ตุลาคม 2553

 
 
 
 
 
3
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
23
24
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
หยิบเงินหยิบทอง
หยิบเงินหยิบทอง

กลยุทธ์วันนี้ Finally 1000!
ประเด็นสำคัญวันนี้ เมื่อมาตรการแก้ไขค่าเงินบาทเริ่มขึ้นวานนี้ ทำให้กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,138 ล้านบาท และส่วนหนึ่งได้เข้าทั้งตลาดหุ้น และตลาด Futures บวกกับบรรยากาศการลงทุนรอบโลกที่เป็นบวก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ 992.60 จุด สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2539 พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่รองรับระดับดังกล่าวเช่นกัน
และแน่นอนว่า SET INDEX วันนี้จะมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,000 จุดได้อย่างไม่ยากนัก แต่อาจเกิดแรงขายบริเวณดังกล่าวมากขึ้นเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นแนวต้านจิตวิทยาการลงทุนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่เกิดขึ้นในระดับ 900 จุดมาแล้ว ทั้งนี้ปัจจัยที่ยังเอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คงหนีไม่พ้นสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงินทั่วโลก อันเป็นผลพวงจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายแบบสุดโต่งของประเทศในซีกโลกตะวัน ตก และมีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินรอบที่ 2 ยิ่งเป็นสิ่งตัวกระตุ้นให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงในเอเชียขยับขึ้นอย่างร้อนแรง ได้ต่อเนื่อง แต่นั้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงของการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน


แม้ว่า KimEng จะยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นนี้ SET INDEX มีโอกาสทะลุ 1,000 จุดได้อย่างไม่ยาก แต่ ณ ระดับปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นอีกครั้งที่ KimEng อยากเสนอให้เริ่มทยอยลดน้ำหนักการลงทุนของพอร์ตลงบ้าง และถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพื่อลดความเสี่ยง


กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “เริ่มทยอยขายทำกำไรราว 5-10% ของพอร์ตการลงทุน” และแนะนำ “ซื้อ” SCB / SCC
การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “เริ่มทยอยปิดสถานะ Long ใน S50Z10 บริเวณ 700 จุด” Stop Loss: S50Z10 < 685 จุด ปิด Long และ Wait&See
Portfolio Profit-taking 5-10% : CPF/ MINT/ MAJOR/ BBL/ KTB/ BAY/ BANPU / PTTEP / BCP/ CPALL/ TTA/ THCOM/ BLAND/ DELTA / KCE/ SMT/ AMATA/ RCL/ DTAC/ SCC/ THAI/ TVO/ AP/ SPALI/ BEC
BUY: SCB / SCC
Pair Trade: Short KBANK – Long SCB
Technical View แนวรับ 985 จุด, 965-970 จุด และ 950 จุด ส่วนแนวต้าน 999-1010 จุด และ 1,080 จุด แนะนำให้ถือครองตามแนวโน้ม


-Strategy Today
SET INDEX วานนี้ขยับขึ้นอย่างร้อนแรง ทะลุแนว 990 จุดสร้างระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2539


ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ขยับขึ้นอย่างโดดเด่น หลังผลการประชุม FOMC ออกมาส่งสัญญาณเตือนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลง พร้อมกับยืนยันถึงความพร้อมที่เฟดจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง อีกทั้งมาตรการภาษีในตลาดตราสารหนี้ของไทย มีผลบังคับใช้วานนี้ ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติ และบรรยากาศการลงทุน ผลักดันให้ SET INDEX วานนี้ปิดทะลุ 990 จุด มาปิดที่ 992.60 จุด เพิ่มขึ้น 15.52 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41,424 ล้านบาท

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ กลุ่มปิโตรเคมี +5.99%, กลุ่มเกษตร +5.79%, กลุ่ม Packaging +2.44% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน +1.36% กลุ่มธนาคาร +2.20% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +1.06%



