Group Blog
 
 
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
12 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
เคล็ดไม่ลับใช้ชีวิตให้มีสุข..เหนือมะเร็งร้าย!

วันนี้ ทีมงาน Life & Family มีคู่มือการใช้ชีวิตให้เต็มชีวิต..เหนือมะเร็งร้ายจากทีมแพทย์โรงพยาบาลวัฒโนสถ มานำเสนอให้อ่านกัน โดยเราหวังว่าบทความชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งในการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเท่านั้น ใครหรือบ้านใดที่มีสมาชิกป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ สามารถอ่าน และนำเคล็ดลับดีๆ ในบทความชิ้นนี้ไปใช้เติมสุขให้แก่ชีวิตได้ ส่วนเนื้อหาจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
       
       //////////////

ขอบคุณภาพประกอบจาก homeinstead.com
       มนุษย์เรานั้นเกิดมาพร้อมกับของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้ คือ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ในเรื่องความเจ็บป่วยนั้น แม้วงการแพทย์และสาธารณสุขจะรณรงค์ให้เราทุกคนพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น และหลายๆ คนก็ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดแล้ว แต่ก็ยังหลีกหนีความเจ็บป่วยไม่ได้อยู่ดี ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ความเจ็บป่วยนั้น เป็นความจริงที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเผชิญ
       
       สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหลายคน เมื่อทราบว่า ตัวเองป่วยก็มักจะพยายามดิ้นรนหาหนทางรักษาโรคร้าย บางคนอาจจะโชคดีหายจากความเจ็บป่วยได้ ในขณะที่อีกหลายคนยังมีโรคร้ายแฝงตัวอยู่ จากการไม่ยอมรับความจริงของธรรมชาติ และพยายามดิ้นรนหาหนทางรักษาโรคทางกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็ทำให้เกิดความทุกข์ทางใจขึ้นมา มะเร็งทางร่างกายได้แพร่กระจายกัดกินจิตใจ กลายเป็นมะเร็งทางอารมณ์และความคิด แทนที่จะเจ็บป่วยแค่ร่างกายเพียงอย่างเดียว
       
       ดังนั้น เรามาใช้ชีวิตให้เต็มชีวิต เหนือมะเร็งร้ายกันเถอะครับ เริ่มจาก
       
       ฝึกยอมรับความจริง
       
       โชคดีที่มนุษย์เรานั้นมีศักยภาพในการรับมือกับมะเร็งทางอารมณ์และความคิดได้ดีกว่ามะเร็งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เราสามารถจัดการกับปัญหา หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจได้ง่ายกว่าร่างกาย โดยฝึกให้ใจยอมรับความจริงที่ว่าร่างกายจำเป็นต้องแก่ไปตามกาลเวลา ร่างกายย่อมมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา และคนเราทุกคนต้องตายในที่สุด หากสามารถฝึกใจให้ยอมรับกับความจริงจนเข้าใจความจริงอย่างแจ่มชัดแล้ว ก็จะเกิดการปล่อยวางความทุกข์ทางใจได้ในที่สุด วิธีการฝึกให้ใจยอมรับความจริง ก็คือ การฝึกสังเกตจิตใจของตัวเอง
       
       การสังเกตจิตใจจะทำให้เราเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิดและอารมณ์ ซึ่งจิตใจของผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางกายส่วนใหญ่ มักจะนึกคิดปรุงแต่งในทางร้าย ส่งผลให้เกิดอารมณ์ร้ายๆ ตามมา เช่น เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง คนเรามักมีมุมมองในแง่ร้ายเกิดขึ้น เช่น ทำไมต้องเป็นเราด้วย อนาคตจบสิ้น ซึ่งความคิดดังกล่าว ล้วนส่งผลให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้าและท้อแท้ใจตามมา ดังนั้น ถ้าเราเพียงแค่ฝึกยอมรับความจริง ไม่คิดปรุงแต่งต่อยอดจนเกิดอารมณ์ซึมเศร้าท้อแท้ใจ ความสุขน้อย ๆ ก็จะลอยขึ้นภายในใจของเราได้
       
