดินข้างร้านขนมร้านชา และร้านพนัน ผู้ใหญ่บ้านสั่งห้ามการพนันของจริง ฉะนั้นเดิมพันจึงจำกัดอยู่ที่บุหรี่ซองเดียวชาวบ้านหรือก็จนแสนจนและตัวเจ้ามือเองก็ใช่ว่าจะมีโอกาสทำเงินสักเท่าไหร่


เมื่อชาวบ้านกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่โต๊ะพนันแล้วขอเล่นด้วยทั้งที่ไม่มีเงินถ้าพวกนี้ชนะ เจ้ามือต้องจ่าย แต่ถ้าพวกนี้เสีย เจ้ามือไม่ได้อะไรเลย ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ามือต้องเตรียมการรองรับให้คนพวกนี้มาเล่นก็เลยเกิดมีปากมีเสียงและการต่อยตีกันขึ้น เจ้ามือหัวแตกผู้ใหญ่บ้านเลยจับคนกลุ่มนั้นใส่ตรวนกันทั้งหมด


เสียงดนตรีแว่วมาตามลม “การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว เร่เข้ามา”

“ใช่แล้ว จริงด้วย เฮ้ย! ป๊กจีต้องไปไหนอีกล่ะ เดี๋ยวพอการแสดงเริ่ม มันจะเข้ามายากแล้วนะโพหม่องลูกฉัน อยู่ไหนล่ะลูก”

“มันอยู่แถวแผงขายน้ำเต้าทอด”
“ถ้างั้นก็ไปตามพวกมันมาสิ”

“จ้ะพี่”


บริเวณงานเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกวุ่นวายแล้วเสียงลำโพงก็แผดเสียงลั่นขึ้นมา “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีครับ กรุณาเงียบด้วย โปรดฟังทางนี้การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้ กรุณานั่งประจำที่ของท่านแล้วก็สงบปากสงบคำเอาไว้ขอบคุณครับ ฮัลโหล ๆ กรุณาฟังทางนี้ ด่อซะอูที่มาจากคุ้มทางใต้ด่อกะเหล่มะและครอบครัวกำลังตามหาท่านอยู่ กรุณารายงานตัวที่ด้านหน้าเวทีด้วย อ้าวด่อซะอูอยู่นี่แล้ว อยู่ตรงนี้เลย กำลังแอบดูนางเอกอยู่นี่เองเธอบอกกระผมว่าเดี๋ยวจะรีบไปหา”


ผู้ชมหัวเราะกันครืน แล้วโฆษกก็ดำเนินรายการต่อ “มือกลองของเรานะครับคุณอูทุนหญั่นกรุณามาที่นี่แบบด่วน ๆ ด้วย วงดนตรีกำลังรอท่านอยู่ อ้อแล้วก็มีเด็กชายจากหมู่บ้านตะกุนดายหลงทางอยู่นะครับ อายุสิบเอ็ดขวบ ชื่ออะเงห์กองถ้าใครพบเห็น กรุณานำมาส่งที่นี่ นางด่อวาเซผู้เป็นแม่กำลังรออยู่ แล้วก็คุณโกทุนหญั่นกรุณารีบมาด้วยวงดนตรีกำลังรอเล่นอยู่”


“รีบ ๆ หน่อย” ฝูงชนตะโกน “นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะ”

“ครับ ๆ กราบขอภัยด้วย แต่ว่าพวกเราต้องจัดการอะไรอีกสักหน่อยโปรดอดทนเอาไว้ก่อน”

“เราไม่สนใจคำขอโทษขอโพยอะไรทั้งนั้น รีบ ๆหน่อย เลิกโม้ได้แล้ว”

ทันใดนั้น วงดนตรีก็เริ่มบรรเลงมีแต่ความเงียบงันขณะม่านแดงเปิดขึ้น ชายคนหนึ่งกำลังบวงสรวงเทพด้วยมะพร้าวและกล้วย


พิธีนี้เรียกกันว่า “ปเว”เป็นการเรียกรวมคนหรือเป็นการแสดงอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นปเวที่อยู่ในเมืองการบวงสรวงจะยิ่งใหญ่มาก นักแสดงผู้หญิงจะออกมาร่ายรำ ต้องเป็นนางรำที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีแล้วเท่านั้นแต่ตามบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ จะมีแค่มีผู้ชายหรือผู้หญิงสักคนออกมาหน้าเวทีแล้วถวายของบวงสรวงเทพอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องมีเพลงหรือการระบำรำฟ้อนอย่างวิจิตพิศดาร

