Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
15 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย

Kapook

“รัฐสวัสดิการ” คำพูดนี้อาจจะเป็นคำที่ไม่ค่อยคุ้นหูของคนไทยเท่าไรนัก บางท่านอาจจะเคยได้ยิน แต่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่เป็นแก่นแท้หรือสาระของหลักการ บางท่านอาจจะรู้ความหมายบ้าง แต่ไม่รู้ว่าหลักการของแนวคิดรัฐสวัสดิการนี้หากมีการนำมาใช้แล้วจะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด จะสามารถปรับนำมาใช้สังคมไทยได้หรือไม่ และหากนำมาใช้แล้วจะส่งให้ประเทศมีการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมได้มากน้อยเพียงใด บทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมายในการที่จะทำให้ผู้อ่านบทความ ตลอดจนผู้ศึกษาหรือผู้ที่สนใจเกี่ยวกับแนวคิดรัฐสวัสดิการได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่เพิ่มมากขึ้น โดยในบทความนี้ผู้เขียนได้นำเสนอเนื้อหาแยกออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งเกี่ยวกับ แนวคิด หลักการและความหมายของรัฐสวัสดิการ ส่วนที่สองเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของรัฐในระบบรัฐสวัสดิการ ส่วนที่สามเป็นกรณีศึกษาของประเทศที่นำแนวคิดรัฐสวัสดิการมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ ส่วนที่สี่เป็นบทวิเคราะห์ของผู้เขียนว่าหากมีการนำแนวคิดรัฐสวัสดิการมาใช้ในประเทศไทยแล้วจะส่งผลดีหรือไม่ อย่างไร และบทสรุปความคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งมีรายละเอียดในการนำเสนอดังนี้

นิยามและความหมาย
จินสเบิร์ก (Ginsburg) กล่าวว่า “รัฐสวัสดิการ (Welfare State) เป็นการครอบคลุมถึงบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้ เพื่อสนองความต้องการจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ บริการที่เอื้อผลประโยชน์โดยตรงในเรื่องการชดเชย หรือการให้บริการต่างๆ รัฐสวัสดิการจึงเป็นนโยบายอุดมคติ เป็นสัญลักษณ์ของระบบการเมืองในยุคปัจจุบัน ที่ใช้แนวคิดของสวัสดิการสังคม โดยจัดระบบการช่วยเหลือบริการสวัสดิการแก่ประชาชนทำให้เกิดความมีส่วนร่วมของสังคม เกิดความยึดมั่นรวมพลัง เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเกิดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชน ตลอดจนเกิดความรู้สึกที่ดีในฐานะพลเมือง”

เบอร์ตัน อัลเลน (Burton Allen, 1975) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีรัฐสวัสดิการ (Welfare State Theory) โดยเสนอว่า ทฤษฎีนี้เชื่อว่าสถานภาพและบทบาทขององค์การประชาสังคมขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐในการให้สวัสดิการสังคมแก่ประชาชน ถ้ารัฐสามารถจัดสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนมากบทบาทขององค์การประชาสังคมก็จะมีน้อยลง อย่างไรก็ตามในบางสถานการณ์ยังขึ้นกับว่ารัฐบาลมีการรวมศูนย์อำนาจอย่างไรด้วย

พจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 พ.ศ.2546 โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบาย รัฐสวัสดิการ (welfare state) ไว้ว่า “เป็นแนวคิดที่ประเทศทุนนิยมนำมาใช้ โดยรัฐจัดให้มีการประกันความมั่นคงให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ การประกันดังกล่าวเป็นการให้เปล่าหรือเกือบให้เปล่า เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การสงเคราะห์มารดาและทารก การสงเคราะห์เด็กกำพร้า คนชราและคนพิการ การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ตกงาน และการฌาปนกิจ เป็นต้น นั่นคือการให้ความมั่นคง ‘จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน’ (from the cradle to the grave) (ชื่อบทความของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์)”

จึงอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า รัฐสวัสดิการ หมายถึง รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐจะเข้ามามีบทบาทหน้าที่ในการดูแลบริหารจัดการให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต พร้อมทั้งรัฐจะมีหลักประกันถึงความมั่นคงในเรื่องต่างๆ ให้แก่ประชาชน อาทิ เรื่องของการศึกษา เรื่องบริการทางการแพทย์ เรื่องการมีงานทำ เป็นต้น ทั้งนี้รัฐสวัสดิการมีจุดมุ่งหมาย คือ ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในสังคม (Equity) กับประชาชนทุกคนในประเทศนั้นๆ

(แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่ารัฐสวัสดิการจะเป็นรูปแบบการปกครองของคอมมิวนิสต์ เพราะรัฐจะไม่เข้ามาครอบครองที่ดินหรือทรัพย์สินใดๆทั้งสิ้น แต่รัฐบาลจะเข้าดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ภายใต้ระบบการเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าของประชาชนเท่านั้น)

บทบาทหน้าที่ของภาครัฐในระบบรัฐสวัสดิการ
ทำไมเป็นรัฐบาลที่ต้องจัดทำ การนำรัฐสวัสดิการมาใช้จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องมีความชอบธรรม และมีการคำนึงถึง Public Spirit, Public Mind และ Public Interest อย่างมาก อีกทั้งรัฐบาลต้องมีศักยภาพเพียงพอในการจัดการสวัสดิการแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเข้าถึงความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การจัดสวัสดิการไม่ควรอยู่ในกำมือของเอกชนเนื่องจากเอกชนจะเน้นการแสวงหากำไรให้มากที่สุด Maximize Profit ทำให้ไม่สามารถที่จะดำเนินงาน เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนได้อย่างแท้จริง
บทบาทที่มีความสำคัญมากของภาครัฐหรือรัฐบาล คือ การที่ต้องเข้ามามีบทบาทอย่างมากในเรื่องของความรับผิดชอบต่อการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในประเทศตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึงแก่ความตาย รวมถึงบทบาทด้านการโยกย้ายรายได้โดยตรง (Direct income transfer) เพื่อใช้ในการจัดการระบบการศึกษา การสาธารณสุข การจัดการอาคารสงเคราะห์ ตลอดจนการจัดการระบบการทำงานในประเด็นต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง
จึงสามารถสรุปได้ว่าภาครัฐหรือรัฐบาลพึงต้องเข้ามาบทบาทหน้าที่ในระบบรัฐสวัสดิการดังต่อไปนี้
1. รัฐต้องมีหลักประกันความเท่าเทียมกันของรายได้ขั้นต่ำของแต่ละบุคคล และครอบครัว และสนับสนุนให้มีการกระจายผลผลิตจากการทำงาน
2. รัฐต้องจัดหาความมั่นคงทางสังคมให้แก่บุคคลในกรณีต่างๆ เช่น การเจ็บป่วย การชราภาพ การว่างงาน เป็นต้น
3. รัฐต้องให้สิทธิแก่พลเมืองโดยเท่าเทียมกันในอันที่จะได้รับการบริการทางสังคมอย่าง ทั่วถึงและสม่ำเสมอ
ซึ่งจากแนวคิดของรัฐสวัสดิการข้างต้นจะเห็นได้ว่าเป็นแนวความคิดที่ดีและสามารถที่จะนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติจริงได้ในทุกประเทศ ทุกสถานการณ์ เพราะรายละเอียดต่างๆ ของเงื่อนไขในการเข้ามาดูแลประชาชนของแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่ว่ารัฐจะเข้ามาจัดสวัสดิการหรือให้บริการในเรื่องใดแก่ประชาชนบ้าง ส่วนการที่รัฐจะเข้ามามีบทบาทในจัดการระบบรัฐสวัสดิการมากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ผู้ปกครอง/ผู้บริหารของแต่ละประเทศการจะมีตกลงและทำความเข้าใจกับประชาชน รวมถึงภาคเอกชนในประเทศของตนเอง เพราะรัฐบาลอาจมี การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือองค์กรอื่นที่มิใช่องค์กรของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน ด้านการช่วยเหลือประชาชนควบคู่ไปกับการทำงานของภาครัฐด้วยก็เป็นได้