       ความสุขจากการมองมุมบวก
       
       เมื่อเราสังเกตเห็นกระบวนการทำงานของจิตใจของตัวเองเป็นแล้ว เราอาจจะหยุดความคิดในแง่ลบเหล่านี้ได้ แต่บางกรณีอาจจะต้องคิดหรือมองหามุมบวกด้วย เพื่อให้เราเกิดความสบายใจขึ้น เริ่มจากหาข้อดีที่มีอยู่ท่ามกลางปัญหาเหล่านั้น เช่น อาจจะลองมองดูว่า การเจ็บป่วยของเราทำให้พี่ๆ น้องๆ ไม่ได้เจอกันเป็นเวลานาน ได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง หรือมองว่า ปัญหาที่เรามีนั้นเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ยังมีคนอื่นอีกนับร้อยพันที่มีปัญหาเหมือนเรา หรืออาจจะมีคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนที่มีปัญหามากกว่าเรา เช่น กรณีที่เกิดขึ้นจริงของเด็กหญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งที่สมอง เธอบอกกับแพทย์เจ้าของไข้ในวันหนึ่งว่า เธอรู้สึกโชคดีกว่าคุณยายเตียงข้าง ๆ ที่ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะเธอไม่มีอาการเจ็บปวดทรมานเหมือนคุณยาย

ขอบคุณภาพประกอบจาก yellowbot.com
       ให้กำลังใจตัวเองเป็น ก็เป็นสุข
       
       สิ่งสำคัญประการหนึ่งเมื่อถึงคราวที่เกิดความทุกข์ทางใจขึ้นกับตัวเองก็คือกำลังใจ การได้รับกำลังใจหรือการได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ อาจจะทำให้เราอยากมีชีวิตสู้ต่อไป แต่คงไม่มีใครที่จะเป็นกำลังใจให้แก่เราได้ตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญกว่าการได้รับกำลังใจจากคนอื่นก็คือ การสร้างกำลังใจที่งดงามให้แก่ตัวเอง โดยการมองหาคุณค่าของตัวเองแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เราเข้มแข็งขึ้นได้
       
       เช่นเดียวกับชายโจวต้ากวนที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ขาและต้องตัดขาข้างหนึ่งทิ้งไป เด็กชายต้ากวนเขียนบทกวีของเขาเอาไว้ในหนังสือ “ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่ง” ความโดยรวม ก็คือ “แม้จะเหลือขาเพียงแค่ข้างเดียว แม้จะต้องผ่าตัดอีกกี่ครั้งฉันก็ยังมีกำลังใจสู้ต่อไป” หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก เงินที่ได้รับจากการซื้อหนังสือของเด็กคนรายนี้ ถูกส่งไปยังมูลนิธิเพื่อเด็กป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ไต้หวัน สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกเขียนขึ้นจากกำลังใจของเด็กชายคนนี้ กลายเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งอย่างมากทีเดียว
       
       สุขใจจากการปล่อยวาง
       
       หากฝึกสังเกตจิตใจต่อไปอย่างไม่แทรกแซง คือ ไม่หน่วงเหนี่ยวความคิดหรืออารมณ์ดีๆ เอาไว้ และไม่ผลักไสความคิดร้ายๆ ที่รบกวนจิตใจของเราออกไป เรียกว่า เป็นการสังเกตอย่างเป็นกลาง ผู้สังเกตจะพบว่าความคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อเกิดแล้วจะหายไป ความคิดหรืออารมณ์เหล่านั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ยึดถือเอาไว้ไม่ได้ ถ้าฝืนไปยึดถือเอาไว้ จิตใจก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา
       
       ซึ่งวิธีการฝึกสังเกตเช่นนี้ เรียกว่า การฝึกสติ ซึ่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ชาวตะวันตกได้ให้ความสำคัญและให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างมาก มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการฝึกสติที่สามารถลดภาวะเครียด ภาวะซึมเศร้า และลดอาการปวดพบว่าได้ผลดีมาก

       เมื่อสังเกตเห็นความจริงเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า จิตใจจะเริ่มยอมรับความจริงนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการสังเกตอย่างเป็นกลางนี้ จะทำให้เราค่อยๆ คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นต่อร่างกายและจิตใจของเราเอง
       