แน่นอนว่า SET INDEX อีกเพียงไม่ถึง 8 จุดในวันนี้ เพื่อให้ถึง 1,000 จุดเป็นเรื่องที่ไม่น่ายาก เพราะด้วยบรรยากาศการลงทุนรอบด้านที่เป็นบวก ทั้งในส่วนของ DJIA – NYMEX ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ช่วยกระตุ้นให้เกิดกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงไทย บวกกับมาตรการด้านภาษีของตลาดตราสารหนี้ ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติย่อมมองหาตลาดหุ้นไทยเป็นเป้าหมายหลัก หรืออาจมีการโยกเงินจากตลาดตราสารหนี้ เข้าตลาดหุ้น และ/หรือ ตลาด Futures เหมือนวานนี้



KimEng ประเมินว่าความเสี่ยงของมาตรการแก้ไขค่าเงินบาทจากนี้ไป น่าจะอยู่ในกรอบที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศรับได้เช่นกัน เพราะแน่นอนว่าทิศทางค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เงินบาทไทยต้องแข็งค่าไปตามกลไกของตลาดการเงินโลกอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาล รมว.คลัง และธปท. อาจจำเป็นต้องออกมาตรการใหม่เข้ามาเสริมเป็นระยะๆ แต่เชื่อว่ามาตรการที่จะออกมานั้นจะเป็นการช่วยในการปรับเปลี่ยนเชิงโครง สร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการนำค่าเสื่อมราคามาหักลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น การนำเงินลงทุนใหม่เข้ามาเป็นเกณฑ์ในการลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยด้วยการกระตุ้นให้เกิดการ ลงทุนใหม่ ลดความต้องการถือเงินบาท แต่เพิ่มความต้องการเงินดอลลาร์ เพื่อนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น หากเป็นมาตรการเหล่านี้ KimEng กลับมีมุมมองเป็นบวก และสามารถสร้างศักยภาพทางการเงินแข่งขันได้ในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าผลของมาตรการเหล่านี้จะส่งผลต่อค่าเงินบาทไม่ได้ในช่วงสั้นเลยก็ตาม


อย่างไรก็ตาม เมื่อ SET INDEX มาถึงเกณฑ์ในการลงทุนช่วงสั้นนี้ที่บริเวณ 990 จุดแล้ว และเหลืออีก เพียงไม่ถึง 8 จุดก็จะขึ้นทดสอบ 1,000 จุด ซึ่งในรอบนี้ KimEng เชื่อว่า SET INDEX จะทะลุผ่านแนวดังกล่าวได้ในที่สุด แต่นั้นย่อมเท่ากับว่าความเสี่ยง เมื่อเทียบกับ Upside Gain ของเป้าหมาย SET INDEX ปี 2554 ที่ 1,150 จุดเริ่มแคบลง


ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ณ ระดับนี้ KimEng พิจารณาและเสนอให้นักลงทุน “เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตราว 5-10% และถือเงินสด” เป็นลำดับ เพราะหากยิ่ง SET INDEX ขยับขึ้นด้วยกระแสเงินทุนสภาพคล่องแล้ว ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผันผวนระหว่างทางย่อมมีมากขึ้น นั้นย่อมหมายความว่า การถือเงินสดที่เพิ่มขึ้นจะมีกระสุนมากเพียงพอต่อการเข้าทยอยสะสมหุ้นปัจจัย พื้นฐานที่ดี แต่บรรยากาศการลงทุนกดดันราคาตลาดนั้นเอง


กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ ทยอยสะสม หุ้นดังต่อไปนี้
1. SCC: ราคาปิด 328 บาท ราคาเหมาะสม 380 บาท
a. แม้ว่าทิศทางค่าเงินจะแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ SCC ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี เพราะต้องกำหนดราคาขายเป็น US$ แต่ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เชื่อว่าจะชดเชยแรงกดดันดังกล่าวได้
b. แม้ว่าผลการดำเนินงานใน 3Q53 ของ SCC นั้น KELIVE ประเมินไว้ที่ 6.1 พันล้านบาท ลดลง 16% qoq และ 13% yoy จากผลของส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่แคบลง แม้ว่าจะมีส่วนชดเชยจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม บวกกับความต้องการใช้ซีเมนต์ใน 3Q53 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะเป็นฤดูฝน
c. อย่างไรก็ตาม KimEng ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ SCC ในระยะกลางถึงยาว จากราคาปูนซีเมนต์ที่ขยับขึ้น 3 ครั้งระหว่างเดือนส.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา และการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลก่อสร้างอีกครั้ง รวมถึงโครงการ Waste Heat Generator ที่ช่วยลดต้นทุนพลังงานในธุรกิจซีเมนต์ได้กว่า 1.7 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ธุรกิจปิโตรเคมีที่ SCC ขยายกำลังการผลิตไปกว่าเท่าตัว จะเป็นส่วนเสริมรายได้และกำไรในปี 2554 ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
d. และหากเปรียบเทียบหุ้นขนาดใหญ่ จัดอันดับโดย Market Cap นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.ถึงวานนี้ พบว่า SCC ราคาขยับขึ้นมาเพียง 10.81% ซึ่งเป็นอันดับที่ 8 ในแง่ของผลตอบแทน เทียบกับ PTTCH +25.47%


2. SCB: ราคาปิด 107 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 120 บาท
a. หากเปรียบเทียบราคาหุ้นระหว่าง SCB – KBANK ด้วยราคาเหมาะสมพบว่า SCB เหลือ Upside Gain 12% เทียบกับ KBANK มี Upside Gain 10% ทำให้ความน่าสนใจของ SCB เหนือกว่า KBANK ในแง่ของโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนช่วงสั้น
b. KELIVE ประมาณการกำไรสุทธิใน 3Q53 ของกลุ่มธนาคารพบว่า SCB คาดว่าจะมีกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุดทั้ง yoy และ qoq ที่ 22.1% qoq และ 24.9% yoy จากการขายเงินลงทุน เงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ สินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึง NIM ที่ปรับตัวดีขึ้น หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของการเติบโตในกลุ่มธนาคาร KELIVE คาดไว้ที่ 3.5% qoq และ 17.2% yoy เท่านั้น
c. สำหรับมุมมองใน 4Q53 KELIVE ประเมินสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวสูงโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการเงิน ทุนหมุนเวียน การลงทุนภาครัฐและเอกชน สินเชื่อรายย่อยที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการเป็นช่วง High season ของสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อบัตรเครดิต จากการไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนที่สูง ประกอบกับแรงกดดันในการตั้งสำรองฯที่ลดลง
Pair Trade Idea:
Short KBANK – Long SCB: ด้วยประเด็นของ Upside Gain ที่ SCB เหนือกว่า KBANK บวกกับราคาหุ้นที่ Underperform อย่างมากในช่วง 9M53 ที่ผ่านมา ด้วยการเติบโตของสินเชื่อที่ด้อยกว่า KBANK แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และต่อเนื่องถึงปีหน้า เชื่อว่า SCB จะกลับมาเร่งตัวในการขยายสินเชื่อมากขึ้น ทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นจะกลับมาสะท้อนประเด็นบวกดังกล่าวได้โดดเด่นอีกครั้ง



What will DJIA move tonight? คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ
1. ดุลการค้าเดือนส.ค.: ตลาดคาดว่าจะขาดดุล US$4.45 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าขาดดุล US$4.28 หมื่นล้าน
2. ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย.: ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.7% yoy จากเดือนก่อนหน้า +3.1% yoy
3. และยอดขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์



Create Date : 14 ตุลาคม 2553
Last Update : 14 ตุลาคม 2553 12:15:27 น.
Counter : 375 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Mr.Millionaire
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friend