กรณีศึกษาของประเทศที่นำแนวคิดรัฐสวัสดิการมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ
ในเบื้องต้นนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประเทศที่นำเอาทฤษฎีนี้ไปใช้แล้วได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ประเทศสวีเดน
ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่มีการจัดระบบรัฐสวัสดิการที่ดี และควรนำมาเป็นแบบอย่างในการศึกษา โดยผู้เขียนได้เลือกระบบการบริการทางสังคมที่มีความน่าสนใจ และนำมาเสนอ 2 ด้าน คือ ด้านการศึกษา และด้านการประกันสุขภาพ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
การศึกษา ในประเทศสวีเดนเรื่องของการศึกษาถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยรัฐจะมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้ามาเรียนฟรีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษากระทั่งจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก โดยไม่มีการคิดค่าหน่วยกิตหรือการเรียกเก็บค่าเทอม ในส่วนของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนั้น จะมีการเรียกเก็บเฉพาะ “ค่าบำรุงองค์การนักศึกษา” เท่านั้นที่มีการบังคับ ให้นักศึกษาต้องจ่าย นอกจากนี้ระบบการศึกษาของประเทศสวีเดนยังเน้นการสอนไปที่ความเป็นไปตามระดับพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย คือ เมื่อเด็กมีวุฒิภาวะพร้อมมากขึ้นจะมีสนใจเรียนที่จะเรียนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งพัฒนาการทางสมองหรือสติปัญญาของเด็กในแต่ละช่วงวัยก็จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งระบบการศึกษาของประเทศสวีเดนนั้นจะให้ความสำคัญถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และนอกจากการเรียนฟรีแล้ว อุปกรณ์ในการเรียนรวมถึงอาหารกลางวันทุกอย่างก็ฟรีทั้งหมดอีกด้วย

การประกันสุขภาพ รัฐจะมีการช่วยค่ารักษาพยาบาล ช่วยค่าการรักษาสุขภาพฟัน จ่ายค่านอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จ่ายค่ายา รวมถึงมีการชดเชยรายได้ระหว่างเจ็บป่วยด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความรัฐจะมีการช่วยจ่ายให้ทั้งหมด 100% ของค่าใช้จ่าย การที่รัฐเข้ามาช่วยนั้นจะมีเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกฎหมายด้วย เช่น การรักษาฟัน กรณีผู้มีอายุต่ำกว่า 17 ปีรักษาฟรีทั้งหมด ส่วนผู้ที่อายุเกิน 17 ปี ต้องมีการจ่ายค่ารักษาส่วนหนึ่ง คือ ถ้ารักษาไม่เกิน 1,000 โครนเนอร์ รัฐจะจ่าย 50% แต่ถ้าเกิน 1,000 โครนเนอร์ รัฐจ่ายให้ 75% ซึ่งอัตราการคิดเงินนี้รัฐบาลจะกำหนดไว้อย่างชัดเจน แพทย์จะคิดเงินเกินกว่าที่กำหนดไม่ได้ แต่อาจคิดต่ำกว่าได้ เป็นต้น
ซึ่งนอกจากเรื่องการศึกษาและการประกันสุขภาพแล้ว รัฐยังมีการช่วยเหลือเรื่องเงินบำนาญคนชรา คนพิการ แม่หม้าย มีการจ่ายเงินชดเชยการว่างงาน มีบริการแก่ครอบครัว คือ รัฐบาลสวีเดนจะให้บริการฟรีทุกอย่างแก่สตรีที่ตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดบุตรออกมาแล้วพ่อแม่จะได้รับเงิน ส่วนบุตรจะได้รับค่าเลี้ยงดูจนถึงอายุ 16 ปีบริบูรณ์ เมื่อบุตรเข้าเรียนก็จะได้รับการเรียน การรักษาพยาบาล การรักษาฟันฟรีจนถึงอายุ 16 ปี ดังที่ได้กว่าไปแล้ว
แต่จากการที่รัฐต้องใช้เงินในการจ่ายค่าสวัสดิการจำนวนมาก รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการเก็บภาษีมากตามไปด้วย รัฐบาลสวีเดนจะให้ระบบอัตราภาษีแบบก้าวหน้า คือ ประชาชนคนใดมีรายได้มากก็จะถูกเก็บภาษีมาก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าการให้บริการแบบนี้จะไม่เกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากสวีเดนมีการเก็บภาษีเป็นหลัก จึงทำให้จำนวนผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านมีสูงมาก และก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมเกี่ยวกับตัวเด็กตามมากมาย เนื่องจากเด็กจะไม่ได้รับการดูแลจากครอบครัวเท่าที่ควร จึงเท่ากับเป็นการทำลายระบบครอบครัวไปโดยไม่รู้ตัวด้วย แต่หากมองโดยภาพรวมแล้วนั้นสามารถสรุปได้ว่าการดูแลจากรัฐของประเทศสวีเดนนี้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก

บทวิเคราะห์ การนำแนวคิดรัฐสวัสดิการมาใช้ในประเทศไทย
จากแนวคิด ทฤษฎีและกรณีตัวอย่างที่กล่าวอ้างมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าแนวคิดของรัฐสวัสดิการดังกล่าวถึงแม้จะมีข้อดีแต่ก็ยังมีข้อด้อยหรือมีข้อบกพร่องอยู่บ้างในตัวของ ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ว่าผู้ปกครองของประเทศที่นำเอาแนวคิดนี้ไปใช้จะสามารถบริหารจัดการในรูปแบบรัฐสวัสดิการได้อย่างดีแค่ไหนและจะสามารถป้องกันแก้ไขบรรเทาปัญหาที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ได้อย่างไร เพราะโดยธรรมชาติแล้วทุกอย่างก็ย่อมเปรียบเสมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน คือ เมื่อมีด้านหนึ่งที่ดีก็ย่อมมีอีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามอยู่เสมอ ทฤษฎีก็เช่นเดียวกันเมื่อมีด้านที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็ย่อมมีด้านที่เป็นโทษส่งผลให้เกิดปัญหาแก่สังคมเช่นเดียวกัน แต่หากพิจารณาในหลักการโดยรวมนั้นผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าการที่จะนำทฤษฎีและแนวคิดนี้มาปรับใช้กับสังคมไทยนั้น น่าจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าการเกิดโทษและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งหากภาครัฐจะมีการนำเอาแนวคิดของรัฐสวัสดิการมาใช้ เนื่องจากรัฐบาลสามารถที่จะนำแนวคิดของรัฐสวัสดิการนี้มาประยุกต์และปรับใช้ได้ทันที เพราะปัจจุบันรัฐก็มีการจัดเก็บภาษีจากภาคประชาชนอยู่แล้ว อีกทั้งรัฐยังมีกองทุนประกันสังคมและกองทุนต่างๆ อีกมากมาย ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสวัสดิการของพนักงาน ข้าราชการในประเทศ อีกทั้งรัฐบาลต้องทำการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีให้เป็นระบบภาษีแบบอัตราก้าวหน้า เพื่อให้เกิดความชอบธรรมระหว่างคนรวยกับคนจน แต่ทั้งนี้ก่อนที่รัฐบาลจะมีการนำแนวคิดนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงนั้น รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการอธิบายชี้แจงในส่วนของเนื้อหา เงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติให้กับประชาชนทุกระดับได้เข้าใจถึงผลดีผลเสียของการนำนโยบายนี้มาใช้ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสพิจารณาเลือกแนวทางของตนเอง และควรที่จะมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศว่าต้องการนโยบายรัฐสวัสดิการนี้หรือไม่และถ้าต้องการ จะต้องการมากน้อยในสัดส่วนเท่าใด ทั้งนี้รัฐต้องมีการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นและส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงระบุถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่มีการนำนโยบายนี้มาใช้จริง เพื่อให้ผู้ที่เห็นด้วยร่วมกันคิดหาทางออกของปัญหา เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาหรืออย่างน้อยก็เป็นการบรรเทาปัญหาให้เบาบางที่สุด เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้การที่จะทำให้แนวคิดดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อประเทศของเราอย่างแท้จริงนั้น รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีอยู่ในสังคมไทยและในวงราชการออกไปให้หมดอย่างแท้จริง เพราะแนวคิดนี้จะต้องใช้และมีความเกี่ยวข้องงบประมาณจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่การเก็บภาษีที่ต้องมีมากขึ้น จนไปถึงการเบิกจ่ายเงินค่าสวัสดิการต่างๆ ที่ต้องมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่จะก่อให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบได้โดยง่ายจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เขียนมีความเห็นว่าหลักการที่รัฐบาลควรนำมาปรับควบคู่ไปการการดำเนินงานตามแนวคิดนี้คือ หลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดความถูกต้องโปร่งใสและสามารถที่จะตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงาน โดยรัฐบาลจะต้องมีการสร้างสำนึกทางสังคมให้เกิดขึ้นกับข้าราชการและประชาชนทุกคนควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายด้วย รวมทั้งต้องทำให้ประชาชนได้ตระหนักถึงหน้าที่ความเป็นพลเมืองและความรับผิดชอบของตนอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายมากที่สุด