       ดังเช่นผู้ป่วยรายหนึ่งที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์พยากรณ์โรคเอาไว้ว่าจะมีชีวิตอีกไม่เกิน 6 เดือน หลังจากที่ทำใจว่าได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้แล้ว เธอจึงหยุดกิจการทุกอย่าง หวังเพื่อจะได้พักผ่อนในบั้นปลายอย่างมีความสุข เธอได้รับคำแนะนำจากกัลยาณมิตรคนหนึ่งเกี่ยวกับการมีสติในชีวิตประจำวัน เริ่มจากฝึกสมาธิในเวลาเช้าและก่อนนอนและการออกกำลังกายเท่าที่ทำได้
       
       การฝึกสติในชีวิตประจำวัน ก็คือ การสังเกตร่างกายในอิริยาบถต่างๆ เช่น การเดิน นั่ง ทำไปพร้อมๆ กับฝึกสังเกตจิตใจและอารมณ์ไปด้วย ซึ่งในช่วงต้นนั้น ความคิดในแง่ลบก็มักจะโผล่ขึ้นมาทำให้จิตใจเศร้าหมอง เมื่อมีความรู้สึกเสียใจในความโชคร้ายของชีวิต เธอก็ไม่ปล่อยให้จิตใจจมแช่กับความเศร้าโศกนั้นนานๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าเศร้าไปแล้ว ก็จะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา หรือหาคนพูดคุยเพื่อให้คลายเศร้าเสียใจลง และเมื่อสังเกตบ่อยครั้งเข้า ก็เริ่มคุ้นเคยกับอารมณ์เศร้า
       
       ดังนั้น เพียงการเบี่ยงเบนอารมณ์ด้วยการกลับมารู้ที่ลมหายใจ 3-4 ครั้ง ความเศร้าก็เบาบางลงไปได้ และเมื่อฝึกสติรู้ทันอารมณ์เศร้าจนชำนาญ เธอก็สามารถสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของอารมณ์เศร้ากับความคิดในแง่ลบได้ ดังนั้น คราวใดที่เกิดความคิดลบขึ้น และเธอรู้สึกตัวได้ทัน คราวนั้น ความเศร้าก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจของเธอ
       
       นอกจากนั้น เธอนั่งสมาธิทุกเช้าและก่อนนอน รวมถึงการออกกำลังกายเบาๆ ตามคำแนะนำของเพื่อนจนกิจกรรมทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ และยามใดที่สติของเธออ่อนแรงลง ไม่สามารถช่วยบรรเทาความเศร้าโศกได้ เพื่อนสนิทของเธอเองก็เป็นคนคอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจทุกครั้งในยามที่เธอต้องการ ทั้งหมดเธอทำไปเพื่อการเตรียมตัวจากไปอย่างสงบ และมีความสุข
       
       ปัจจุบันเวลาผ่านไปนานสองเดือนแล้ว ผู้ป่วยก็ยังคงแข็งแรงดี มีความสุข และที่สำคัญเริ่มที่จะปล่อยวางความทุกข์อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอันสงบและเรียบง่ายได้มากขึ้น ชีวิตที่เหลืออยู่ทุกลมหายใจของเธอ เต็มไปด้วยความสุขทุกครั้งที่รู้สึกตัว
       
       แม้ว่าร่างกายของเราจะต้องแก่ เจ็บป่วย และตายลงในที่สุด แต่เราสามารถฝึกใจให้ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นด้วยการมีสติ ปรับมุมมองต่อชีวิตและมีกำลังใจให้ตัวเอง ซึ่งศักยภาพเหล่านี้ มีอยู่ในจิตใจของเราแต่ละคนอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับการนำออกมาใช้ยามที่ความทุกข์ประดังเข้ามา หลายคนจึงไม่สามารถทำใจให้มีความสุขได้ ดังนั้น การดึงศักยภาพเหล่านี้ออกมาใช้ให้เกิดความชำนาญ นอกจากจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทางใจในยามที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยรุนแรงหรือเหตุการณ์อันเลวร้ายแล้ว ยังจะทำให้ผู้ใช้มีความสุขมากขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละขณะ จนกลายเป็นวิถีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของคนคนนั้นเลยทีเดียว



Create Date : 12 มิถุนายน 2555
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 19:25:17 น. 0 comments
Counter : 986 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.