ชาวบ้านชอบดูละคร ละครรำถูกดัดแปลงมาจากการแสดงอุปรากร นักแสดงทั้งชายและหญิงดูหมดจดงดงามภายใต้แสงไฟ


“ดูสองคนนั้นสิ ยังกะเทวดานางฟ้าจำแลงอย่างนั้นแหละ”
นักแสดงโค้งคำนับผู้ชมปรบมือเกรียว จากนั้นละครจึงเริ่มต้น เหล่านักแสดงล้อเลียนผู้ใหญ่บ้านเมียผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านอื่น ๆ ผู้ชมหัวร่อกันงอหาย


จากนั้นก็มาถึงฉากร้องเพลงรักระหว่างคู่พระนาง “โอ ภูผาตระหง่าน ปกคลุมด้วยหมู่มวลบุปผา…”

การร่ายรำชุดนี้เรียกว่า “มเยียง ห์ทา” แปลว่า เพลงคู่แห่งพงไพร

“เอาอีก ๆ”

ทันใดนั้นผู้ชมก็ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น! เฮ้ย! ระวัง
หลายคนลุกขึ้นและวิ่งหนี

“เย็นไว้ก่อนทุกคน”


นักแสดงทั้งหญิงและชายหยุดรำและมองมายังผู้ชมไม่ช้าไม่นานก็ได้ยินเสียงจากลำโพงว่า “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีครับ การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่อึดใจนี้กรุณาอยู่ในความสงบแล้วก็กลับเข้าที่นั่งของท่านให้เรียบร้อยด้วยไม่มีเหตุให้ต้องตกใจกันแล้ว ผู้ใหญ่บ้านกับผู้เฒ่าผู้แก่กำลังจัดการตัวปัญหาอยู่ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”


ผู้ชมนั่งลงตามเดิมมีข่าวกรองตามหลังมาว่า หละเต็น อ้ายนักเลงบ้านนอกแถบนั้นคือตัวก่อเหตุที่บริเวณร้านขายของหมอนี่เป็นคนมาจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง มันมีปืนและเคยปล้นชาวบ้านด้วย ชาวบ้านต่างก็กลัวมัน


หลายคนบอกให้มันหุบปากและหยุดทำตัวไร้สติเสียทีแต่มันไม่ใส่ใจ แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มพวกนั้นเลยยกม้านั่งขึ้นฟาดหัวมัน ตอนนี้เด็กนั่นก็ถูกจับใส่ตรวนเรียบร้อยแล้วผู้ใหญ่บ้านขึ้นไปบนเวทีแล้วประกาศว่า 


“พ่อแม่พี่น้อง กรุณาเงียบ ๆ ด้วย มันจบลงแล้ว ตอนนี้อ้ายตัวก่อเหตุมันถูกใส่ตรวนแล้วให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน เมาเมื่อไหร่ก็รีบกลับบ้านไปอย่ามารบกวนการแสดง อย่ามาพาลเพราะฉันจะไม่อดทนให้ใครหน้าไหนสร้างปัญหาทั้งนั้น ฉันจะจับใส่ตรวนแล้วส่งตำรวจเสียให้หมดตอนนี้ก็ขอให้พวกเรากลับมาชมการแสดงกันได้แล้ว”


เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศจบการแสดงจึงกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งด้วยเรื่องของเป้าจาอิงทุกคนต่างรู้จักเรื่องนี้กันดีแล้วแต่ก็ยังอยากดูตอนมันถูกนำมาแสดงบนเวทีอยู่นั่นเองเป้าจาอิงเป็นตำนานของวีรบุรุษพม่าคนหนึ่ง เขาท่องเที่ยวมาทั่วทุกสารทิศกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เดินทางเข้าไปในเมืองประหลาดที่ชื่อว่าตะกาวราชินีของเมืองนั้นเคยแต่งงานกับเจ้าชายตอนกลางวัน แล้วฆ่าพวกเขาตอนกลางคืนนางแต่งงานกับเจ้าชายคนแล้วคนเล่า แล้วก็ฆ่าพวกเขาทีละคน