สรุป
ผู้เขียนมีความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งหากจะมีการนำหลักการของรัฐสวัสดิการนี้มาปรับใช้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในการบริหารประเทศ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของระบบทุนนิยมที่ได้ส่งผลให้เกิดความเลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรงดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าระบบรัฐสวัสดิการนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ




Create Date : 15 มิถุนายน 2550
Last Update : 11 กรกฎาคม 2551 0:15:14 น. 12 comments
Counter : 7990 Pageviews.

 
แวะมาอ่านครับ


โดย: KnightWin วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:20:40:58 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ


โดย: Darksingha วันที่: 31 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:29:05 น.  

 
ต้องการรู้การจัดประสบการณ์ของปฐมวัยในประเทศสวีเดนค้นคว้ามา 1 เดือนแล้วหาไม่เจอเลย

โดย: คนรอ IP: 125.26.119.37 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:16:37:57 น.  

 

ได้ความรู้ดี


โดย: คนสนใจ IP: 61.7.183.102 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:22:08 น.  

 
คุณเขียนบทความได้ดีทีเดียวค่ะ มีประโยชน์มาก^^
ขออนุญาตนำข้อมูลบางส่วนไปใช้ในการประกอบการทำรายงานนะคะ


โดย: ศึกษาอยู่ค่าาา IP: 203.131.211.143 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:22:23 น.  

 
ขอบคุณค่ะ กำลังต้องการข้อมูลเลย


โดย: อยากรู้ IP: 222.123.168.235 วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:14:33:15 น.  

 
ขอบคุณนะคะ มีประโยชน์มากกำลังต้องการข้อมูลไปทำรายงาน ขออนุญาตนะคะ


โดย: รุ่งทิพย์ IP: 110.164.160.222 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:22:23:27 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ


โดย: มมม.* IP: 61.90.80.67 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:10:08:42 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ


โดย: มมม.* IP: 61.90.80.67 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:10:08:44 น.  

 
แวะมาอ่าน และขออนุญาตนำไปเผยแพร่ให้พนักงานราชการทราบด้วยนะค่ะ...ขอบคุณค่ะ...


โดย: บุษยมาศ IP: 192.168.100.48, 202.29.80.11 วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:9:12:16 น.  

 
หวานหมูแระคร๊
ทำงานส่งอาจาร์ยพอดี(^++^)


โดย: บิวตี้ IP: 118.174.129.26 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:09:42 น.  

 
ขอบคุณมากๆๆนะค่ะ ที่อธิบายความหมายของ รัฐสวัสดิการ และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ...ได้ความรู้มากๆๆเลยค่ะ 😊😊😊😊🙏🙏🙏🙏🙏


โดย: Duangkamon IP: 192.99.14.34 วันที่: 17 ตุลาคม 2558 เวลา:2:37:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nsd
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add nsd's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.