ดังนั้น อาณาจักรที่ว่านี้จึงไม่มีพระราชาเมื่อเป้าจาอิงมาถึงที่นั่น เขาได้พบกับราชินีและตัดสินใจอภิเษกกับนาง

เมื่อทั้งสองเข้าพิธีอภิเษกสมรส คืนนั้นเขารู้สึกสงสัยในตัวราชินีทำไมเจ้าชายทุกคนที่นางอภิเษกด้วยถึงถูกฆ่าตายตอนกลางคืน อาจารย์ของเขาสอนให้จำหลักสามประการเอาไว้ดังนี้

เดินไปเรื่อย ๆ แล้วเจ้าจะพบหนทางที่ดี

ถามไปเรื่อย ๆ แล้วเจ้าจะพบคำตอบ

อย่านอนหลับแล้วเจ้าจะมีชีวิตยืนยาว

เขาท่องกฎพวกนั้นกับตัวเอง แล้วตัดสินใจรออยู่ก่อน ยังไม่รีบเข้านอน จากนั้นก็เอาต้นกล้วยไปไว้บนที่นอนคลุมด้วยผ้าห่ม แล้วเขาไปหลบซ่อนอยู่มุมห้อง

กลางดึกคืนนั้น มังกรเข้ามาในห้องและพุ่งโจมตีสิ่งที่มันคิดว่าเป็นคนนอนอยู่ จึงกลายเป็นว่าเขี้ยวของมันฝังเข้ากับต้นกล้วยขณะนั้นเองเป้าจาอิงก็วิ่งออกมาแล้วใช้ดาบตัดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นทันที

เมื่อมังกรสิ้นใจ ราชินีก็เสียใจมากนางกล่าวว่านางจะยอมรับเป้าจาอิงเป็นพระราชาก็ต่อเมื่อเขาสามารถตอบคำถามของนางได้เท่านั้นเขายอมรับคำท้า และตอบคำถามได้ทั้งหมด จากนั้นจึงได้ครองเมือง

* * *


ละครจบลงไปแล้วชีวิตต้องไปต่อ แต่ชาวบ้านยังคงอยู่กับความวุ่นวาย

“เฮ้ย แกได้ยินข่าวหรือยังล่ะว่าพระเอกน่ะเขาหนีไปกับแม่เมียะญุ่นหลานสาวผู้ใหญ่”

“จริงเรอะ

“ค่อยยังชั่วหน่อยอีตรงที่ว่าหมอนั่นมีเมียแล้ว แถมลูกสาวอีกสาม”

“จริงเหรอ
“ผู้ใหญ่โกรธจนบ้าไปแล้วมั้ง”

“ก็น่าอยู่หรอก

“แล้วแม่นางเอกนั่นก็เล่นหูเล่นตาอยู่กับอ้ายคนตีฆ้องตอนนี้มันก็จะตีกันตายกับเมียเพราะเรื่องนี้แหละ”

“จริงเรอะ

“ดังนั้น อ้ายมือฆ้องเลยไปถามผู้ใหญ่บ้านว่ามันจะขอหย่าได้ไหม”

“จริงน่ะ

“แล้วก็เรื่องที่ตาเอเกี้ยวเหม่ทู”

“จริงเหรอวะ

“ดังนั้น แม่ของเหม่ทูเลยตำหนิผู้ใหญ่ซึ่ง ๆหน้าเลยเรื่องจัดงานแสดงละคร แกว่าลูกสาวแกเป็นเด็กดีปกติก็เอี้ยมเฟี้ยมอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเพราะวันนั้นมีการแสดงหรอกลูกแกถึงออกมา แล้วตาเอถึงมาเกาะแกะมันได้”

“ไม่อยากจะเชื่อ”
“ดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านเลยบอกฉันว่าจะไม่ให้มีการแสดงละครที่หมู่บ้านอีกต่อไปแล้ว”

“จริงเหรอ!!!!! บอกทีว่ามันไม่จริ๊ง”




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2557
0 comments
Last Update : 4 มิถุนายน 2557 18:05:24 น.
Counter : 1829 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Desiderata
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Desiderata's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.